บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 131 ยอมให้ผู้อื่นไปไม่ได้
บทที่ 131 ยอมให้ผู้อื่นไปไม่ได้
เฟิ่งเทียนฉี่กับหงอิง ก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ลมหายใจกลับแผ่วเบา ซือถูซิวและอาจารย์จ้าวอยากที่จะถามว่าใครเป็นคนทำร้ายพวกเขาแต่ไม่อาจจะถามได้ เพราะในคราวนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าคนลงมือเป็นใคร เรื่องนี้คงจะเป็นปริศนาไปอีกนั้น
เพราะทั้งเฟิ่งเทียนฉี่และหงอิน ไม่ยอมพูดว่าใครเป็นคนลงมือ เฟิ่งเทียนฉี่อาจจะเพราะความอับอาย หงอินก็อาจจะกลัวจนเป็นบ้าไปแล้ว
ด้านฝั่งของเขาปู้หว่ง จูนจิ่วก็รีบออกเดินทางไปยังส่วนลึกของเขาปู้หว่งทันที แต่จูนจิ่วกลับไม่ได้บอกเรื่องหยกทิพย์กับหยูนเฉียว เพราะนางไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากเพียงชี้นิ้วสั่ง ทั้งหยูนเฉียวและจูนเสี่ยวเหล่ย ก็รีบเตรียมออกเดินทางในทันที
ด้านกู่ซง หลังจากรู้จักกันได้มากกว่าครึ่งเดือน ก็ไม่ได้สงสัยในคำสั่งการของจูนจิ่วเลยแม่แต่น้อย ด้วยการที่พวกเขาจัดการปัญหาแบบนี้ทั้งได้จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ในการเดินทาง ลูกศิษย์ในสำนักเทียนโจ้งเลยยังไม่พบหยกอันที่สอง
ด้วยต้องรีบเร่งตลอดทั้งการเดินทาง แม้จะได้เจอสัตว์เทพก็ไม่ได้ลงมือแต่กลับรีบอ้อมไปอีกทาง ด้วยความรีบเร่งนี้ทำให้
หยูนเฉียวสงสัยว่าพวกเขาไปที่ใดกัน ด้วยความงุนงงเดียวกัน พวกของจูนหยูนเสี่วยเมื่อมองพวกจูนจิ่วผ่านทางไหล่เขาและเห็นว่าจูนจิ่วยังอยู่ดีไม่ได้เป็นอะไรก็ทำหน้าถมึงทึงและเกิดอาการกลัว เขาได้กบดานอยู่ในกลุ่มหมาป่าละโมบพวกที่สมคบคิดกับนางมาโดยตลอด และสารล่าสุดที่เขาได้ยินมาคือพวกหมาป่าละโมบที่ส่งไปฆ่าจูนจิ่วไม่ได้ส่งสารอะไรกลับมา นี้ก็ล่วงไปเป็นอาทิตย์แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่ แต่ไม่ต้องถามจูนหยูนเสี่วยก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา
แม้ว่าจูนหยูนเสี่วยจะไม่เชื่อว่าจูนจิ่วจะมีความสามารถที่จะสังหารนักฆ่าได้แต่เขาจะต้องเตรียมความพร้อมในทุกเมื่อ
ในเมื่อจูนจิ่วไม่ได้ถูกฆ่าในเขาปู้หว่ง หลังจากนางออกไป นางจะกลายเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการแย่งชิง แต่จูนหยูนเสี่ยวจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ เพราะนางได้รับข่าวจากเหอจงว่า โล้ชิวเห้อผู้ดูแลแห่งสำนักเทียนโจ้งได้ล้มป่วย
