บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 448 หลุมพราง / ตอนที่ 449 ฝีปากคม
บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 448 หลุมพราง / ตอนที่ 449 ฝีปากคม
ตอนที่ 448 หลุมพราง
ซูเฟยพูดแล้วก็ยิ้มอ่อนโยน นางหันกลับไปชี้ที่เซียงฉือพูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาททรงวินิจฉัยด้วยเพคะ หม่อมฉันคิดว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเช่นนั้น เซียงฉือคงจะหวาดกลัวจึงหลงลืมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไปบ้างก็อาจเป็นได้ ในเมื่อตอนนี้นางคิดขึ้นมาได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ตัวนักฆ่าได้นะเพคะ”
“ฝ่าบาท เซียงฉือทำงานรับใช้ใกล้ชิดพระองค์ นิสัยของนางฝ่าบาทย่อมทรงรู้จักดี นางไม่ใช่พวกฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดหรือทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเราฟังนางพูดก่อนดีไหมเพคะ ส่วนเรื่องลงโทษที่พี่หญิงบอกนั้น หม่อมฉันคิดว่ายังไม่จำเป็นเร่งด่วนในตอนนี้ ไม่ทราบฝ่าบาททรงเห็นประการใดเพคะ”
คำพูดที่นุ่มนวลของซูเฟยกับท่าทีโวยวายของจินกุ้ยเฟย ทำให้หรงจิงเลือกได้อย่างรวดเร็วจึงพยักหน้าพูดว่า
“เซียงฉือ เล่าเรื่องที่เจ้ารู้ออกมาให้หมด การที่องค์หญิงตกน้ำเจ้าก็ต้องรับผิดชอบด้วย แต่จะทำคุณไถ่โทษได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับคำพูดเจ้าว่ามีค่าเพียงพอไหม”
หรงจิงพูดออกไปจินกุ้ยเฟยก็คิดโต้แย้ง แต่เมื่อเห็นดวงตาเยือกเย็นของหรงจิง นางจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก หวังหมัวหมัวที่ด้านหลังก็คอยดึงชายเสื้อนางอยู่ตลอดเวลา
หรงจิงยิ้ม เขามองดูจินกุ้ยเฟยที่ด้านข้าง น้ำเสียงนุ่มนวลลงมาก
“แต่ไรมาข้ารู้สึกว่าซูเฟยนุ่มนวลส่วนกุ้ยเฟยก็ดุดัน การจะปกครองบ้านเรือนนั้นต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณ ถึงเซียงฉือจะมีความผิด แต่ก็ควรให้โอกาสนางได้ทำความดีไถ่โทษจึงจะถูกต้อง กุ้ยเฟย เจ้าว่าใช่หรือไม่”
หรงจิงถามเช่นนี้เป็นการเปิดทางถอยให้จินกุ้ยเฟย นางเองก็ไม่ใช่คนไม่รู้ดีชั่ว เมื่อเห็นสายตาไม่เห็นด้วยของหรงจิงแล้วก็ยอมถอย พูดว่า
“ในเมื่อเป็นคนของฝ่าบาท ก็สุดแท้แต่ฝ่าบาทจะทรงเห็นควรเพคะ”
หรงจิงฟังแล้วพยักหน้าน้อยๆ เซียงฉือจึงพูดขึ้น
“กุ้ยเฟยทรงเตือน หม่อมฉันจึงนึกขึ้นได้ว่าในขณะที่เกิดเรื่องกับองค์หญิงหมิงอวี้นั้น หม่อมฉันกับองค์หญิงหรงเย่ว์กำลังถูกกุ้ยเฟยตำหนิให้ทำโทษคุกเข่าอยู่ในอุทยานหลวงเพคะ”
พอเซียงฉือเพิ่งจะพูดถึงตรงนี้ จินกุ้ยเฟยก็ตบโต๊ะ พูดอย่างเดือดดาล
“ข้าเพียงแค่อบรมไม่กี่คำ ได้ตำหนิทำโทษคุกเข่าเมื่อไหร่กัน”
เซียงฉือยังไม่ได้พูดอะไร องค์หญิงหรงเย่ว์ถูกเสียงของจินกุ้ยเฟยทำให้ตกใจจนร้องไห้จ้าขึ้นมา
