บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 408 อาจารย์องค์หญิง / ตอนที่ 409 เหรินเซินกั่ว
บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 408 อาจารย์องค์หญิง / ตอนที่ 409 เหรินเซินกั่ว
ตอนที่ 408 อาจารย์องค์หญิง
หรงจิงเป็นคนที่ยากจะต่อต้านจริงๆ เขาเป็นดั่งพระอาทิตย์ที่อบอุ่นจนเป็นที่ปรารถนาของทุกคน ถึงแม้จะมีเวลาที่มืดครึ้มบ้าง แต่ก็ยังคงสามารถให้ความชุ่มชื่นแก่ผืนปฐพีได้ ซึ่งเขาเป็นคนเช่นนี้เอง
เขาเกิดมาเป็นเจ้า ที่ส่งประกายแสงระยิบระยับ
ฤดูร้อนผ่านไปหมดสิ้น หลังฝนในสารทฤดูผ่านไปอากาศก็ยิ่งเย็นลง การสอบเข้าเป็นข้าราชการระดับท้องถิ่นผ่านมาจนถึงระดับหน้าพระที่นั่งแล้ว และเรื่องการทุจริตที่หรงจิงเป็นห่วงก็ได้เริ่มตระเตรียมการ
เนื่องจากหรงจิงเตรียมจะคัดเลือกคนใหม่ที่มีความรู้ความสามารถจากการสอบในครั้งนี้เพื่อมาใช้ในงานนี้ เพราะเหอเจี่ยนสุยบอกกับเขาว่าพวกคนเก่าคนแก่ขาดพลังความฮึกเหิม ถึงแม้จะมากประสบการณ์ แต่ก็เป็นเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เป็นเสียทั้งหมด
หรงเฉิงเยี่ยปรึกษากับเขาในการเตรียมเลือกคนจากการสอบครั้งใหม่ โดยคัดจากพวกจิ้นซื่อที่เป็นบัณฑิตไม่เคยรับราชการมาก่อน คัดคนจากทุกหน่วยงาน
พวกเขาเตรียมการและเตรียมจะทำให้ดีที่สุด
ก่อนหน้านี้หรงจิงคิดจะหาพระอาจารย์ให้กับองค์หญิงหรงเย่ว์และยังองค์หญิงหมิงอวี้มาตลอดเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้พวกนาง องค์หญิงหมิงอวี้ใกล้เป็นสาวแล้วแต่องค์หญิงหรงเย่ว์ยังเด็กอยู่
ความจริงได้เลือกเหอจิ่นเซ่อเป็นอาจารย์ขององค์หญิงทั้งสองแล้ว แต่ว่าเหอจิ่นเซ่อกลับเสนอเหอเจี่ยนสุย
เหตุผลของเหอจิ่นเซ่อแสนง่ายดาย เพียงเพราะเหอเจี่ยนสุยมีหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์อยู่แล้ว เป็นถึงหัวหน้าสำนักศึกษา อีกทั้งความรู้ความสามารถของเขาเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะสอนให้แก่เหล่าโอรสธิดา
หรงจิงคิดว่าสตรีนั้นควรมีความรู้ในศาสตร์ทั้งหก[1]เป็นหลัก แต่เป็นถึงองค์หญิงแห่งราชวงศ์ ควรต้องมีความองอาจผึ่งผายอยู่บ้าง และรู้สึกว่าทั้งความรู้และอุปนิสัยของเหอเจี่ยนสุยล้วนเป็นเลิศ เป็นบุคคลที่มีความเหมาะสมที่สุด
ดังนั้นวันนี้เหอเจี่ยนสุยจึงได้เข้าวังมาเพื่อสอนหนังสือองค์หญิงทั้งสอง
เซียงฉือดีใจอย่างยิ่ง เพราะนางจะได้พบเหอเจี่ยนสุยที่เข้าออกวังทุกวัน
เซียงฉือได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้ไปมาหาสู่องค์หญิงหมิงอวี้บ่อยๆ ดังนั้นตอนนี้จึงได้เข้าไปในหมิงอวี้ถัง อันเป็นตำหนักในการสอนหนังสือ
