บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 434 ปลอดปล่อยจินกุ้ยเฟย / ตอนที่ 435 เกษมสำราญ
บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 434 ปลอดปล่อยจินกุ้ยเฟย / ตอนที่ 435 เกษมสำราญ
ตอนที่ 434 ปลอดปล่อยจินกุ้ยเฟย
เซียงฉือรู้ดีอยู่แล้วว่าการปลดปล่อยจินกุ้ยเฟยเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วไม่ช้าก็เร็วซึ่งนางเตรียมทำใจไว้อยู่แล้ว แต่พอมาได้ยินเช่นนี้ก็ยังรู้สึกรับไม่ค่อยได้ ทว่าอย่างไรก็จำเป็นต้องผ่านไปให้ได้
หรงจิงยังคงมองดูสีหน้าเซียงฉืออยู่ ในเวลานี้หากนางแสดงความไม่พอใจ นั่นหมายความว่านางไม่รู้กาลเทศะจริงๆ
ถึงแม้หรงจิงจะรักและเชื่อใจนาง แต่ก็จะไม่ยอมให้นางซึ่งเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีคนหนึ่งมาทำลายแผ่นดินของเขา
เซียงฉือควรต้องเข้าใจและยังควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้อีกด้วย
เซียงฉือจึงฟังเฉยๆ แต่เป็นซูเฟยที่ระยะนี้คอยแต่กดขี่รังแกจินกุ้ยเฟยรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เรื่องการคัดเลือกสาวงามเป็นหน้าที่รับผิดชอบเดิมของจินกุ้ยเฟย ซึ่งนางจะเลือกเอาแต่พวกคนของนางเข้ามา แต่ปีนี้มีนางเป็นคนคัดเลือก ย่อมต้องทำเพื่อให้มีความทัดเทียมกัน
นางเพียงหวังให้หรงจิงไปคัดเลือกสนมที่ตำหนักเหวินอิง คิดไม่ถึงว่าหรงจิงจะถือโอกาสนี้อภัยโทษให้จินกุ้ยเฟย
ซูเฟยแค้นจนอยากจะกลืนคำพูดของตนกลับ แต่ไม่ว่านางจะคิดเช่นไร เรื่องนี้ก็เป็นที่แน่นอนและไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
ซูเฟยเปลี่ยนความคิดแล้วจึงพูดว่า
“ถ้าหากฝ่าบาทจะไม่เสด็จก็ขอให้ทรงส่งคนใกล้ชิดไปสังเกตการณ์ก็ยังดีเพคะ เพื่อจะได้เป็นพยานในความบริสุทธิ์ของหม่อมฉัน หญิงสาวเหล่านั้นถูกคัดเลือกส่งมาไกลเป็นหมื่นลี้ ในความรู้สึกของหม่อมฉันเห็นว่าดีงามทุกคนเพคะ”
“ฝ่าบาทไม่เสด็จไปทอดพระเนตรเอง เช่นนั้นขอทรงส่งคนที่เชื่อถือได้ไปแทนพระองค์ด้วยเถิดเพคะ”
เซียงฉือกำลังจะออกไปก็ถูกซูเฟยเรียกไว้
“ฝ่าบาททรงเห็นว่าใต้เท้าอวิ๋นเป็นอย่างไรบ้างเพคะ คนในวังต่างรู้ว่าฝ่าบาททรงเชื่อใจใต้เท้าอวิ๋นที่สุด ถ้าเช่นนั้นให้ใต้เท้าอวิ๋นไปเป็นผู้สังเกตการณ์ ดีไหมเพคะฝ่าบาท”
เซียงฉือตะลึงผลุนผลันเงยหน้าขึ้น ขณะกำลังจะปฏิเสธก็ได้ยินคำพูดของหรงจิง
“เอาละ ถึงตอนนั้นข้าไปเอง หากซูเฟยไม่มีเรื่องอื่นใดก็กลับไปก่อนเถิด”