สีหน้าจิ้งเฟยเปลี่ยนไป เมื่อนางได้ยินคำพูดของจินกุ้ยเฟยก็มองนางด้วยสายตาไม่เป็นมิตร จากนั้นก็ปลอบบุตรสาวให้คลายความหวาดกลัว
เซียงฉือเห็นเช่นนั้นจึงพูดยิ้มๆ ว่า
“เป็นความผิดของหม่อมฉันเพคะ เพราะองค์หญิงวิ่งเร็วมาก แต่ตอนที่หม่อมฉันติดตามไปถึงได้ยินแต่เสียงร้องไห้ขององค์หญิงหรงเย่ว์ จึงคิดว่ากุ้ยเฟยทรงตำหนิองค์หญิง ทั้งหมดนี้เป็นการคาดเดาของหม่อมฉันเท่านั้นเพคะ ส่วนกุ้ยเฟยทรงทำอะไรบ้างนั้น หม่อมฉันไม่ทันเห็นเพคะ”
เซียงฉือก้มศีรษะต่ำลงโขกกับพื้น ใช่ว่านางขอโทษแต่เป็นการให้จินกุ้ยเฟยพูดความจริงออกมาเอง นางไม่จำเป็นต้องเงยหน้าก็นึกเห็นใบหน้าที่ไม่น่าดูนักของหรงจิงกับจิ้งเฟยในขณะนี้ออกได้
จินกุ้ยเฟยมีโทสะรุนแรงตลอดมา ซึ่งเสียงร้องไห้ของหรงเย่ว์เมื่อครู่เป็นประจักษ์พยานอย่างดี
อีกทั้งตอนนั้นหรงจิงก็อยู่ที่นั่น มองเห็นหรงเย่ว์ร้องไห้วิ่งไปหาจิ้งเฟย
ในตอนนี้จึงเข้าใจเหตุการณ์ในตอนนั้นได้จึงยิ่งเย็นชากับจินกุ้ยเฟย อย่างไรเด็กหญิงก็ยังอ่อนวัย จินกุ้ยเฟยไม่ได้เป็นทั้งแม่บังเกิดเกล้าทั้งไม่ใช่มารดาหลวงจึงไม่มีสิทธิ์ตำหนิดุว่า
หรงจิงนิ่งเงียบสีหน้าเคร่งขรึม จินกุ้ยเฟยรู้ว่าตนเองพลั้งวาจาออกไปแล้วจึงไม่กล้าพูดไม่คิดออกไปอีก แต่สายตาที่มองดูเซียงฉือนั้นราวกับสามารถดึงกระบี่ออกมาสับเถือนางเป็นหมื่นชิ้นด้วยความแค้น
ตอนที่ 449 ฝีปากคม
ผู้หญิงคนนี้เป็นดั่งมดปลวกแท้ๆ แต่ว่าคำพูดของนางทำให้จินกุ้ยเฟยกระอักกระอ่วนถึงขีดสุด
จินกุ้ยเฟยใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติสูงส่งมานานปีโดยไม่เคยต้องถูกทำให้อับอายเช่นนี้มาก่อน ใบหน้านางแดงเรื่อขึ้น หน้าอกกระเพื่อมไหว นิ้วมือกำที่เท้าแขนแน่น
หรงจิงมองดูเหตุการณ์ทั้งหมด เสียงร้องของบุตรสาวทำให้เขายิ่งบังเกิดความสงสาร
เมื่อสบกับสายตาต่อว่าต่อขานเพราะถูกรังแกของจิ้งเฟยที่มองมายังเขากับเห็นท่าทางวางอำนาจอวดดีของจินกุ้ยเฟยแล้ว เขารู้ดีว่าทั้งจิ้งเฟยและซูเฟยต้องถูกนางรังแกเป็นประจำมากน้อยเพียงไร
ทั้งจิ้งเฟยและซูเฟยต่างเป็นสนมของเขา ส่วนหรงเย่ว์ก็เป็นบุตรสาว เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของเขาด้วย จินกุ้ยเฟยออกจะกระทำเกินเลยไป แต่เซียงฉือพูดไปได้เพียงครึ่งๆ กลางๆ ก็ถูกนางขัดขึ้น หรงจิงจึงไม่คิดจะสืบสาวราวเรื่องที่จินกุ้ยเฟยตำหนิหรงเย่ว์อีก
เขารู้ว่าอะไรจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า
“ฟังอวิ๋นเซียงฉือพูดให้จบก่อน ห้ามไม่ให้ใครพูดขัดทั้งสิ้น”
คำพูดหรงจิงเย็นยะเยือกเสียจนคนในที่นั้นพากันสั่นเทา แม้แต่จินกุ้ยเฟยที่ในตอนนี้อกใกล้จะระเบิดเต็มทีก็ยังไม่กล้าขัดคำสั่งหรงจิง ได้แต่เพียงกล้ำกลืนลงท้องไป ทว่ายังคงเห็นสายตาเกลียดชังรุนแรงต่ออวิ๋นเซียงฉืออย่างไม่เสแสร้งอำพราง