เหอเจี่ยนสุยมีนักเรียนเจ็ดคน นอกจากหมิงอวี้กับหรงเย่ว์สององค์หญิงแล้ว ยังมีจวิ้นจู่ธิดาของชินอ๋องอีกสามองค์เข้าเรียนด้วย และยังมีบุตรสาวขุนนางขั้นที่หนึ่งในราชสำนักอีกสองคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหรงเย่ว์อีกด้วยที่ได้รับพระกรุณาเรียกให้เข้าวังศึกษาด้วยกัน
เหอเจี่ยนสุยสวมชุดราชสำนักสีฟ้าอ่อน เนื่องเพราะเป็นพระอาจารย์ขององค์หญิงไม่ได้เข้าวังในฐานะอาจารย์สำนักศึกษาจึงได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ทั้งไม่ได้มุ่นผม ปล่อยให้สยายประบ่า ดูยิ่งหล่อเหลางามสง่า
เซียงฉือรู้สึกตลอดมาว่าเหอเจี่ยนสุยเป็นบุรุษผู้มีความรู้ที่ไม่เคร่งครัดกับกฎเกณฑ์ใดๆ เป็นที่สุด คิ้วเรียวตากระจ่างใส จมูกโด่งเป็นสันปลายจมูกยังมีไฝเสน่ห์เม็ดหนึ่ง พอนึกขึ้นมาแล้วเซียงฉือก็หัวเราะออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
เสียงหัวเราะของนางถูกเสียงอ่านหนังสือน่ารักของเด็กๆ กลบไปหมด แต่ว่าเหอเจี่ยนสุยมองเห็นนางแต่แรกแล้ว
เซียงฉือยืนอยู่ใต้ระเบียง นิ้วมือนางแตะริมฝีปากเบาๆ หดคออย่างรู้สึกเกรงใจ
นางสามารถมองเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีของเหอเจี่ยนสุย แต่เขาก็รีบกลบเกลื่อนได้โดยเร็ว เขาส่งยิ้มเต็มที่ให้นางแล้วสอนหนังสือต่อไป
แรกเริ่มได้เรียนคัมภีร์ตรีอักษร[2]ไปแล้ว วันนี้จึงเรียนคัมภีร์กวี[3]
“นกจวีจิวพร่ำเพรียก กู่หาเรียกกลางเกาะน้ำ สาวดีงามอ่อนหวาน หนุ่มทั้งหลายล้วนหมายปอง”
อวิ๋นเซียงฉือมองดูเหอเจี่ยนสุยที่ยืนสอนอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทางเป็นงานเป็นการ ทำให้คิดถึงวันเวลาในอดีตที่ท่านปู่นั่งอยู่ด้านบน โดยมีพวกเขาทั้งสองนั่งอยู่ด้านล่างอย่างซุกซน
วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆ เขาได้กลายมาเป็นพระอาจารย์ขององค์หญิง ส่วนนางกลายเป็นข้าราชสำนักสตรีข้างกายฮ่องเต้
เซียงฉือหมุนกายนั่งลงตรงใต้ระเบียบรอให้องค์หญิงหมิงอวี้เลิกเรียน
เหอเจี่ยนสุยเพียงสอนคัมภีร์ตำราต่างๆ ส่วนเรื่องงานฝีมือ บทเรียนสอนหญิง บันทึกสตรีโดดเด่นในอดีตเหล่านั้นล้วนเป็นหน้าที่ของข้าราชสำนักสตรีในวัง
เหอจิ่นเซ่อสอนเรื่องศีลธรรมคุณธรรมของสตรี และได้ยินมาว่าวิชาอื่นๆ ก็มีข้าราชสำนักสตรีที่มีคุณธรรมและบารมีสูงในกองราชเลขามาเป็นผู้รับผิดชอบ
[1] ศาสตร์ทั้งหก (六艺) คือศาสตร์หกแขนงในสมัยโบราณ ได้แก่ หลี่ (礼) หมายถึงจารีตพิธี เล่อ (乐) หมายถึงการดนตรี เซ่อ(射) หมายถึงการยิงธนู อวี๋ (御)หมายถึงการบังคับรถม้า ซู (书)หมายถึงการเขียนอักขระจีน การประพันธ์ ซู่ (数) หมายถึงคณิตศาสตร์การคำนวณ
