บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 320 เล่นลิ้น / ตอนที่ 321 คำตัดสินของจินกุ้ยเฟย
บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 320 เล่นลิ้น / ตอนที่ 321 คำตัดสินของจินกุ้ยเฟย
ตอนที่ 320 เล่นลิ้น
พอเซียงฉือพูดจบ สีหน้ากุ้ยเฟยก็ค่อยๆ สงบลง นางรู้ว่าควรต้องรุกต่อไปเพราะกำลังได้เปรียบ
นางพูดอีกว่า
“กุ้ยเฟยเพคะ ฝ่าบาทเคยทรงเห็นหม่อมฉันในตำหนักอวี้หยวน ดังนั้นจึงทรงคลางแคลงพระทัยเสมอมา ทั้งหลายวันก่อนพี่เซียงซือก็รับพระบัญชาจากพระองค์ไปส่งของให้หม่อมฉันจึงยิ่งทำให้ฝ่าบาททรงสงสัยและทรงตั้งพระทัยจะขับไล่ทั้งหม่อมฉันกับเซียงซือออกจากตำหนักเจิ้งหยางด้วยกัน แต่เพราะใต้เท้าเหอออกหน้าทูลขอไว้ หม่อมฉันจึงยังอยู่ต่อได้เพคะ”
“แต่หลังจากเรื่องนั้นแล้ว ฝ่าบาททรงเข้มงวดกับหม่อมฉันมากเพคะ การงานในแต่ละวันก็มากล้น ทำให้ไม่มีเวลาได้ออกนอกเขตพระราชฐานเลยเพคะ”
คิ้วของเซียงฉือขมวดแน่นอย่างเจ็บปวด ความหมายในคำพูดของนางชัดเจน ทำให้ตนเองอยู่ในสถานะที่ย่ำแย่ เพื่อให้กุ้ยเฟยรู้สึกว่าฝ่าบาทไม่ชอบนาง แต่ที่ยังต้องให้นางอยู่ต่อ ก็เพราะข้างกายยังไม่มีใครให้ใช้สอยเท่านั้น
แม้เซียงฉือจะแต่งเหตุผลที่พอฟังขึ้นเช่นนี้ แต่อย่างไรก็เป็นกลหลอกลวง มีหลายจุดที่ไม่สมเหตุสมผลนัก หากทั้งสองคนนั้นปรึกษาหารือกัน หรือกุ้ยเฟยให้เรียกตัวสายของตนในตำหนักเจิ้งหยางมาสอบถาม ทุกอย่างก็จะกระจ่างชัด
ถึงกระนั้นคนที่มีความรับรู้ไวอย่างเช่นหวังหมัวหมัวก็ยังสามารถหาเบาะแสจากคำพูดของเซียงฉือออกมาได้ทันที นางจึงถามว่า
“เดี๋ยวนะ ในเมื่อเหอจิ่นเซ่อทูลขอความเมตตาให้เจ้า แล้วเซียงซือเล่า เหตุใดนางไม่ช่วยทูลขอ เจ้ากับใต้เท้าเหอมีความสัมพันธ์กันอย่างไร”
หวังหมัวหมัวถามรวดทีเดียวหลายคำถาม ถึงจะไม่ตรงจุดสำคัญนัก แต่ก็เป็นจุดที่เห็นได้ชัดและง่ายซึ่งยากจะอธิบาย
เซียงฉือฟังแล้วจึงตอบต่อว่า
“หวังหมัวหมัว เรื่องนี้คงต้องถามท่านแล้ว เดิมทีข้าคิดจะเข้ากองเย็บปัก แต่ถูกใต้เท้ากองเย็บปักกลั่นแกล้งทุกวิถีทาง ในที่สุดจึงต้องอาศัยความสัมพันธ์เล็กน้อยของทางครอบครัวในอดีตไปขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าเหอ”
“ใต้เท้าเหอเองเดิมก็ไม่ได้คิดจะช่วย แต่คงรู้สึกว่าข้ายังใช้ได้อยู่ เพียงแต่โชคไม่ดีนัก ถูกรั้งตัวให้อยู่ในกองราชเลขา”
“ตามแผนที่กำหนดไว้เดิม ใต้เท้าเหอเสนอเซียงซือเข้าไปเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษร แต่เพราะพระดำรัสของฝ่าบาทจึงไม่อาจที่จะ…”
แววตาเซียงฉือขบขัน หวังหมัวหมัวกลืนน้ำลายลงคอ เพราะรู้ดีแก่ใจว่าเป็นเพราะเรื่องอะไร
และคำพูดช่วงท้ายของเซียงฉือก็เป็นการยืนยันคำพูดช่วงต้นของนาง
