บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 348 ประลองหมาก / ตอนที่ 349 องค์หญิงฮุ่ยเหวิน
บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 348 ประลองหมาก / ตอนที่ 349 องค์หญิงฮุ่ยเหวิน
ตอนที่ 348 ประลองหมาก
เซียงฉือเมื่อไม่เห็นคำสั่งอื่นใดจึงเตรียมจะออกไปชงชาให้ฮ่องเต้กับท่านอ๋อง แต่เมื่อนางหมุนกายก็ถูกคนดึงมือไว้ นางคิดจะหดมือตามสัญชาตญาณ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของหรงจิง
เซียงฉือไม่กล้าเคลื่อนไหวในทันที
นางก้มหน้าถามขึ้นเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาทมีรับสั่งสิ่งใดอีกหรือเพคะ”
เสียงของเซียงฉือเบาและแฝงความกลัว นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ หรงจิงจึงได้จับมือนางไว้แน่น นางถูกบีบจนรู้สึกเจ็บแต่ไม่กล้าส่งเสียง ไม่กล้าแม้แต่จะขมวดคิ้ว
“เจ้ามานั่งอยู่ข้างข้านี่ ดูการเดินหมาก”
เซียงฉือได้ยินดังนั้นดวงตางดงามทั้งคู่ก็เบิกโพลง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดวันนี้หรงจิงจึงได้ผิดปกติเช่นนี้ เหมือนกับที่นางไม่เข้าใจบุรุษ ไม่สิ ไม่เข้าใจบุรุษที่นอกเหนือจากเหอเจี่ยนสุย เพราะชายผู้นั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง
หรงจิงเป็นประมุขของแคว้น เขาร่ำรวยที่สุดในแผ่นดิน อำนาจมากล้นฟ้า ข้าราชสำนักสตรีในวังล้วนเป็นทรัพย์สินของเขาทั้งหมด เขาซึ่งเป็นเหมือนเจ้าของที่ดิน เมื่อมีชายอื่นมาหมายจ้องทรัพย์สินของเขาเขาจะทำอย่างไร
ก็ต้องทำให้ผู้ชายคนนั้นรู้สำนึกแล้วล่าถอยไป หากเป็นคนอื่นเขาคงฆ่าตายในดาบเดียวไปแล้ว แต่สำหรับหรงเฉิงเยี่ย เขายังคงมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการขอร้องเช่นนี้ คงเป็นเพียงความนับถือตนเองของลูกผู้ชายเช่นเขาเท่านั้น
เซียงฉือไม่เข้าใจแต่ไม่กล้าขัดขืนจึงนั่งลงข้างกายหรงจิงตามมือที่จูงไป นางไม่มีทั้งความไม่พอใจหรือความยินดี เพียงนั่งอยู่ข้างกายหรงจิงมองดูการเดินหมาก
หรงจิงเห็นนางว่าง่ายเช่นนั้นจึงวางใจลงแล้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นวางเม็ดหมากสีดำลงเม็ดหนึ่ง การเดินหมากของเขากับหรงเฉิงเยี่ย หรงเฉิงเยี่ยจะใช้เม็ดหมากสีขาว ส่วนเขาใช้เม็ดหมากสีดำ ซึ่งกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
หรงเฉิงเยี่ยเห็นดังนั้นก็เพียงขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เสด็จพี่กำลังจะทรงรับพี่สะใภ้คนใหม่ให้กระหม่อมกระมังพ่ะย่ะค่ะ? ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ สายพระเนตรช่างดียิ่งนัก กระหม่อมไม่ทราบมาก่อนว่าเสด็จพี่โปรดปรานดวงตาเหอเถาแบบนี้”
หรงเฉิงเยี่ยหยอกล้อการกระทำของหรงจิง แต่เซียงฉืออับอายจนหน้าแดง ส่วนหรงจิงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ได้ยินดังนั้นจึงเพียงหัวเราะ ดวงตาทั้งคู่จ้องอยู่บนกระดานหมาก เมื่อเขาวางเม็ดหมากลงบนกระดานแล้ว สามารถกำจัดเม็ดหมากขาวของหรงเฉิงเยี่ยที่ถูกล้อมอยู่ได้อย่างง่ายดาย