[2] คัมภีร์ตรีอักษร (三字经) เป็นแบบเรียนขั้นพื้นฐานสำหรับการหัดอ่านเบื้องต้น อ่านง่ายด้วยคำคล้องจองเพื่อช่วยให้จดจำง่าย ทั้งยังมีข้อคิดดีๆ จากจารีตโบราณ ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จริยธรรมและคุณธรรม รวมถึงตำนานพื้นบ้านบางเรื่อง
[3] คัมภีร์กวี (诗经) เป็นหนังสือรวบรวมบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดของจีน จำนวน 305 บท
ตอนที่ 409 เหรินเซินกั่ว
เซียงฉือรอไม่นานเท่าใด ในห้องเรียนก็มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้น แล้วเด็กหญิงกลุ่มหนึ่งพากันกรูออกมา
นางลุกขึ้นทำความเคารพเหอเจี่ยนสุย เขาเดินออกมาเป็นคนแรกแล้วเดินตรงมาหาเซียงฉือทันทีที่เห็นนาง ลนลานจนลืมคารวะตอบ เอ่ยปากถามขึ้นทันทีว่า
“เซียงฉือ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง แข็งแรงดีแล้วหรือไม่”
คิดว่าเหอจิ่นเซ่อคงได้บอกกล่าวแก่เหอเจี่ยนสุยในเรื่องความคิดของนางแล้ว ดวงตาเขาจึงได้กระจ่างใสร้อนแรงขึ้นมาอีก เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
เซียงฉือทำความเคารพ เพราะเคยชินกับการอยู่ข้างกายหรงจิงจึงไม่กล้าละเมิดแม้แต่น้อย
“เซียงฉือสบายดี ทำให้ใต้เท้าต้องเป็นห่วงแล้ว”
เซียงฉือมองเห็นเหล่าท่านหญิง องค์หญิงเดินออกมาจากด้านหลังจึงผงกศีรษะให้องค์หญิงหมิงอวี้
“ถวายพระพรองค์หญิง ท่านหญิงทุกพระองค์เพคะ”
เซียงฉือหมุนกายคารวะรอบแล้วยืนตัวตรง นางมองเหอเจี่ยนสุย ยิ้มอย่างอ่อนโยน เหอเจี่ยนสุยหัวเราะเฝื่อนรู้สึกว่าเซียงฉือห่างเหินจากเขาไปมากเหมือนกำลังควบคุมตนเองอยู่ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพียงได้พบกันเช่นนี้ เขาก็ดีใจมากแล้ว
“ใต้เท้าอวิ๋นมาที่นี่เป็นเพราะฝ่าบาททรงเป็นห่วงเรื่องการเรียนขององค์หญิงเช่นนั้นหรือ”
เหอเจี่ยนสุยรู้ดีว่าเวลานี้ไม่เหมาะที่จะพูดคุยเรื่องความห่วงใยส่วนตัวจึงได้ถามออกไปตามฐานะอาจารย์
องค์หญิงหมิงอวี้วิ่งเข้ามาจับแขนเซียงฉืออย่างสนิทสนม แล้วพูดยิ้มร่าเริงว่า
“เซียงฉือ ท่านมารับข้าอีกแล้ว ดีจังเลย”
เซียงฉือพยักหน้าให้องค์หญิงหมิงอวี้ จากนั้นจึงพูดกับเหอเจี่ยนสุยว่า
“ฝ่าบาททรงสนพระทัยกับการศึกษาขององค์หญิงทั้งหลายเสมอมา แต่ตอนนี้เพราะเซียงฉือได้ของที่น่าสนุกมาจึงจะมาชวนองค์หญิงหมิงอวี้ให้ไปทอดพระเนตรด้วยกันเจ้าค่ะ”
เหอเจี่ยนสุยยิ้มแล้วประสานมือ ในเวลาปกติเซียงฉือกับเขาก็เพียงสามารถคุยกันได้ด้วยคำพูดเพียงเท่านี้เท่านั้น
