บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 484 วิกลจริต / ตอนที่ 485 ซู่เวิ่นเข้าพบ
ตอนที่ 484 วิกลจริต
เซียงฉือยังคงยืนอยู่กับที่ด้วยไม่รู้จะทำอย่างไร พอสืบความออกมาว่าเป็นซูเฟยแล้วนางก็ตกตะลึงไปทันที สวี่อี้เดินเข้าไปตบบ่านาง
“ว่าอย่างไร ไปกันสักรอบไหม”
เซียงฉือตื่นตัวพยักหน้าน้อยๆ แต่แล้วก็ส่ายหน้าพูดว่า
“พวกเราเข้าไปดูข้างในก่อนแล้วค่อยว่ากันจะดีกว่า ข้าพาคนมาคนหนึ่ง อาจจะช่วยอะไรได้บ้าง”
“เสียวสี่จื่อ เข้ามาคารวะใต้เท้าสวี่”
พอเซียงฉือเรียกก็มีขันทีน้อยคนหนึ่งออกมาจากด้านหลัง ยิ้มแล้วน้อมกายคารวะ
“เสียวสี่จื่อคารวะใต้เท้าสวี่ คารวะท่านพี่เซียงฉือ”
ขันทีน้อยประสานมือคารวะอย่างชำนิชำนาญ รอยยิ้มซื่ออย่างยิ่ง เซียงฉือได้ยินที่เขาเรียกก็ยิ้มแก้มปริ
“เสียวสี่จื่อ เจ้าตามพวกเราเข้ามานี่ แล้วเล่าเรื่องสวีกงกงให้ฟังหน่อย”
เสียวสี่จื่อฉลาดยิ่ง เขาเข้าวังมาเพียงช่วงสั้นๆ มาอยู่ที่นี่ถึงจะไม่ถูกคนรังแกทุกวันแต่ก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบอะไร อยู่ในสำนักอักษรซื่อคู่ราวอากาศธาตุ ตอนนี้เซียงฉือให้ความใกล้ชิดกับเขาเช่นนี้จึงยิ่งเกิดความชิดใกล้
เซียงฉือรู้ว่าเขาฉลาดหลักแหลม และรู้สึกว่าเขาจะเป็นประโยชน์มากจึงได้นำเขาเข้าไปด้วย
เสียวสี่จื่อก็ฉลาดจริงๆ เขาเดินตามหลังสวี่อี้กับเซียงฉือ พูดคุยอย่างสนิทสนมไปตลอดทาง
“ที่นี่เป็นที่พักของหลิวหมัวหมัว นางกับสวีกงกงสนิทสนมกันที่สุด และเป็นหมัวหมัวอาวุโสในสำนักอักษรซื่อคู่ของพวกเราเข้าไปอีกหน่อยก็จะเป็นที่พักของสวีกงกงแล้ว”
“จะว่าไปสวีกงกงของพวกเราก็เป็นคนแปลก ทั้งๆ ที่ปรุงเครื่องหอมนั้นไม่ได้แต่ก็ยังขลุกอยู่ในห้องทุกวัน บางครั้งก็เป็นบ้า ดวงตาเลื่อนลอย เป็นที่น่าตกใจสำหรับคนที่พบเห็น”
เซียงฉือได้ยินแล้วก็หยุดชะงักไม่เดินต่อ นางหันกลับไปถามเสียวสี่จื่ออย่างเคร่งขรึม“เป็นอย่างไรที่ว่าเป็นบ้า”
ถูกเซียงฉือถามเช่นนี้ เสียวสี่จื่อพลันหยุดยืน
“ข้าน้อยรู้สึกว่าบางครั้งที่สวีกงกงเกิดบ้าขึ้นมาจะพูดเลอะเทอะ เพราะข้าน้อยต้องเตรียมอาหารให้สวีกงกงตลอดบางทีเห็นเขาแต่งตัวเป็นหญิงอยู่ในห้อง ยิ้มเซ่อซ่าอยู่หน้ากระจก บางครั้งเห็นแล้วถึงกับขนลุกจริงๆ”
เซียงฉือฟังแล้วเกิดความรู้สึกว่าสวีหมิ่นคนนี้มีข้อน่าสงสัยมากมายจริงๆ คนคนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่ เหตุใดเขาจึงได้บ้า แล้วเหตุใดต้องไปลอบปลงพระชนม์องค์หญิง เขามีเรื่องอะไรที่เปิดเผยต่อผู้อื่นมิได้เช่นนั้นหรือ
ถ้าหากเขาเป็นคนของซูเฟยก็น่าแปลก วันนั้นซูเฟยไม่ได้เดินไปทางภูเขาจำลอง คิดว่าองค์หญิงคงไม่เคยพบซูเฟยมาก่อน แล้วจะมีความลับอันใด
