บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 438 พบกับจินกุ้ยเฟย / ตอนที่ 439 เซียงฉือเดือดดาล
บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 438 พบกับจินกุ้ยเฟย / ตอนที่ 439 เซียงฉือเดือดดาล
ตอนที่ 438 พบกับจินกุ้ยเฟย
หรงเย่ว์เงยหน้าขึ้น นางคลำก้นน้อยๆ แล้วค่อยๆ ลืมตา
เงยหน้าขึ้นช้าๆ เห็นใบหน้าที่งดงามเป็นหนึ่งไม่มีสอง สวมกระโปรงจันทราและดอกไม้ที่หรูหราทับด้วยเสื้อสีขาวสั้นที่ด้านนอก เมื่อคิดนึกขึ้นได้แล้วก็สะดุ้งไม่กล้าคลำก้นอีก พลันร่างก็ยืนนิ่งไม่กล้าขยับ
หมิงเอ๋อร์ที่ด้านหลังรีบตามขึ้นมาทันที
“ถวายพระพรกุ้ยเฟย ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ”
“องค์หญิงทรงพระเยาว์ล่วงเกินกุ้ยเฟยเข้าแล้ว กุ้ยเฟยทรงมีพระทัยกว้างขวาง ขอโปรดทรงประทานอภัยให้องค์หญิงด้วยเพคะ”
หมิงเอ๋อร์พาคนด้านหลังทั้งหลายรีบคุกเข่าลง สตรีที่เบื้องหน้าคนนี้ก็คือจินกุ้ยเฟยที่เพิ่งได้รับการปลดปล่อยออกมา
พวกนางล้วนรู้นิสัยของจินกุ้ยเฟยดี หากนางสั่งพวกนางกำนัลให้ตีหรงเย่ว์ โดยนิสัยของจิ้งเฟยแล้ว นางคงเพียงกอดบุตรสาวแล้วร้องไห้ แต่ไม่กล้าไปร้องเรียนต่อฮ่องเต้
จินกุ้ยเฟยถูกกักตัวอยู่หลายวันโทสะจึงมีไม่น้อย หลิ่วเหยียนเข้าไปใกล้ทันทีแล้วกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูจินกุ้ยเฟย
ดวงตาจินกุ้ยเฟยผุดความโกรธแค้นขึ้นมา
“อายุน้อยเท่านี้ก็รู้จักไปเรียกร้องความสนใจต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทแล้ว เรียนรู้มาจากแม่จ้าล่ะสิ”
“ก็แค่พวกจอมปลอม นิสัยเดียวกับแม่ของมัน แสร้งทำเป็นสูงส่ง นังจิ้งจอกน้อย!”
คิดว่าคงเพราะหลิ่วเหยียนบอกกับนางว่าระหว่างที่จินกุ้ยเฟยถูกกักบริเวณอยู่นี้ หรงจิงเพราะไปเยี่ยมหรงเย่ว์ ทั้งเดือนนี้จึงไปตำหนักเฮ่อเหลียนของจิ้งเฟยบ่อยที่สุด
พอคิดแล้วนางก็ไม่พอใจ แต่นางเพิ่งถูกปล่อยตัวออกมาจึงรู้ว่าควรต้องสำรวม ถึงจะว่านางอย่างสาดเสียเทเสีย แต่ก็ไม่ได้ลงโทษแต่อย่างไร
“ไป ไป เห็นแล้วหงุดหงิด!”