แต่เซียงฉือก็ยังดีใจมากและรอคอย
นางพาองค์หญิงหมิงอวี้เดินไปทางตำหนักเจิ้งหยาง
นางมีของน่าสนใจจริงๆ ซึ่งฮ่องเต้เพิ่งจะพระราชทานให้แก่นาง
แต่ไม่ได้น่าสนุกเท่าไหร่ เพียงแต่นางไม่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้น
เหอเจี่ยนสุยจากไปแล้ว เซียงฉือหยิบเหรินเซินกั่ว[1] ผลไม้สีขาวใสที่ฮ่องเต้หยิบจากจานโยนให้นางสองลูก ตอนนี้นางจึงนำมา
“องค์หญิงดูนี่สิเพคะ เมื่อวานมีฑูตส่งมาถวายเป็นการเฉพาะ รูปร่างเหมือนตุ๊กตาอ้วนๆ เรียกว่าเหรินเซินกั่ว หม่อมฉันรู้ว่าองค์หญิงโปรดของเสวย นี่ไงเพคะ หม่อมฉันนำมาถวายอย่างภักดีแล้วหรือไม่เพคะ”
เมื่อคลี่ผ้าเช็ดหน้าออก สิ่งที่เห็นเหมือนตุ๊กตาอ้วนท้วนขาวใสสองตัวอยู่ด้านใน เซียงฉือนั่งลงที่ใต้ระเบียงแบ่งปันกับสหายของตน
องค์หญิงหมิงอวี้เป็นคนง่ายๆ เป็นเด็กสาวที่ทำให้คนชื่นชอบ เซียงฉือเห็นนางประดุจน้องสาวที่มีนิสัยชอบกิน ดังนั้นเมื่อมีของอร่อยก็จะคิดถึงนางเป็นคนแรก
หมิงอวี้ยิ้มร่าเริงถือตุ๊กตาเหรินเซินด้วยท่าทางดีใจอย่างยิ่ง
แต่ว่าวันนี้เมื่อนางเห็นเหรินเซินกั่วนี้แล้วไม่ได้รีบกินในทันที กลับพินิจพิจารณาอย่างจริงจัง
เซียงฉือเห็นท่าทางที่ดีใจของนางแล้วรู้สึกมีความสุข แต่พอนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นองค์หญิงหรงเย่ว์ตัวน้อยยืนอยู่ไม่ห่างออกไป ความจริงนางจะจากไปแต่ไม่รู้เหตุใดจึงได้ยืนมองเซียงฉือกับหมิงอวี้อยู่กับที่เช่นนั้น
หรงเย่ว์เป็นพระธิดาองค์แรกของฮ่องเต้ พระมารดาคือชายาจิ้งเฟย ใบหน้าน้อยๆ นั้นคล้ายคลึงฮ่องเต้อย่างยิ่ง เพียงแต่มีความงามละมุนละไมของสตรีมากกว่า
ใบหน้าหรงจิงเย็นชา เวลาที่หรงเย่ว์ไม่ยิ้มก็จะมีท่าทางเหมือนบิดาอยู่มาก แต่เมื่อเซียงฉือลุกขึ้นมาทำความเคารพนาง ใบหน้านั้นก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว น่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง
[1] เหรินเซินกั่ว (人参果) มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Pepino Melon คือเมล่อนจิ๋ว ส่วนในนิยายเรื่องไซอิ๋ว เหรินเซินกั่วคือผลไม้วิเศษที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเด็กอายุไม่ถึงสามวัน จะผลิดอกทุกสามพันปี ออกผลอีกสามพันปีและใช้เวลาอีกสามพันปีจึงจะสุกงอม ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งหมื่นปีถึงจะกินได้ แต่ละครั้งจะออกเพียงสามสิบผล มนุษย์คนใดหากมีวาสนาได้ดมสักครั้ง จะมีอายุยืนถึง 360 ปี ได้ทานสักผล อายุก็จะยืนยาวถึง 47,000 ปี