และหากสวีหมิ่นเป็นคนบ้าจริง ซูเฟยที่เป็นคนรอบคอบเช่นนั้นจะไม่รู้เชียวหรือ
ข้อสงสัยในใจของเซียงฉือเพิ่มมากขึ้นทุกที แต่ยังหาคนที่จะอธิบายเหตุผลของเรื่องทั้งหมดไม่ได้
“สวีกงกงคนนี้มีปัญหาอะไรกันแน่ ข้อน่าสงสัยบนตัวเขามีมากขึ้นทุกทีแล้ว”
สวี่อี้พูดเช่นนี้เซียงฉือก็พยักหน้า ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็เงียบไม่พูดจา มองดูห้องที่ถูกทำลายไปนั้นอย่างเสียดายแล้วหัวเราะ
“ที่ควรจะรู้อย่างไรก็ต้องได้รู้ ไม่มีใครที่จะทำอะไรได้โดยไร้ช่องโหว่ อย่างไรก็ต้องเผยความจริงออกมาจนได้ ใต้เท้าสวี่กับข้ามาสงบจิตสงบใจรอคอยกันเถิด”
เซียงฉือพูดเช่นนั้น สวี่อี้ก็ยิ้ม ทั้งสองคนมองดูเสียวสี่จื่ออย่างรู้กัน
“ไปกันเถอะ เข้าไปดูกัน…”
เสียวสี่จื่อมีท่าทีขรึมลง ถึงจะบอกว่าเขาชอบเซียงฉือมาก นอกจากนางจะช่วยชีวิตเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะนางแตกต่างจากคนอื่น เหมือนคนที่ให้เกียรติเขา ซึ่งทำให้เขาเป็นสุข
การเป็นขันทีในวังไม่ว่าจะมากอาวุโสหรือด้อยอาวุโสล้วนถูกคนประณาม แม้แต่นางกำนัลยังรังเกียจตัวตนพวกเขา
ตอนที่ 485 ซู่เวิ่นเข้าพบ
สำนักอักษรซื่อคู่เป็นอาคารที่ประกอบด้วยลานใหญ่สองลานทางด้านหน้าและด้านหลัง ด้านในมีตำหนักที่ใหญ่ยิ่งด้านบนมีอักษรคำว่าสำนักอักษรซื่อคู่จารึกอยู่ ในตำหนักนี้นอกจากจะเก็บคัมภีร์ตำราต่างๆ แล้ว ยังมีห้องเล็กห้องน้อยอีกจำนวนมาก ห้องเหล่านี้ส่วนใหญ่จะใช้เป็นเขตพื้นที่ใช้สอยในชีวิตประจำวัน
ซึ่งห้องของสวีหมิ่นกงกงก็เป็นห้องหนึ่งในนั้น อีกทั้งยังเป็นห้องที่กว้างและสว่างที่สุด เพราะห้องอยู่ทางทิศเหนือโดยมีประตูหน้าต่างอยู่ทางทิศใต้
คนทั้งกลุ่มเดินข้ามธรณีประตูแล้วมองไปรอบๆ เซียงฉือพิจารณาดูรอบหนึ่งด้วยความสนใจ
“เสียวสี่จื่อ ช่วยบรรยายสภาพการตกแต่งในห้องนี้อย่างที่เคยเป็นที และบอกกิจวัตรประจำวันของเขาให้ฟังอีกครั้งซิพูดมาแบบให้เห็นภาพด้วยนะ เข้าใจไหม”
เซียงฉือพูดแล้วเสียวสี่จื่อก็พยักหน้า เขาชี้นิ้วไปยังเก้าอี้โยกตัวหนึ่งด้านหน้าพูดว่า
“ทุกวันสวีกงกงจะชอบนั่งอยู่ตรงนี้ สูดดมกลิ่นหอมที่ล่องลอยออกมาจากเตาหอมลายจื่อจินฮวา ตอนที่เขาจุดเครื่องหอมจะไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้ ข้าน้อยก็เพียงบังเอิญพบเห็นเข้าบางครั้งตอนมาส่งอาหาร แล้วก็จะถูกสวีกงกงตีเอา เลยจำได้แม่นยำขอรับ”
เซียงฉือพยักหน้ามองดูเสียวสี่จื่อที่ร่างกายผ่ายผอมด้วยแววตาสงสาร เมื่อหันกลับไปมองสวี่อี้ก็ได้ยินนางถามต่อว่า
“แล้วเวลาอื่นล่ะ เล่าเรื่องที่เจ้ารู้มาให้หมด”
