บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 372 ให้ข้ามองเห็นเจ้าได้ / ตอนที่ 373 เล่านิทาน
บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 372 ให้ข้ามองเห็นเจ้าได้ / ตอนที่ 373 เล่านิทาน
ตอนที่ 372 ให้ข้ามองเห็นเจ้าได้
ขณะที่เซียงฉือกำลังคิด ก็เห็นหรงจิงยกมือขึ้นมา
“สูงแค่นี้ ห้ามไม่ให้เกินระดับสายตาที่ข้าจะเห็นเจ้าได้”
เซียงฉือกำลังเก็บรายงานเล่มหนึ่งอยู่ พอได้ยินคำพูดหรงจิงร่างก็เกร็งขึ้น รู้สึกถึงสายลมเอื่อยๆ ที่พัดชายกระโปรงนาง เส้นผมนางปลิวขึ้นน้อยๆ
หรงจิงเห็นนางชะงักงันใบหน้าแดงเรื่อขึ้นแล้วก้มหน้าลงอย่างทำอะไรไม่ถูก
เขาจึงได้รู้สึกว่าคำพูดเมื่อครู่ออกจะคลุมเครือเกินไป หรงจิงหรี่ตาทำท่าทางขึงขังแล้วพูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า
“เจ้าเด็กคนนี้นี่คอยแต่จะฉวยโอกาสเกียจคร้าน ต้องให้ข้ามองเห็นเจ้าจึงจะวางใจ”
หรงจิงพูดแล้วก็เก็บรวบรวมรายงานรอบตัวของตนเองโยนเข้าไปในวงแขนของเซียงฉือ นางรับไว้ตามสัญชาตญาณ มองดูหรงจิงอย่างไม่เข้าใจเจตนา
“เก็บเสียให้เรียบร้อย ห้ามขี้เกียจ”
เซียงฉือมองหรงจิงอย่างไม่เข้าใจ แต่นางก็ก้มหน้าหอบกองรายงานกลับไปวางไว้บนโต๊ะทำงานตน ถึงเซียงฉือจะไม่เข้าใจ แต่มีหรือที่ซูกงกงที่ด้านข้างจะไม่รู้ซึ้ง
เขาเป็นคนคอยดูแลฝ่าบาทเติบโตขึ้นมา นิสัยใจคอนั้นเขานั่นแหละที่เข้าใจเป็นที่สุด ฝ่าบาทไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เขาจะทำอะไรล้วนไม่จำเป็นต้องให้คำอธิบาย ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่หรงจิงทำเช่นนี้ คงจะอึดอัดใจน่าดู
ซูกงกงเพียงหัวเราะอยู่ในใจ แต่สายตาที่มองเซียงฉือนั้นยิ่งต่างไปจากเดิม
เซียงฉือเก็บของเรียบร้อยแล้ว นางรู้สึกง่วงงุน แต่เมื่อเห็นฮ่องเต้ยังคงแจ่มใสอยู่จึงไม่กล้าผล็อยหลับ เมื่อคืนนางแทบจะไม่ได้หลับทั้งคืน วันนี้จึงง่วงมาก และเมื่อหาวติดต่อกันถึงสามครั้งแล้ว
หรงจิงจึงได้พูดขึ้นในที่สุด
“ง่วงแล้วหรือ”
จู่ๆ หรงจิงก็พูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน ทำให้เซียงฉือต้องเก็บการหาวครั้งที่สี่ไว้ในอก แล้วมองฝ่ายตรงข้ามอย่างซึมเซา พูดออกไปยิ้มๆ ว่า
“เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันสามารถไปนอน…”
หรงจิงเงยหน้าขึ้น เขายืดแขนขยับกายแล้วมองดูท้องฟ้าเบื้องนอก ได้ยินเสียงบอกเวลายามจื่อ[1]จึงสะบัดศีรษะ
“ไปนอนเถอะ”
คำพูดนี้ของหรงจิงทำให้เซียงฉือดีใจ นางลุกขึ้นทำความเคารพไปได้เพียงครึ่ง หรงจิงก็พูดต่อขึ้นอีกประโยคหนึ่ง
“เจ้าเป็นเพื่อนข้า…”
หรงจิงเมื่อพูดออกไปแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปข้างหน้ากางแขนทั้งสองออก รอให้เซียงฉือช่วยเขาปลดเข็มขัด แต่ทว่าเซียงฉืออึ้งตะลึงงันอยู่ เมื่อครู่ฝ่าบาทตรัสอะไรนะ
