บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 330 คำตัดสิน / ตอนที่ 331 เข้าใจเรื่องราว
บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 330 คำตัดสิน / ตอนที่ 331 เข้าใจเรื่องราว
ตอนที่ 330 คำตัดสิน
เรื่องโกหกของเซียงฉือได้รับการยืนยันอย่างสมบูรณ์แบบ จากความช่วยเหลือของกุ้ยเฟยในการจบห่วงโซ่สุดท้าย ตายอย่างไม่เหลือหลักฐาน
เซียงฉืออดไม่ได้ต้องยิ้มออกมา ชีวิตคนในวังก็เพียงเท่านี้
ทหารองครักษ์คนหนึ่งกับนางกำนัลอีกคนต้องตายไปอย่างง่ายดายเช่นนี้เพียงเพราะจะให้ฝ่าบาทเชื่อว่า เรื่องที่เซียงฉือเล่ามาเป็นจริงตามนั้นจริงๆ
เซียงฉือยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ในตอนนี้ฝ่าบาทพิโรธแล้ว
ผ้าห่มของหรงจิงหล่นลงบนโต๊ะ รังสีเย็นเฉียบฉาบผ่านบนใบหน้า
“บังอาจ! ดึกดื่นขนาดนี้ให้ข้ามาดูเรื่องพวกนี้น่ะหรือ กุ้ยเฟย ไม่ปัดกวาดบ้านตัวเองแล้วจะปัดกวาดแผ่นดินได้อย่างไร ตำหนักเจ้าเองยังไม่สะอาด เห็นทีเจ้าคงไม่สามารถช่วยข้าดูแลจัดการฝ่ายในได้แล้ว”
คำพูดฮ่องเต้ไม่หนักไม่เบา แต่ทำให้คนทั้งห้องรู้สึกถึงรังสีความหนาวเหน็บพาดกายถึงสามครั้ง ต่างพากันคุกเข่าลงในทันที แม้แต่กุ้ยเฟยที่หยิ่งจองหองยังคุกเข่าเสียงอ่อนอยู่ข้างกาย ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว ถึงแม้คำพูดของเซียงฉือจะปัดภาระของนางกับหวังหมัวหมัวออกไปได้ แต่อย่างไรก็ยังเป็นคนของตำหนักอวี้หยวน
และย่อมเพราะนางที่เป็นกุ้ยเฟยดูแลไม่ดี ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธความผิดได้ แต่ขอเพียงไม่ใช่หวังหมัวหมัว ฮ่องเต้ก็จะไม่สงสัยถึงนาง เพียงพวกระดับล่างตายไปสองคนจะอะไรหนักหนา นอกจากคนสนิทของนางแล้ว คนพวกนั้นต้องการสักเท่าไรก็หาได้ ตายแล้วให้ค่าชดเชยก็จบกันไป
เดิมนางคิดเพียงปกป้องตนเองกับหวังหมัวหมัว แต่กลับลืมคิดไปว่าตนเองเป็นกุ้ยเฟย ขณะนี้ฝ่ายในไม่มีฮองเฮา นางจึงช่วยดูแลอยู่ แต่ก็มาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นที่ฝ่ายในอีกทั้งยังเป็นคนในตำหนักของนางอีกด้วย
นางคิดจะขอความเมตตา แต่พอเห็นสีหน้าหรงจิงแล้วก็กลืนคำพูดที่กำลังจะพูดออกมากลับเข้าไป
ได้แต่ฟังคำพูดของหรงจิงต่อไปด้วยสีหน้าขมขื่น
หรงจิงเพียงมองนางครั้งหนึ่งแล้วพูดต่อว่า
“กุ้ยเฟยปกครองไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถในการควบคุม ให้ถอดถอนอำนาจช่วยดูแลฝ่ายใน มอบให้จิ้งเฟยกับซูเฟยแทน แล้วให้ปิดประตูสำนึกความผิดครึ่งเดือน”
กุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็กำนิ้วมือแน่นแต่ไม่กล้าต่อต้าน นางฝืนยิ้มออกมาแล้วตอบรับอย่างน้อยใจ
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่อภัยโทษเพคะ หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ”