เซียงฉือก็กลืนน้ำลายลงคอแล้วพูดต่อ
“ส่วนเหตุใดใต้เท้าเหอไม่ช่วยพี่เซียงซือนั้นคงต้องไปถามนางเองแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่ไปถึงกองราชเลขาก็ไม่เห็นใต้เท้าเหออยู่ในสายตา คิดว่าใต้เท้าเหอคงคับแค้นต่อนางไม่น้อย”
เซียงฉือนำเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันนักมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน แล้วก็เป็นเรื่องที่จินกุ้ยเฟยรู้ดีอยู่แล้วด้วย ทั้งยังเป็นเรื่องที่อวิ๋นเซียงซือเป็นคนบอกกล่าวแก่นางทั้งสิ้น
จินกุ้ยเฟยจึงเชื่อคำพูดอวิ๋นเซียงฉือ หวังหมัวหมัวนั้นแสดงออกว่าเข้าใจความหมายของเซียงฉืออย่างชัดเจน
ระยะนี้เซียงซือหุนหันพลันแล่นจนเกินไป คิดว่าตนเองสามารถเกาะต้นไม้ใหญ่อย่างกุ้ยเฟยได้แล้วทุกคนในวังจะต้องคอยดูสีหน้านาง ตอนนี้ถูกฝ่าบาทลงโทษลดขั้นแต่ก็ยังไม่รู้สำนึก กลับผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปยังเซียงฉือกับเหอจิ่นเซ่อ
เซียงฉือเชื่อว่าหากเซียงซือยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงฝ่าบาทจะไม่ลงโทษนาง แต่เกรงว่านางจะมีอายุไม่ยืนยาวในวังหลวงนี้ หากตอนนี้ทำให้กุ้ยเฟยกับหวังหมัวหมัวได้ประจักษ์ในความหุนหันของนางก็จะได้เลิกสนใจและใช้นาง และกลับจะเป็นเรื่องดีสำหรับเซียงซือมากกว่า
เมื่อเซียงฉือพูดจบก็ปิดปากไม่พูดต่อ ส่วนหวังหมัวหมัวพอฟังคำอธิยายของนางแล้วก็คอยพยักหน้าตาม
ตอนที่ 321 คำตัดสินของจินกุ้ยเฟย
คำพูดของเซียงฉือบังเกิดผล อย่างน้อยก็สั่นคลอนใจของกุ้ยเฟยได้บ้าง หลังจากนางฟังคำกระซิบของหวังหมัวหมัวแล้ว ถึงท่าทางจะโกรธขึ้งยิ่งขึ้น แต่เซียงฉือรู้ว่านางได้ปัดภัยให้พ้นตัวไปแล้ว อย่างน้อยในตอนนี้ก็ไม่มีอันตราย
เมื่อหวังหมัวหมัวพูดกับกุ้ยเฟยเสร็จก็ก้มหน้าใคร่ครวญคำพูดของเซียงฉือ คำโบราณว่าไว้ดีว่าอย่าฟังความเพียงด้านเดียวแล้วเชื่อ พึงฟังความรอบด้านแล้วจะพบความจริง
แน่นอนว่านางไม่ได้เชื่อคำพูดของเซียงฉือทั้งหมด เซียงฉือเชื่อว่าก่อนหน้านี้นางจะต้องได้ฟังการบรรยายถึงเรื่องในวันนี้มาอย่างครบถ้วนแล้ว
เซียงฉือไม่ได้โกหก เพียงแต่ลำดับความต่างกัน คนที่พูดเป็นคนละคนจุดที่เน้นก็แตกต่างกันไป ซึ่งย่อมจะทำให้ความรู้สึกของคนแตกต่างไปด้วย
ถึงแม้ตอนนี้หวังหมัวหมัวจะไม่ได้เชื่อถือเซียงฉือทั้งหมด แต่ก็เชื่อไปแล้วเจ็ดส่วน
หวังหมัวหมัวจะอย่างไรก็เป็นเพียงคนรับใช้ เมื่อนางพูดเรื่องที่ควรพูดไปหมดแล้วจึงไปยืนรอรับใช้อยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรอีก
เซียงฉือหลุบตาลอบมองดูทีท่ากุ้ยเฟย นางยังคงกังวลอยู่ ไม่รู้ว่าวันนี้กุ้ยเฟยจะตัดสินใจอย่างไร