อวิ๋นเซียงฉือได้ยินคำพูดหรงจิงดังนั้นจึงลุกขึ้นทำความเคารพแล้วพูดต่อไป
“กุ้ยเฟยทรงตำหนิโทษหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่อาจไม่รับฟังเพคะ ซูเฟยเสด็จผ่านมาเห็นเข้าจึงได้ทรงช่วยเหลือหม่อมฉันด้วยเจตนาดี หม่อมฉันซาบซึ้งในพระกรุณาเพคะ แต่ว่าหลังจากนั้น…”
เซียงฉือหยุดชะงัก มองจินกุ้ยเฟยด้วยสายตาระแวงสงสัย แล้วพูดขึ้นด้วยความลังเลว่า
“ในตอนนั้นกุ้ยเฟยเสด็จจากไปก่อน ส่วนหม่อมฉันยังอยู่เพื่อสำนึกในพระกรุณาของซูเฟย หลังจากซูเฟยเสด็จจากไปแล้ว หม่อมฉันจึงได้พบกับเถียนซินนางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงหมิงอวี้จึงได้ทราบจากปากของนางว่าองค์หญิงหายไปแล้วเพคะ”
“และสถานที่ที่องค์หญิงหายไป ก็คือทิศทางที่กุ้ยเฟยเสด็จจากไป ตรงหลังภูเขาจำลองเพคะ”
“ดังนั้น หม่อมฉันจึงไม่อาจทราบได้ว่ากุ้ยเฟยทรงเห็นองค์หญิงหมิงอวี้ตกน้ำหรือเห็นใครที่ซุกซ่อนอยู่หลังภูเขาจำลองหรือไม่เพคะ”
พอเซียงฉือพูดเช่นนั้น สายตาทุกคู่ภายในห้องพากันจับจ้องไปทางจินกุ้ยเฟย ดวงตาจินกุ้ยเฟยแทบจะพ่นไฟออกมาได้ นางจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมิงอวี้ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้เห็นหมิงอวี้เลย
นางรู้แจ้งแก่ใจดีว่า อวิ๋นเซียงฉือเจตนายัดเยียดใส่ร้ายตนในเรื่องนี้ จงใจทำให้ทุกคนในที่นั้นสงสัยนาง
เมื่อเซียงฉือพูดออกมาเช่นนี้ ทุกคนจึงรอฟังคำโต้แย้งของจินกุ้ยเฟย แล้วนางควรจะแก้ตัวอย่างไร
ที่นางจะพูดได้ก็เพียงว่านางกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปตลอดทาง ผ่านหลังภูเขาจำลองไปโดยไม่ได้เหลือบแลมองอะไร ไม่ได้เห็นใครที่ไหนเลยทั้งสิ้น อีกทั้งยังไม่รู้ว่าตนเองถูกใครเห็นเข้าบ้าง
เซียงฉือพูดถึงตรงนี้แล้วก็ก้มหน้าไม่พูดอีก สวี่อี้พอได้ฟังคำพูดอวิ๋นเซียงฉือแล้วจึงคลายใจได้อย่างแท้จริง
ถึงแม้นางจะไม่กลัวการตำหนิจากฮ่องเต้ แต่นางไม่รู้ว่าอวิ๋นเซียงฉือคิดจะทำอะไร ทว่าถึงตอนนี้คิดว่าใครๆ ต่างก็รู้เจตนาของอวิ๋นเซียงฉือแล้ว
แต่คำพูดของนางหรือว่าจะไม่ใช่ความจริง
การที่นางพูดเช่นนี้หรือเป็นเพราะความบีบคั้นกดดัน หากไม่รู้ข้อพิพาทระหว่างอวิ๋นเซียงฉือกับจินกุ้ยเฟยมาก่อน ใครก็คงไม่คิดว่าอวิ๋นเซียงฉือจะเจ็บแค้นจินกุ้ยเฟยถึงเพียงนี้
หรงจิงมองดูอวิ๋นเซียงฉือ ข้อสงสัยของนางสมเหตุสมผลอย่างไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย เขาเองก็กำลังรอคำโต้แย้งจากจินกุ้ยเฟยเช่นกัน
จินกุ้ยเฟยมีชาติกำเนิดสูงส่ง เป็นถึงบุตรสาวสายตรงของตระกูลขุนนางใหญ่ ทั้งตัวนางเองก็มีรูปโฉมงดงาม เป็นสตรีที่งามหยาดเยิ้มขนาดล่มเมืองได้ เป็นที่โปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างยิ่งเสมอมา ถึงกับให้นางได้เป็นสตรีที่มีฐานะสูงส่งที่สุดในฝ่ายในอีกด้วย