กุ้ยเฟยปากไม่ตรงกับใจ หรงจิงค้านจะตอแยด้วย แต่เมื่อคิดถึงสถานะนางแล้วก็ถอนใจ พยุงนางขึ้น
“เจ้านี่นะ ใส่ใจกับเรื่องจุกจิกของฝ่ายในสักหน่อย การดูแลบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะฝ่ายในที่กว้างใหญ่ของข้าด้วยแล้ว ไม่มีเรื่องใดจะใหญ่หรือเล็ก เจ้าเป็นคนไม่รอบคอบ ยังจะต้องฝึกฝนอีกมาก”
ถึงหรงจิงจะลงโทษนาง แต่คำพูดนั้นไม่เหมือนกับโกรธจริงทำให้กุ้ยเฟยค่อยเบาใจ อย่างไรเรื่องในวันนี้นางก็ทำผิดพลาดไปจริงๆ
ก็พอจะเป็นการปลอบใจได้บ้าง แต่สายตาหรงจิงกวาดไปยังเหอจิ่นเซ่อ สวี่อี้และเซียงฉือที่คุกเข่าอยู่ทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว
สายตานั้นตกลงบนร่างสวี่อี้ก่อน เขาพูดเสียงเรียบว่า
“ใต้เท้าสวี่ถึงจะเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถ แต่ยังคงต้องหล่อหลอมต่อไป กองคดีควบคุมกฎหมายของฝ่ายใน ต้องไม่โอนเอนลำเอียง ไม่ตกใจลนลาน เรื่องเหล่านี้เจ้ายังควรต้องไปคิดไตร่ตรองให้ดี ส่วนเรื่องนี้ก็จบกันไปไม่ต้องสืบสวนอีก”
จากนั้นมองทางเหอจิ่นเซ่อ เพียงยิ้มแล้วพูดว่า
“ใต้เท้าเหอ คืนนี้ลำบากแล้ว”
เหอจิ่นเซ่อได้ยินแล้วรีบกราบกราน
“เป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน มิอาจกล่าวว่าลำบากได้เพคะ ความจริงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยกลับต้องรบกวนฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ตรวจสอบให้ดี เป็นความผิดของหม่อมฉันเพคะ”
หรงจิงยื่นฝ่ามือออกไปห้ามเหอจิ่นเซ่อมิให้ขอโทษ แล้วยิ้มพูดว่า
“ท่านมีความผิดที่ไหนกัน ลุกขึ้นเถอะ”
สุดท้ายหรงจิงมองไปยังเซียงฉือ เจ้าเด็กคนนี้ นี่เป็นการเปลี่ยนวิธีขอความเมตตาจากเขาหรืออย่างไร
ตอนที่ 331 เข้าใจเรื่องราว
เขามองแล้วมองเล่า คิดแล้วคิดอีก ส่วนเซียงฉือก็เอาแต่มองเขาอยู่อย่างนั้นด้วยสายตาอ้อนวอนอย่างยิ่ง สายตาแบบนั้นทำให้หรงจิงปวดใจ ท้ายที่สุดอดไม่ได้ต้องพูดขึ้น
“ส่วนอวิ๋นเซียงฉือให้กลับคืนตำแหน่งเดิม เพราะเห็นแก่อยู่ในหน้าที่สำคัญ หากยังต้องห่วงกังวลพ่อแม่ที่ถูกเนรเทศไปไกล ข้าไม่ต้องการให้นางมีห่วงกับครอบครัวจนไม่มีใจทำงานราชการ ดังนั้นสั่งการลงไปให้กรมข้าราชการพลเรือนจัดการให้ครอบครัวนางทั้งครอบครัวกลับไปเป็นสามัญชนยังภูมิลำเนาเดิมที่หลานโจว”
เซียงฉือหมอบลงกับพื้น กราบกรานอย่างเคารพบูชาที่สุดและสำนึกบุญคุณอย่างจริงใจที่สุดตั้งแต่นางได้เข้าวังมา
“หม่อมฉันอวิ๋นเซียงฉือ ยินยอมพร้อมใจถวายชีวิตนี้แด่ฝ่าบาทอย่างสุดกำลังเพคะ”
เซียงฉือซาบซึ้งใจขนาดไหน ความรู้สึกท่วมท้นเพียงใดไม่อาจจะถ่ายทอดออกมาได้หมด ขณะนี้นางสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพราก นางพูดไม่ออกร่างสั่นเทิ้มเบาๆ แทนความรู้สึกที่นางไม่สามารถพูดออกมาได้ในขณะนี้