จินกุ้ยเฟยกวาดตามองก้อนเนื้อน้อยๆ เบื้องหน้านั้นแล้วพ่นลมหายใจออกจมูก หางตาผุดแววเหยียดหยามเดินผ่านข้างกายหรงเย่ว์ไป เซียงฉือวิ่งช้ากว่าเพื่อนจึงเพิ่งจะไล่ตามทัน แล้วก็มาพบกับจินกุ้ยเฟยพอดี
เซียงฉือไม่กล้าหาภัยใส่ตัว ถึงแม้ในใจจะไม่ยินยอมเพียงใด แต่ก็ยังคงทำความเคารพจินกุ้ยเฟย
“อวิ๋นเซียงฉือถวายพระพรกุ้ยเฟย ขอกุ้ยเฟยทรงพระเกษมสำราญเพคะ”
เซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรี เมื่อพบพระสนมจึงเพียงค้อมกายทำความเคารพ ไม่ต้องคุกเข่ากราบกราน ขณะนั้นนางยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อมยิ่ง ไร้ข้อครหา
ใบหน้านางเยือกเย็นยิ่งนัก ถึงแม้จะไม่พอใจแต่ไม่อาจแสดงออกมา ที่นี่เป็นอุทยานหลวง จินกุ้ยเฟยมีฐานะและอำนาจสูงส่ง นางจะให้ตนเองเสียเปรียบไม่ได้
“อ้อ ใต้เท้าอวิ๋น? ไม่ได้พบเสียหลายวัน ไก่ป่ากลายเป็นหงส์แล้วสินะ คิดว่าตนเองเป็นใต้เท้าจริงๆ แล้วหรือไร”
“ถึงกับกล้ามาขวางทางข้า เจ้าช่างบังอาจเกินไปแล้ว”
พอจินกุ้ยเฟยคิดขึ้นมาว่าโทษทัณฑ์ที่ตนได้รับในช่วงนี้ก็เพราะเกิดจากผู้หญิงเบื้องหน้าคนนี้แล้ว ความโกรธทั้งหลายก็ประเดประดังขึ้นมา
ความจริงนางออกมานอกตำหนักเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ แต่ไม่คิดว่ากระโปรงใหม่จะมาถูกหรงเย่ว์ประทับรอยฝ่ามือไว้สองรอย ซึ่งทำให้อารมณ์นางขุ่นมัวยิ่ง
แต่องค์หญิงหรงเย่ว์มีฐานะสูงส่ง ทำให้นางไม่กล้าทำอะไรจริงจัง แต่อวิ๋นเซียงฉือบังอาจมาขวางทาง ทำให้โทสะนางพุ่งขึ้น นางเป็นใครก็แค่ลูกสาวขุนนางต้องโทษคนหนึ่ง แต่ฮ่องเต้ถึงกับลงโทษตนเพราะนาง
จินกุ้ยเฟยยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ หลิ่วเหยียนที่ข้างกายก็ถนัดกระพือลมติดไฟ
“ใต้เท้าอวิ๋นอย่าลืมนะว่า ก่อนหน้านี้กุ้ยเฟยส่งเสริมดูแลเจ้าอย่างไร ตอนนี้พบกับกุ้ยเฟยแม้การทำความเคารพใหญ่ก็ไม่ทำแล้ว เห็นชัดว่าไม่เห็นกุ้ยเฟยของพวกเราอยู่ในสายตา”
คำพูดหลิ่วเหยียนทำให้หน้าอกจินกุ้ยเฟยกระเพื่อมรุนแรง จากนั้นดวงตางดงามคู่นั้นก็จ้องมองนางราวกับมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมา
ตอนที่ 439 เซียงฉือเดือดดาล
ช่วงที่ผ่านมานี้จินกุ้ยเฟยอยู่ในตำหนักฟังเรื่องหยุมหยิมจากหวังหมัวหมัวมามาก ตอนนี้จึงคิดจะออกมาหาความสงบ แต่ไม่คิดว่าจำเพาะต้องมาพบกับอวิ๋นเซียงฉือ
หากหวังหมัวหมัวอยู่ด้วยในตอนนี้จะต้องห้ามปรามนาง แต่นางเพียงพาหลิ่วเหยียนนางกำนัลคนสนิทมาด้วยเท่านั้น ซึ่งความสัมพันธ์ของหลิ่วเหยียนกับเซียงฉือนั้นถึงขนาดที่จะรังแกเซียงฉือทุกวิถีทางที่ทำได้
อวิ๋นเซียงฉือกึ่งก้มศีรษะทำความเคารพ จินกุ้ยเฟยเจตนากลั่นแกล้ง ปล่อยให้นางทำความเคารพโดยไม่เรียกให้ลุกขึ้นทั้งไม่ยอมจากไป ทำให้เซียงฉือยกแขนค้างยืนอยู่เช่นนั้นเป็นที่น่าตลกขบขัน
จินกุ้ยเฟยได้ยินคำพูดหลิ่วเหยียนทำให้นางยิ่งไม่พอใจ ส่งสายตาไปยังหมัวหมัวด้านข้าง หมัวหมัวสองคนจึงรีบเข้าไปทันที
“พบกับกุ้ยเฟยของพวกข้าแล้วยังไม่ถวายบังคมอีกหรือ คุกเข่า!”