หรงจิงออกคำสั่งไล่แขก แต่ซูเฟยพอได้รับคำตอบรับจากฮ่องเต้ก็ยินดีปรีดาไม่ได้คิดอะไรมาก
ส่วนเซียงฉือยังยืนงงอยู่กับที่ไม่รู้ควรกล่าวอะไร
“เป็นพระกรุณาเพคะ”
เซียงฉือไม่คิดจะเข้าไปยุ่งกับฝ่ายในมากนัก ไม่ว่าซูเฟยหรือจินกุ้ยเฟยต่างแฝงความชั่วร้ายซุกซ่อนในใจ การที่เจตนาให้เซียงฉือไปเช่นนี้ย่อมต้องไม่ประสงค์ดี และหากนางทึ่มทื่อไปจริงๆ มิต้องถูกนางที่มีอำนาจสูงส่งทั้งสองคนข่มเหงรังแกตามใจชอบอยู่ที่ฝ่ายในหรอกหรือ
เซียงฉือคารวะหรงจิงแต่เขาไม่พูดอะไรเพียงลุกขึ้นเตรียมจะเข้าไปพักผ่อนยังตำหนักหลัง แต่พอเงยหน้ามองเห็นโคมไฟดอกท้อของเซียงฉือจึงยื่นมืออกไปลูบคลำแล้วถามอย่างสนใจว่า
“เซียงฉือ โคมไฟดอกท้อนี้เป็นของเจ้าหรือ”
เซียงฉือมองดูแล้วตกใจ แต่ก็เดินเข้าไปที่ข้างกายหรงจิงตอบเสียงเบาว่า
“เพคะฝ่าบาท”
หรงจิงยิ้มกว้างขึ้น วันนั้นเพียงเพราะได้ยินเรื่องเล่าขานกันเช่นนั้นจึงนึกสนุก และอยากจะมีความสุขร่วมกับประชาชนบ้าง ทั้งยังอยากรู้ว่าเทศกาลอวี้หลานเป็นอย่างไรจึงได้เลือกโคมไฟอันที่เขาต้องตาถือเดินไปตลอดทาง
แต่คิดไม่ถึงว่าเซียงฉือก็เป็นเหมือนกับเขา
หรงจิงมองดูต้นท้อบนโคมนั้น
ตอนที่ 435 เกษมสำราญ
หรงจิงมองดูเซียงฉืออีกแต่ไม่พูดอะไร เขาเตรียมจะไปนอนกลางวัน เซียงฉือเงยหน้าขึ้นเห็นกล่องไหมที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้องจึงขมวดคิ้ว ที่แท้มันก็ยังไม่ถูกใครมาเห็นเข้า
เมื่อหรงจิงเห็นสายตาเซียงฉือมองไปบนโต๊ะทำงานตนจึงมองตามไป
เซียงฉือไม่คิดว่าเขาจะเดินเข้าไป แต่หรงจิงยื่นมือไปเปิดกล่อง
“เจ้าเด็กต๊อง นับว่ายังมีน้ำใจ”
หรงจิงหยิบของขวัญที่เซียงฉือมอบให้เขาออกมา เป็นตุ๊กตารูปคนปั้นจากดินตัวเล็กน่ารักอย่างยิ่ง ข้างใต้ยังมีถุงหอมใบหนึ่ง
หรงจิงหยิบออกมาสูดเบาๆ ข้างใต้จมูก
“หมีเตี๋ยเซียง กานเฉ่า จื่อเซียงเยี่ย ล้วนใช้ผ่อนคลายจิตใจทั้งนั้นนี่”
จมูกของหรงจิงเฉียบคมมาก เพียงสูดดมเบาๆ ก็สามารถบอกส่วนผสมหลักข้างในออกมาได้
เซียงฉือเห็นเขาชอบก็ยิ้มออกมา
“หม่อมฉันทราบว่าฝ่าบาททรงตรากตรำราชกิจ ทรงบรรทมหลับยากในตอนกลางคืนจึงได้เย็บถุงหอมเจ็ดใบนี้ สามารถแขวนไว้ข้างแท่นบรรทม คิดว่าน่าจะช่วยให้บรรทมได้นะเพคะ”
เซียงฉือหยิบถุงหอมที่เหลืออยู่ข้างในกล่องออกมาหมด
ความจริงหากจะมอบให้หรงจิง การปักเป็นรูปมังกรจะเหมาะสมที่สุด แต่เซียงฉือนำทุกต้นไม้ใบหญ้าในหอทิงเฟิงมาแยกปักลงบนถุงหอมพวกนี้ นางเริ่มปักตั้งแต่รู้ว่าฮ่องเต้มีความผิดปกติในเรื่องนี้ ฝีเข็มนางละเอียดลอออย่างยิ่งแต่เวลานางมีไม่มาก กระท่อนกระแท่นอยู่นานจึงจะสามารถปักถุงหอมชุดนี้ออกมาได้