เซียงฉือพยักหน้าด้วยเช่นกัน เสียวสี่จื่อจึงเข้าไปใกล้แล้วเล่าเรื่องที่เขารู้ทั้งหมดออกมา
“ทุกเช้าสวีกงกงจะตื่นนอนประมาณยามเฉิน ตื่นแล้วข้าน้อยจะคอยรับใช้เรื่องการแปรงฟันล้างหน้า หลังจากนั้นเขาจะขังตัวเองอยู่ในห้อง สูดดมกลิ่นหอมของผีเสื้อหลงบุปผา พอถึงตอนเที่ยงข้าน้อยจะมาส่งอาหาร หากยังเห็นกงกงนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกก็จะรออยู่หน้าห้องจนกว่าเขาจะเรียกจึงเข้าไป”
สวี่อี้พยักหน้า เสียวสี่จื่อจึงเล่าต่อ
“พอจัดอาหารขึ้นโต๊ะแล้วหากกงกงอารมณ์ดีก็จะกินข้าวแล้วให้ข้าน้อยเก็บกลับไป แต่หากอารมณ์ไม่ดีก็จะทุบทำลายข้าวของ หัวเราะร้องไห้ตะโกนก่นด่า ลงไม้ลงมือทุบตีเป็นเรื่องปกติ”
เสียวสี่จื่อเล่าอย่างน่าสงสาร ทั้งเซียงฉือและสวี่อี้ต่างก็เห็นใจ แต่สวี่อี้ยังไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้มาก่อนจึงไม่รู้รสชาติมากนัก
เสียวสี่จื่อยังคงเล่าต่อ
“จนเมื่อกงกงสงบอารมณ์ลงแล้วก็จะกลับไปนั่งยังเก้าอี้โยกพักผ่อนสักครู่ ข้าน้อยก็จะเก็บกวาดจัดห้องหับ พอกงกงตื่นจากนอนกลางวันแล้วก็จะออกไปข้างนอก ไม่รู้ว่าไปทำอะไรและไม่เรียกใครให้ตามไปด้วย ทุกวันที่เจ็ด สิบสี่ ยี่สิบเอ็ดและยี่สิบแปดจะต้องออกไปข้างนอก หากเป็นวันอื่นก็จะเดินตรวจตราอยู่ในสำนัก พอถึงมื้อเย็นกงกงจะชอบดื่มสุราเล็กน้อย เขาบอกว่าเพราะหนาวไปทั้งร่างกาย”
เสียวสี่จื่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับสวีหมิ่นที่มีอยู่ทั้งหมด ส่วนที่จะเป็นประโยชน์อยู่บ้างก็เรื่องที่เขามีการกำหนดวันที่จะออกไปข้างนอกซึ่งออกจะดูแปลกไป
ส่วนเรื่องเขาทุบตีคนนั้นสวี่อี้รู้เห็นมานักต่อนัก ในวังนี้อย่าว่าแต่การทุบตีคนเลย การฆ่าคนก็ยังมีไม่น้อย หากเพราะเหตุนี้แล้วบอกว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นบ้า สวี่อี้คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเสียวสี่จื่อยังอ่อนต่อโลกอยู่ จึงไม่ได้สนใจในประเด็นนี้
ทั้งสามชี้นู่นถามนั่นตอบกันไปมาอยู่ภายในห้อง เสียวสี่จื่อโต้ตอบได้ไม่เลวนัก เซียงฉือยิ่งมีความรู้สึกดีต่อเขา ขณะที่ทั้งสามยังคงลังเลสงสัยกันอยู่ในห้องก็ได้ยินทหารองครักษ์เข้ามารายงาน
“ใต้เท้าทั้งสอง ใต้เท้าซู่เวิ่นจากกองโอสถมาขอรับ ถูกพวกเรากันไว้อยู่ ขุนพลหลิวส่งผู้น้อยให้มาเรียนให้ทราบขอรับ”
สวี่อี้ช้อนตาขึ้น นางไม่คุ้นเคยกับซู่เวิ่นคนนี้ เซียงฉือจึงดึงแขนเสื้อนางพูดว่า
“ซู่เวิ่นก็คือใต้เท้าที่ช่วยชีวิตข้าคนนั้น นางเป็นคนสุขุมหนักแน่น ไม่นิยมชมชอบการแก่งแย่งชิงอำนาจกันในฝ่ายในแต่ไม่รู้มีธุระอะไรจึงได้มาในเวลานี้”
เซียงฉืออธิบายให้สวี่อี้ฟังและพูดขึ้นด้วยความสงสัย