เซียงฉือถูกหมัวหมัวสองคนกดลงกับพื้นคุกเข่าอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบ ยังไม่ต้องพูดถึงความเจ็บปวด
ใจนางกระตุกวูบขึ้น ใบหน้ายิ่งเย็นเยียบ
“กุ้ยเฟยไม่มีพระราชอำนาจดูแลฝ่ายในแล้ว หม่อมฉันเป็นข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขา กุ้ยเฟยทรงไม่มีอำนาจจะลงโทษได้เพคะ”
“กุ้ยเฟยทรงเชื่อคำพูดหลิ่วเหยียนง่ายดายเช่นนี้ ควรทรงวินิจฉัยเสียก่อนว่านางทำเพื่อพระองค์หรือเพื่อตัวเอง หม่อมฉันทำงานถวายอยู่ใกล้ชิดฝ่าบาท หากหม่อมฉันเป็นอะไรไป เกรงว่ากุ้ยเฟยคงยากจะตอบฝ่าบาทได้นะเพคะ”
เซียงฉือไม่ใช่คนโง่ ร่างของนางแม้จึงถูกกดอยู่จนต่ำแต่นางยังคงแหงนหน้าขึ้นมองจินกุ้ยเฟย ถึงแม้นางจะยิ้มแต่ในรอยยิ้มยังเจือความเยาะเย้ย จินกุ้ยเฟยฟังคำพูดของนางแล้วค่อยๆ ชะงักท่าที
“กุ้ยเฟยเพคะ นางพูดจาบังอาจมองไม่เห็นพระองค์เช่นนี้ สมควรที่พระองค์จะทรงสั่งสอนนะเพคะ”
พอหลิ่วเหยียนเอ่ยปาก เซียงฉือก็ตวาดขึ้นอย่างเฉียบขาด
“หุบปาก เป็นเพียงนางกำนัลชั้นต่ำถึงกับกล้าก่อกวน หวังคิดครอบงำกุ้ยเฟยเช่นนี้ เจ้าช่างใจกล้านัก วาจาสามหาว ไม่เห็นกุ้ยเฟยในสายตา หลิ่วเหยียน เรื่องโสมมที่เจ้ากระทำอยู่ใต้พระเนตรกุ้ยเฟยในครั้งนั้น วันนั้นข้าไม่ได้เปิดโปงเจ้า แต่เจ้ากลับยังกล้ามาทำพูดดีประจบและหลอกลวงกุ้ยเฟยอยู่เช่นนี้”
คำตำหนิที่เฉียบขาดเคร่งครัดของเซียงฉือทำให้หลิ่วเหยียบหุบปากลงทันที เซียงฉือรับใช้อยู่ข้างหรงจิงมานานแล้วจึงปราศจากท่าทีของนางกำนัลผู้ต้อยต่ำอีก และยังมีความสุขุมหนักแน่นและเย็นชาอย่างหรงจิง
ท่าทางนุ่มนวลราวกระต่ายน้อยของนางในวันปกตินั้น เมื่อถูกกระตุ้นให้โกรธขึ้นมา กลับยิ่งน่าหวั่นเกรง
หลิ่วเหยียนไม่เคยเห็นท่าทางเซียงฉือเช่นนี้มาก่อนจึงเกิดความเกรงกลัว ไม่กล้าพูดมากอีกต่อไป
แต่จินกุ้ยเฟยยังขมวดคิ้วมุ่นมองดูหลิ่วเหยียนอย่างไม่ชอบใจ
คำตวาดของอวิ๋นเซียงฉือครั้งนี้สามารถข่มขวัญหลิ่วเหยียนให้กลัวหัวหด ทั้งสมองจินกุ้ยเฟยก็แจ่มใสขึ้นมากในทันที
“เข้าตำหนักเจิ้งหยางไปไม่กี่วัน ปากคอเราะรายขึ้นมากนี่ ฝ่าบาททรงสั่งสอนดีกระมัง”
จินกุ้ยเฟยยิ่งไม่พอใจ นางหรี่ตา ในดวงตาหงส์คู่นั้นมีความอำมหิต เมื่อครู่เพราะไฟโทสะแผดเผาทำให้นางลงโทษเซียงฉือ แต่ตอนนี้นางสงบลงแล้ว แต่กลับยิ่งคิดจะสั่งสอนอวิ๋นเซียงฉือ
นังคนนี้ยิ่งมายิ่งได้ใจ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียแล้ว
คิดหรือว่าฝ่าบาทเพื่อนางคนเดียวแล้วจะทำอะไรจินรั่วอวิ๋นอีกทั้งบ้านสกุลจิน
จินรั่วอวิ๋นรู้ดีว่าตราบใดที่บ้านสกุลจินของนางยังไม่ล้ม นางก็จะไม่มีวันถูกหรงจิงปลดลงมา
ดังนั้นแล้วหาเหตุผลสักเรื่องเพื่อลงโทษนางจะเป็นไรไป ในเมื่ออวิ๋นเซียงฉือคนนี้บังอาจตำหนิหลิ่วเหยียนต่อหน้านาง ทำให้นางรู้สึกเสียหน้า
เซียงฉือมองจินกุ้ยเฟย ไม่มีความหวาดกลัวว่านางคิดจะทำอะไร หากจินกุ้ยเฟยกล้าทำให้นางลำบาก นางก็ไม่หวั่นที่จะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา สายตาที่มองดูหน้าจินกุ้ยเฟยจึงยิ่งเยือกเย็นลงอีกมาก