หลายคนแอบยินดีกับเซียงฉืออยู่ในใจ แต่ก็มีคนคนหนึ่ง แววตานางดั่งพยัคฆ์ร้าย ทำไมนางจะไม่รู้ว่าอวิ๋นเซียงฉือจงใจให้เป็นเช่นนั้น
จินกุ้ยเฟยยามนี้แค้นจนอยากเชือดเนื้อเถือหนังนางแต่ก็ต้องอดกลั้นไว้ ต้องมีสักวันที่นางจะทำให้อวิ๋นเซียงฉือต้องเจ็บปวดเป็นร้อยเท่าพันเท่า
นางมองเห็นหรงจิงที่เหมือนจะยิ้มยามมองดูเซียงฉือแล้วสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ผู้หญิงคนนี้ช่างทำให้นางเกลียดชังลึกซึ้ง อวิ๋นเซียงฉือที่อยู่ในความนึกคิดของจินกุ้ยเฟยน่าจะตายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
แต่ตอนนี้อวิ๋นเซียงฉือไม่อาจสนใจนาง
เมื่อหรงจิงพูดจบก็ไม่คิดจะอยู่ในที่นั้นอีก จึงลุกขึ้นเตรียมออกไป สีหน้ากุ้ยเฟยแข็งทื่อขึ้นทันทีแล้วรีบลุกตาม หมายจะรั้งหรงจิงให้เข้าไปข้างในตำหนัก แต่คำพูดของหรงจิงทำให้สีหน้านางเปลี่ยนแปลงอย่างแรง
“ข้าจะกลับตำหนักเจิ้งหยางแล้ว น่าเบื่อ”
กุ้ยเฟยหน้าซีด ไม่กล้าดึงแขนเสื้อหรงจิงเพื่อจะรั้งไว้อีก แล้วน้อมกายคำนับถอยกลับที่เดิม เซียงฉือยังคงคุกเข่าไม่มีปฏิกิริยาอะไรอยู่กับพื้น หรงจิงเดินเฉียดไปข้างกายนางแล้วหันหน้าไปมอง พูดอย่างถากถางว่า
“อวิ๋นเซียงฉือ เรื่องแค่นี้ถึงกับทำให้เจ้าขยับเดินไม่ไหวเชียวหรือ ยังไม่ตามข้ากลับไปอีก”
เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้น แต่ว่าวันนี้นางมีอาการวิงเวียน เมื่อลุกขึ้นฉับพลันเช่นนั้นร่างก็หมุนเคว้งซวนเซ ขณะเซียงฉือกำลังจะล้มนั้น หรงจิงพลันยื่นแขนข้างหนึ่งออกไปรับนางไว้ได้ทันที
หรงจิงเพียงทำไปตามสัญชาตญาณ แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นในสายตาของผู้ที่อยู่ตรงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจินกุ้ยเฟย ใบหน้านั้นราวกับถูกสาดด้วยถาดสี ปรากฏสีสันขึ้นสารพัด
เซียงฉือถูกหรงจิงประคองไว้ นางนวดศีรษะช้าๆ เมื่อรู้สึกแจ่มชัดขึ้นจึงลุกขึ้นด้วยตนเอง
หรงจิงไม่เห็นว่าการกระทำนี้มีอะไรไม่โปร่งใส จึงถามขึ้นว่า
“ยังไหวไหม”
เซียงฉือพยักหน้า คลายมือหรงจิงที่พยุงนางไว้แล้วทำความเคารพ จากนั้นเดินก้าวเท้ายาวอย่างรวดเร็วตามหรงจิงออกจากตำหนักอวี้หยวน
เพียงพ้นประตู ด้านในบังเกิดเสียงเพล้งดังขึ้น ถ้วยชามกาน้ำชาพากันวอดวาย
หรงจิงเพียงยิ้มเยือกเย็นแล้วเดินจากไปอย่างไม่รู้สึกอะไร เหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้ที่ตามอยู่ข้างหลังสบตากันแล้วคารวะลา แยกจากหรงจิงกับเซียงฉือ ต่างกลับสู่กองงานตน
หรงจิงกับเซียงฉือเดินกันไปช้าๆ ตามทางสายเล็กที่ไม่ยาวนัก พวกซูกงกงเมื่อเห็นสีหน้าแววตาฮ่องเต้แล้วต่างพากันหลบห่าง จึงเห็นแต่เพียงเค้าโครงของคนสองคนบนทางลื่นที่มืดมิด มีเซียงฉือเดินถือโคมไฟนำหน้าหรงจิงอยู่ไม่ห่างนัก