และแผนการของสำนักก็สำเร็จลุล่วง นางจะพลาดไม่ได้อีก
จูนหยูนเสี่วยได้สั่งผู้สมรู้ร่วมคิดการตามเขาไป และพูดด้วยความระมัดระวังว่า “อย่าได้ตามเข้ามาใกล้มาก เพราะจูนจิ่วเป็นคนเจ้าเล่ห์มาก เราจะให้นางรู้ไม่ได้ เจ้าค่อยตามอยู่หาง ๆ และดูว่าพวกนางจะไปที่ใด”
“ได้ขอรับ คุณหนูจูนหยูนเสี่วย”
จูนหยูนเสียวคิดว่าความลับนี้จะไม่ล่วงรู้ไปถึงหูของจูนจิ่ว แต่ทว่าจูนจิ่วกลับรู้ทุกอย่างตั้งแต่แรกเพียงแต่นางไม่มีเวลาที่มาสนใจเรื่องของจูนหยูนเสี่ยว เพราะเรื่องของหยกทิพย์นั้นสำคัญกว่า ส่วนเรื่องของจูนหยูนเสี่วยค่อยมาจัดการที่หลัง
เมื่อถึงตอนพลบค่ำของวันที่สาม พวกจูนจิ่วได้มาถึงสถานที่ที่พวกเขาต้องการ
“ถึงแล้ว” จูนจิ่วก็ได้หยุดอยู่บนเนินเขา และได้ก้มลงมองทะเลสาบที่กว้างใหญ่ ในตอนเย็นทะเลสาบจะสะท้อนท้องฟ้ายามเย็นที่สวยงามทำให้ใจของผู้คนเย็นสงบ
“นี่ก็แค่ทะเลสาบ แม่นางจูนเรามาทำอะไรกันที่นี่” หยูนเฉียวขมวดคิ้วถามขึ้นมา เขามองไปยังจูนจิ่วเพื่อแสดงให้เห็นว่าเข้าไม่เข้าใจ
ทะเลสาบแห่งนี้นอกจากความกว้างและน้ำที่ใสแจ๋วแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษเลย เป็นเรื่องปกติที่จะมีทะเลสาบในเขาปู้หว่ง ฉะนั้น ทำไมมาในที่ที่ไกลแสนไกล ใช้เวลาเดินทางตั้งสามวันเพียงเพื่อจะมาชมทะเลสาบแห่งนี้หรือ
แต่ถึงอย่างนั้นกู่ซงและจูนเสี่ยวเหล่ยก็ไม่ได้ซักถามอะไรกับจูนจิ่วเพราะพวกเขารู้ว่านางจะต้องอธิบายให้ฟังในภายหลัง
ถึงอย่างไรจูนจิ่วก็ได้พูดคำปริศนาออกมาว่า “จะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันมะรืน ที่ที่แห่งนี้ก็ยังจะมีสิ่งสิ่งเดียวกันปรากฏขึ้นมา เพื่อมัน เราถึงได้มาที่นี่”
“สิ่งสิ่งเดียว นั้นคือของล้ำค่าหรือ”
“ใช่” จุนจิ่วพยักหน้าตอบให้จูนเสี่ยวเหล่ย
กู่ซงถูจมูกไปมา ทั้งได้เกล้าผมขึ้นให้เรียบร้อย และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ ว่า “แต่จูนจิ่ว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสถานที่แห่งนี้ จะมีของล้ำค่าอย่างที่ว่ามา และเมื่อสามวันก่อนที่จะมาถึงที่นี่ก็ไม่ได้ยินข่าวอะไรเกี่ยวกับของล้ำค่านี้เลย”
“ใช่แล้ว แม่นางจูนเจ้ารู้ได้อย่างไร” หยูนเฉียวก็สงสัย
จูนจิ่วอุ้มเสี่ยวอู่ขึ้นมาแนบชิดริมฝีปากแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ของข้าเป็นคนบอก”
“จูนจิ่ว เจ้ามีอาจารย์หรือ ท่าทางอาจารย์ของเจ้าจะต้องเก่งมากแน่ ๆ” กู่ซงพูด หาดจะเป็นอาจารย์ของจูนจิ่วนั้นจะต้องเป็นคนที่เก่งกาจมาก ๆ
เก่งกาจหรือ?