ให้นางเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนนอนใครหรือ
นางตกตะลึงร่างแข็งทื่ออยู่กับที่ไม่รู้ว่าควรทำอะไร หรงจิงรออยู่ครู่หนึ่งจึงได้หันหน้ากลับไป เมื่อเห็นเซียงฉือตกตะลึงอยู่ในที่นั้นก็ยิ้ม
“เจ้าไม่นอนเป็นเพื่อนข้า หรือว่าจะปรนนิบัติข้าบนเตียงเล่า”
เซียงฉือยังงงงัน สมองนางกำลังตีความหมายของคำพูดทั้งสองเมื่อครู่
เมื่อฟังความหมายของหรงจิงได้ชัดเจนแล้ว เซียงฉือจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยฮ่องเต้คลายชุดคลุมตัวนอกออกแล้วนำไปแขวนบนไม้แขวนเสื้อ นางถูกฮ่องเต้จับแขนพาเข้าไปด้านใน
หรงจิงเคยชินกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าในตำหนักฉินเจิ้ง แล้วจึงค่อยเดินผ่านห้องหนังสือของเซียงฉือที่มีนามว่าหนิงอวี้เซวียน จากนั้นจึงเปิดประตูสู่หลังตำหนัก
เดินเข้าไปในห้องนอนของตนตามปกติ เมื่อเดินไปถึงที่นั้นแล้วจึงค่อยปล่อยมือเซียงฉือ ตัวเองเดินเข้าไปข้างตั่งแล้วขยับออกสองก้าวไปทางข้างเตียงนอน
เซียงฉือตกตะลึง หรงจิงโยนผ้าห่มบนเตียงข้ามไป
“ข้าเป็นคนหลับยาก เจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุยกับข้าก่อน รอให้ข้าหลับแล้วเจ้าถึงไปนอนได้”
เซียงฉือได้ยินคำพูดนี้แล้ว ฮ่องเต้ยังไม่บรรทม ที่แท้ทุกคืนที่เขาตรวจอ่านรายงานเป็นเพราะเขานอนไม่หลับนี่เอง ไม่นอน มิน่าเล่าขอบตาเขาจึงได้ดำคล้ำ ในตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย อาการปวดศีรษะเป็นประจำก็คงเพราะสาเหตุนี้ด้วยกระมัง
[1]ยามจื่อ (子时)ช่วงเวลาระหว่าง 23.00 น. – 1.00 น.
ตอนที่ 373 เล่านิทาน
พอหรงจิงพูดจบก็เลือกท่าสบายของตนแล้วหลับตาลงนอน
เซียงฉือมองดูตั่งด้านข้างกับผ้าห่มบางบนนั้น เมื่อหายตะลึงแล้วจึงหดกายเข้าไปในผ้าห่ม หาตำแหน่งสำหรับเอนกายแล้วรอหรงจิงเอ่ยปาก
ความเงียบบังเกิดอยู่นาน แสงจันทร์เบื้องนอกสาดส่องเข้ามาในห้อง เซียงฉือได้กลิ่นหอมผ่อนคลายจิตใจในอากาศ กลิ่นแบบนี้ยิ่งทำให้นางง่วงนอนจนสามารถหลับไปได้ในทุกขณะ แต่นางต้องฝืนความอยากนอน เค้นสมองคิดว่าจะทำอย่างไรให้หรงจิงได้หลับเร็วขึ้น
แต่พอหลับพักสายตาไปนาน ลมหายใจก็ค่อยๆ สม่ำเสมอ ความรู้สึกเหมือนนอนหลับไปแล้ว
หรงจิงรออยู่ครู่หนึ่งไม่เห็นเซียงฉือมีปฏิกิริยาอะไร คิดว่านางคงเหมือนกับหญิงสาวทั่วไปที่ไม่สามารถอดหลับอดนอนในราตรียาวนานได้จึงหลับไปก่อน ถึงแม้เขาจะอ่อนใจแต่ก็ไม่ได้เป็นฮ่องเต้โหดร้าย และไม่ได้คิดจะทำอะไรเซียงฉือจริงๆ
หรงจิงถอนใจยาวลืมตาขึ้นมองมุ้งเหนือศีรษะตน เขาปรารถนาจะเป็นฮ่องเต้ที่ขยันขันแข็ง แต่เขาก็เป็นโรคนอนไม่หลับรุนแรง มักไม่สามารถนอนหลับได้ และบ่อยครั้งที่นอนไม่พอทำให้ปวดศีรษะแทบระเบิด ถึงจะหาหมอมีชื่อเสียงมากมาย กินยาดีๆ ไปก็มาก แต่ก็เพียงสามารถบรรเทาได้เล็กน้อยเท่านั้น ผ่านไปช่วงหนึ่งก็ยังคงต้องนอนพลิกตัวไปมา ไม่สามารถหลับลงได้