หรงจิงมองดูทีละใบยิ้มๆ ความชื่นชมในดวงตาแทบจะหลั่งล้นออกมา
เขาลูบนิ้วลงบนลวดลายนั้นแล้วถอนหายใจเบาๆ
“ฝีมือการปักของเจ้าไม่เลวจริงๆ ปักเสียดอกท้อราวกับเป็นของจริงเช่นนี้ ข้าชอบมาก”
ตอนที่เขาหันหน้ามามองเซียงฉืออีกครั้ง เพียงพูดขึ้นว่า
“ทำดีเสียขนาดนี้ อยากได้อะไรบอกมา”
เซียงฉือจมอยู่ในคำชื่นชมของหรงจิง ความปีติยินดีชั่วครู่มลายไป นางมองดูหรงจิงอย่างกระอักกระอ่วน หรงจิงจึงตบศีรษะนาง
“นอกจากเรื่องจินกุ้ยเฟยแล้วเจ้าพูดได้หมด ฉวยโอกาสที่ข้ายังอารมณ์ดีอยู่เสีย”
เซียงฉือมองดูหรงจิง สงสัยว่าสตรีในใจของเขาหากทำดีกับเขาแล้ว ต่างล้วนมีข้อเรียกร้องกระมัง เขาจึงได้ถามเช่นนี้ ก่อนหน้าเขาเห็นนางเป็นคนนอก ต่อมาก็รวมนางเข้ากับเหล่าสตรีในฝ่ายในไปแล้ว
เซียงฉือนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“หม่อมฉันเพียงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงปลดปล่อยครอบครัวหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันไม่อาจทดแทนอื่นใดได้จึงได้ทำอะไรตื้นเขินเช่นนี้ เพียงฝ่าบาทไม่ทรงรังเกียจ ก็เป็นเกียรติยศของหม่อมฉันอย่างยิ่งแล้วเพคะ”
เซียงฉือรู้สึกขมขื่นใจอยู่บ้าง นี่แหละฮ่องเต้ สิ่งนี้แหละที่เขาไม่เหมือนกับเหอเจี่ยนสุย
คิดไปแล้วนางก็ขื่นขมใจ แต่นางไม่ต้องการติดค้าง หลังจากนี้นางเพียงช่วยเหลือเขาให้เต็มที่ ทำให้สุดกำลังความสามารถของนางเพื่อหน้าที่ของข้าราชสำนักที่สมบูรณ์
ส่วนเรื่องอื่นๆ นางไม่ต้องการติดค้างอีก ก็เพียงเท่านี้เอง
หรงจิงทอดถอนใจ “เจ้าไม่ต้องการขออะไรจริงหรือ”
“ต้องการเพียงความสบายใจเท่านั้นหรือ”
เสียงของหรงจิงไม่ดังแต่เซียงฉือฟังแล้วใจสั่นไหวขึ้นน้อยๆ ราวกับนางสามารถฟังความหมายอื่นในถ้อยคำนั้นออกได้ แต่ว่านางยังไม่เข้าใจ
หรงจิงจึงพูดต่อ
“แม้หากเจ้าจะบอกกับข้าว่าเจ้าอยากออกจากวัง อยากแต่งงาน ข้าก็อาจตอบตกลงได้นะ”
เซียงฉือเงยหน้ามองหรงจิง ชั่ววูบหนึ่งในใจราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปอย่างรุนแรง
เขาบอกว่าแม้จะขอออกจากวัง ไปแต่งงาน เขาก็อาจจะยินยอม
นางควรจะพูดออกมาหรือไม่ ควรขอพระกรุณาไหม จะพูดดีหรือไม่ดีนะ
อกของนางกระเพื่อมอย่างรุนแรง คำพูดขอความกรุณาเหมือนจะติดอยู่บนริมฝีปาก เพียงแค่นางขยับปากก็สามารถพูดออกมาได้แล้ว
แต่ว่านางมองหรงจิง มองอยู่เป็นเวลานาน