เซียงฉือกังวลใจและหวาดกลัว แต่ก็พยายามระงับความตระหนก เรื่องที่นางสามารถพูดได้ทำได้ก็ได้ทำไปแล้ว แต่หากจินกุ้ยเฟยต้องการใช้นางเพื่อเซ่นโทสะในวันนี้ นางย่อมไม่มีแรงพอจะต้านทานได้
เซียงฉืออดที่จะสลดใจไม่ได้ ตอนที่นางเป็นนางกำนัลในโรงซักล้างนั้น คนที่ใหญ่ที่สุดก็เป็นเพียงแค่หมัวหมัว การรังแกคนนั้นมีอยู่เป็นประจำ แต่เรื่องตีเรื่องฆ่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย
และนางก็ไม่เคยรู้จักผู้มีอำนาจสูงศักดิ์ในวังนี้อย่างจริงจังเลยแม้แต่คนเดียว แต่พอมาอยู่ในตำหนักกุ้ยเฟยแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น กุ้ยเฟยพอใจก็อาจตีเจ้า หากไม่พอใจก็ฆ่าเจ้าได้เลย
ความเป็นความตายของเจ้าเพียงขึ้นอยู่กับคำพูดเรื่อยเปื่อยเพียงคำเดียวของนาง เซียงฉือกลัวการล่วงเกินกุ้ยเฟยอย่างยิ่ง ด้วยนางไม่รู้ว่าจะต้องจบชีวิตลงอย่างปุบปับหรือไม่ ดังนั้นทุกวันจึงรับใช้ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง
จนกระทั่งนางได้กลายมาเป็นข้าราชสำนักสตรีและคิดว่าสามารถเป็นผู้หญิงแบบสวี่อี้และเหอจิ่นเซ่อ สามารถยืดอกเชิดหน้าได้ทุกเวลา ใช้ชีวิตอย่างใจกว้างเผื่อแผ่ แต่ว่านางผิดแล้ว ผิดที่นางคำนวณความอดทนของกุ้ยเฟยที่มีต่อนางผิดพลาดไป
สวี่อี้กับเหอจิ่นเซ่อนอกจากจะเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้ว นอกวังยังมีชาติตระกูลที่สลับซับซ้อน หากพวกนางต้องเสียชีวิตอยู่ในวังโดยไม่รู้สาเหตุ ย่อมต้องเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นในราชสำนัก ส่วนนางหากตายไปจะเป็นเช่นไร แน่นอนว่าไม่มีใครที่จะทำเรื่องฟ้องร้องให้นาง ไม่มีแม้แต่ฟองคลื่น
นางรู้ว่านี่คือความแตกต่างที่จริงแท้ที่สุดของดอกบัวที่มีรากกับจอกแหนที่ไร้ราก
เซียงฉือรู้ว่านางไม่อาจเป็นดอกบัวที่เกิดแต่โคลนตมแต่ไม่ติดตมได้ แต่นางก็ไม่ต้องการจะจมน้ำตายอยู่ในสระ นางจะล่องลอยไปตามลมเฉกเช่นใบไม้ที่ร่วงหล่นใช้ชีวิตอยู่รอดในคลื่นลมด้วยความระมัดระวัง
ค่อยๆ เกิดประสาทรับรู้ ฝังตัวและเลือดเนื้อลงในทะเล ขึ้นลงไปตามทะเลอย่างเสรีสง่างาม
เซียงฉือเห็นกุ้ยเฟยค่อยๆ หรี่ตาลงก็ทอดถอนอยู่ในใจ คิดว่าคำพูดของตนคงไม่สามารถทำให้กุ้ยเฟยเลิกล้มความคิดที่จะฆ่าตนได้
นางคร้านที่จะไปคิดว่าตนเองพูดผิดหรือพูดไม่ดีที่ตรงไหน ได้แต่มองดูกุ้ยเฟยอย่างสงบเงียบ ไม่ร้องขอ ไม่โศกเศร้า เพียงแต่คิดถึงคนที่รอคอยนางตลอดมาแล้วทอดถอนอยู่ในใจ
‘เหอเจี่ยนสุย ข้าอวิ๋นเซียงฉือชะตาชีวิตอับเฉานัก ชีวิตนี้คงไร้วาสนากับเจ้าแล้ว’
จินกุ้ยเฟยเห็นท่าทางของเซียงฉือความชั่วร้ายก็ยิ่งบังเกิด วันนี้นางให้ไปจับตัวเซียงฉือมาเพื่อจะปิดปากนาง แต่การปล่อยให้นางได้พูดมาขนาดนี้ ถือเป็นความกรุณามากแล้ว