“เฮ้อ!” เสียงถอนใจยาวของหรงจิงทำให้เซียงฉือที่อยู่ด้านข้างตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิด
เซียงฉือคลานลุกขึ้นแล้วไปเกาะพนักเก้าอี้มองดูหรงจิง ในความมืดมีเพียงแสงไฟอ่อนกำลังสองดวงกะพริบไหว ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนางจึงได้พูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดวิธีที่ดีได้แล้วเพคะ คิดว่าน่าจะได้ผลนะเพคะ”
เซียงฉือเกาะพนักเก้าอี้ไว้ด้วยท่าทีเกียจคร้าน หรงจิงได้ยินเสียงนางก็ดีใจอย่างยิ่ง เขาหันกายกลับมามองดูนาง ดวงตาแวววาวคู่หนึ่งมองดูฝ่ายตรงข้ามอยู่ในความมืด
“วิธีอะไร ถ้าใช้ได้ผลละก็ ข้าจะตบรางวัลเจ้าอย่างงาม”
หากในเวลานอนไม่มีใครอยู่ข้างๆ หรงจิงจะเป็นการดี เพราะหากมีคนจะยิ่งทำให้เขาหลับยากขึ้น ดังนั้นทุกวันเขาจึงต้องทำให้ตนเองเหนื่อยล้าจนหมดเรี่ยวแรงจึงจะสามารถฟุบอยู่กับโต๊ะพักผ่อนได้สักครู่หนึ่ง
แต่ว่าครั้งก่อนนั้นที่เซียงฉือหลับอยู่บนขาของเขา เขากลับเอนกายอยู่ข้างกายนางแล้วหลับสนิทลงได้อย่างสบายใจ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจิตใจก็เบิกบานผ่อนคลาย เขาไม่ต้องพึ่งการดื่มสุราดอกท้อมากๆ เพื่อให้ตนเองเมามายจะได้นอนหลับ แต่เป็นเซียงฉือที่ทำให้เขาหลับได้จริงๆ ทั้งยังสบายอย่างยิ่ง เขายังอาลัยอาวรณ์กับความรู้สึกนั้นอยู่
เซียงฉือไม่รู้ว่าภาวะการนอนไม่หลับของหรงจิงรุนแรงถึงขั้นนั้นแล้ว ยังคงคิดว่าเป็นเพราะระยะนี้เขาพักผ่อนไม่เพียงพอ ทั้งเรื่องการนอนไม่หลับของเขานางก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่จากการอยู่เป็นเพื่อนอ่านตำราตอนกลางคืนกับหรงจิงในระยะหลังนี้ นางรู้สึกว่าเขาจะมีความแจ่มใสเปี่ยมกำลังวังชาทุกวัน
พอนางได้ยินหรงจิงว่าจะมีรางวัลให้ด้วยจึงไม่อ้ำอึ้งแล้วรีบบอกวิธีการของตนออกมา
“วิธีของหม่อมฉันก็คือการเล่านิทานเพคะ”
เซียงฉือเอาจริงเอาจังและพูดอย่างจริงจัง หรงจิงยิ้มโดยไม่ขัดจังหวะนาง รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนริมฝีปากแสดงออกถึงอารมณ์ที่ดีของเขา
“เล่านิทานหรือ ก็เป็นวิธีหนึ่ง งั้นก็เริ่มเลย”
เซียงฉือได้ยินแล้วก็รู้สึกสนุก เมื่อครู่นางได้ทบทวนนิทานที่เคยได้ฟังมาตั้งแต่เล็ก แล้วคัดพวกนิทานหลอกเด็กออกไป เลือกเอาเรื่องที่สนุกที่สุดออกมาเล่า
“มีเรื่องเล่าว่าที่ทะเลตะวันออกมีเซียนอยู่ผู้หนึ่ง ผมและหนวดขาวโพลน มีเครายาวจรดลงถึงหลังเท้า เขาเป็นเซียนที่มีตบะล้ำลึก รักษาโรคและช่วยเหลือผู้คน แต่ว่าผู้คนในโลกกลับไม่มีใครรู้ว่าเขาชื่ออะไร ทุกคนพากันสงสัย ต่างคิดอยากรู้จักชื่อของเขา…”