หรงเฉิงเยี่ยอึ้งไปไม่กล้าวอกแวกอีกแล้วตั้งใจต่อสู้
เซียงฉือนั่งอยู่ข้างหรงจิงเฝ้าดูการเดินหมากอย่างละเอียด หรงจิงสั่งให้นางดู นางจึงดูจริงๆ ดูจนเคลิบเคลิ้ม หรงเฉิงเยี่ยเก็บความสับสนในดวงตานางไว้ในสายตาตน ค่อยๆ หุบยิ้มสำรวมมากขึ้น
“เจ้าน่ะ เก็บความคิดมาใส่ในเกมกระดานให้มากจะดีกว่า พึงรู้ว่าการเดินหมากก็เหมือนการทำศึก ตอนนี้เจ้าเป็นขุนศึกจริงๆ แล้ว ประจันหน้าอยู่กับข้า ยังจะกล้าหลายจิตหลายใจอีกหรือ”
คำพูดหรงจิงมีความหมายลึกซึ้งชวนฟังเสมอมา แต่ขณะนี้เขาพะวงถึงเซียงฉือที่เฉื่อยเนือย การแสดงออกจึงมักดูแปลกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง หรงเฉิงเยี่ยกับหรงจิงก็เปิดศึกพัวพันกันบนกระดานหมาก
เขาวางหมากได้อย่างประณีตบรรจงดูเหมือนป้อมปราการที่มั่นคง แต่การบุกเข้าไปของหรงจิงก็สามารถทำลายปราการจนบิดเบี้ยวไปมา แต่ไม่ได้ก่อความเสียหายอะไรในขณะเวลานั้น แล้วทั้งคู่ก็เข้าสู้การต่อสู้ติดพันอย่างรวดเร็ว
ความคิดของเซียงฉือถูกเกมหมากดึงดูดเข้าไปแล้ว นางมองนิ่งอยู่นาน เมื่อจู่ๆ เงยหน้าขึ้นมองหรงเฉิงเยี่ยก็เห็นเขาก็กำลังมองนางอยู่ อีกทั้งยังเลิกคิ้วยักไปมาอย่างซุกซน เซียงฉือครุ่นคิด แล้วจึงค่อยๆ ก้มหน้าลงไปมองยังด้านล่างของกระดานหมาก
ตอนที่ 349 องค์หญิงฮุ่ยเหวิน
สายตาเสียงฉือสอดส่ายค้นหาไปยังใต้โต๊ะหมากเหมือนไม่มีเจตนา มิน่าฝ่าบาทจึงรู้สึกว่าหรงเฉิงเยี่ยใจคอวอกแวก เมื่อนางก้มลงไปก็เห็นหรงเฉิงเยี่ยใช้ตัวหมากสีขาวของตนเรียงเป็นตัวอักษรออกมาตัวหนึ่งที่ใต้โต๊ะนั้น
‘รอ’
เซียงฉือเห็นแล้วจึงเงยหน้าขึ้น อมยิ้มพยักหน้าให้หรงเฉิงเยี่ย
ฮ่องเต้อยู่ตรงนั้นตลอดเวลา หรงเฉิงเยี่ยจึงไม่มีโอกาสสนทนากับนางตามลำพังอีก หรงจิงเป็นคนทำอะไรแล้วจะทุ่มเทตั้งใจจริงจัง กับเกมหมากก็หมายจะพิฆาตชี้ขาดอย่างเต็มที่ ถึงหรงเฉิงเยี่ยจะเดินหมากกับฮ่องเต้เป็นเวลานาน แต่เซียงฉือรู้ว่า สุดท้ายแล้วหรงจิงต้องเป็นฝ่ายชนะแน่นอน
เพราะหรงเฉิงเยี่ยใจคอวอกแวก อีกทั้งไม่มีใจคิดเอาชนะ เป็นไปตามคาด หมากกระดานนั้นเดินจนฮ่องเต้รู้สึกหิวจึงกวักมือเรียกหรงเฉิงเยี่ยให้ไปทานอาหารด้วยกัน
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไม่ค่อยได้เห็น แต่เซียงฉือไม่อาจร่วมโต๊ะได้และนางเองก็ไม่รู้สึกอยากอาหาร จึงหายตัวไปเองจากเบื้องพระพัตร์ฮ่องเต้และหรงเฉิงเยี่ย กลับไปยังที่คับแคบของตนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาเบาๆ
ระยะนี้กุ้ยเฟยยังถูกกักบริเวณอยู่ ส่วนฮ่องเต้ก็มีราชกิจมากจึงไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมนาง ทว่าเหตุใดระยะนี้จึงไม่เห็นซูเฟย ไม่เห็นนางมาแวะเวียนตำหนักเจิ้งหยางเป็นเวลานานแล้ว
เขาว่าห้ามพร่ำพูดถึงใคร เซียงฉือยังไม่ได้คิดอะไรมากก็ได้ยินเสียงแหลมของขันทีที่เฝ้าประตูร้องดังขึ้นมา
“ซูเฟยเสด็จ องค์หญิงฮุ่ยเหวินเสด็จ!”
ฮ่องเต้เพิ่งวางตะเกียบก็ได้ยินเสียงของขันที เขาเป็นฮ่องเต้ ในวันปกติจึงทานอาหารเพียงลำพังทำให้เหงาอยู่บ้าง แต่วันนี้ไม่เพียงแต่หรงเฉิงเยี่ยมาที่นี่ แม้แต่ลูกสาวคนเล็กของเขาก็มาแล้ว
ใบหน้าเย็นชาอยู่เสมอของหรงจิงผุดรอยยิ้มของพ่อที่เมตตาขึ้นมา
ยังไม่ทันเห็นตัวก็ได้ยินเสียงหัวเราะราวกระดิ่งเงินขององค์หญิงน้อยดังเข้ามา
องค์หญิงน้อยมีนามพระราชทานว่าฮุ่ยเหวิน ชื่อเรียกเล่นว่าฟังเอ๋อร์ ฮุ่ย เป็นราชทินนามชั้นสูงสุดสำหรับราชนิกูลหญิงในราชวงศ์ที่ใช้สำหรับองค์หญิงสายรอง
หนูน้อยไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ นางขาวนวลผุดผ่องราวหยกแกะสลัก ไม่รู้ว่านางกำลังสนุกกับอะไรอยู่จึงได้หัวเราะไม่หยุดก่อนจะพบกับพระบิดา
รอยยิ้มหรงจิงยิ่งกว้างขึ้น เขาไม่ได้พบกับลูกสาวสุดที่รักตัวน้อยมานานพอสมควรแล้ว ครั้งนั้นได้ยินว่าหรงฟังป่วยไข้ ทำให้เขาที่เป็นพ่อรู้สึกสงสารอย่างยิ่ง เด็กเล็กขนาดนี้ดื่มยาก็ไม่ได้ ทั้งยังอาเจียนน้ำนมติดต่อกันหลายวัน ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
เพราะจินกุ้ยเฟยเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาในงานเลี้ยง ทำให้ซูเฟยถูกหรงจิงตำหนิแต่ไม่รุนแรงนัก ทว่านางจดจำใส่ใจ เมื่อกลับถึงตำหนักและหายเสียใจแล้วเกิดสำนึกได้จึงดูแลหรงฟังอย่างเอาใจใส่
ดังนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมาจึงไม่ได้เห็นซูเฟยออกนอกตำหนักบ่อยนัก นางในขณะนี้แลดูซูบซีด ส่วนองค์หญิงน้อยร่าเริงสดใส
หรงจิงดีใจเดินเข้าไปหา มองดูคนที่สวมเสื้อสีชมพูน้อยๆ ในอ้อมอกซูเฟย เห็นดวงตาสดใสคู่นั้นยิ้มจนโค้งหยี
หรงจิงรู้สึกหวานล้ำเข้าไปถึงในกระดูก
เขารับองค์หญิงน้อยหรงฟังข้ามมาจากมือซูเฟย หรงฟังรู้สึกไม่พอใจในตอนแรก นางขมวดคิ้ว จากนั้นก็นิ่งเฉย มองดูหรงจิงนิ่งไม่ยิ้ม
ท่าทางนิ่งขรึมเช่นนั้นมีความประพิมพ์ประพรายคล้ายหรงจิงอยู่
ซูเฟยหัวเราะพรวดออกมา อดไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางนิ่งขรึมของหรงฟังเช่นนั้น
ในเวลานั้นในตำหนักเจิ้งหยางก็อบอวลเปี่ยมด้วยความสุขของคนในครอบครัว ตอนนั้นเซียงฉือไม่ได้รับใช้อยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้
เวลาฮ่องเต้เสวยจะมีคนคอยรับใช้จัดอาหารถวายอยู่แล้ว เซียงฉือไม่ใช่คนมีหน้าที่เกี่ยวข้องจึงไม่อาจอยู่ดูในที่นั้นได้