จูนจิ่วคิดแล้วคิด โม่อู๋เยว่เป็นคนเก่งจริง แต่กลับเป็นศิษย์ที่ปลอมตัวเข้ามา ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะดีมาก
ทั้งหยูนเฉียวแล้วจูนเสี่ยวเหลยรู้จักโม่อู๋เอว่ดี ฉะนั้นเลยไม่สงสัยในเรื่องนี้อีก ถ้าเป็นที่ชายลึกลับและแข็งแกร่งคนนั้นพูดต้องเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้แน่นอน แต่กลับล่วงรู้เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ทะเลสาบแห่งนี้จะมีสิ่งล้ำค่าปรากฏขึ้นมาจริง ๆ หรือ
เวลาก็ค่อยๆ ล่วงเลยไป แต่พวกเขาก็ยังอดทนรอจูนจิ่ว
แสงจันทร์เย็นราวกับน้ำ ในตอนนี้อากาศค่อยค่อยเย็นลง ทุก ๆ คนต่างสวมใส่เสื้อผ้าเพียงบาง ๆ เท่านั้นและยังไม่สามารถก่อไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ จึงทำได้เพียงให้สายลมพัดผ่านเรืองร่างไป ทุก ๆ สายตายังคงจับจ้องมองยังไปยังทะเลสาบที่แสนจะเงียบสงบ
มีนกน้อยตัวหนึ่งได้บินมาเกาะบนกิ่งไม้เหนือศีรษะของจูนจิ่ว มันส่งเสียงร้องจิ๊บๆ ไปมาเพื่อส่งสารให้กับจูนจิ่วด้านหลังของมันก็มีขนปุกปุยสีขาวตัวหนึ่งกำลังบิดก้นไปมาอย่างมีความสุขค่อยค่อยเข้าใกล้นกน้อยตัวนั้น เมื่อส่งสารเสร็จได้ไม่นาน ทันใดนั้นเสี่ยวอู่ก็กระโจนเข้าใส่นกน้อย ทำให้มันตกใจแล้วร้องจิ๊บๆ แล้วบินหนีไป
จูนจิ่วกุมขมับ “เสี่ยวอู่”
“เมี้ยว เมี้ยว” เสี่ยวอู่เกาะอยู่บนกิ่งไม้แห้งด้วยท่าทีออดอ้อนทำเหมือนไม่มีความผิด ข้าไม่ได้จะกินมัน เพียงแต่เล่นกับมันเท่านั้น
นกน้อยที่ไร้ชื่อ: เพียงแค่เล่นๆ หรือ ทำเอาซะข้าตกใจหมด!
จูนจิ่วกระโดดขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ใหญ่ เสี่ยวอู่จึงค่อยค่อยย่องเข้ามาพรางม้วนตัวเป็นลูกบอลอยู่บนตักของจูนจิ่ว มันยอมให้จูนจิ่วลูปไล้มันจนทำให้รู้สึกสัมผัสได้ถึงความนุ่มสบาย
เสี่ยวอู่: “เจ้านาย นกน้อยส่งข่าวอะไรมาหรือ?”
“จูนหยูนเสี่วยอยู่ข้างหน้านี้”
เมื่อได้ยินดังนั้นเสี่ยวอู่จากที่ขดตัวนอนอยู่ก็รีบลุกขึ้นมานั่ง กรงเล็บที่ซ้อนอยู่ใต้ผิวหนังของมันก็ได้โผล่ออกมา มันใช้สายตาที่คมกริบค่อยค่อยมองมองหา แต่ทว่าทะเลสาบนั้นกว้างเกินกว่าที่จะมองเห็นว่าใครยืนอยู่ตรงหน้าทะเลสาบ ต่อให้ใช้สายตาที่คมของแมวมองไปก็ไม่อาจที่จะมองเห้นคนได้
เสี่ยวอู่จึงพูดขึ้นว่า: “นายหญิงเราไปจัดการจูนหยูนเสี่วยกันเถอะ ถ้าหากหยกทิพย์ปรากฏขึ้นมา แล้วนางมาแย่งมันไปจะทำเยี่ยงไร”
“นางไม่สามารถแย่งมันได้หรอก”
จูนจิ่วอุ้มเสี่ยวอู่ขึ้นมาและยืนอยู่บนกิ่งไม้พร้อมกับดีดนิ้ว หยูนเฉียวเมื่อได้ยินดังนั้นจึงรีบเข้ามา จูนจิ่วที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้มองไปยังหยูนเฉียวแล้วพูดว่า “ไปกัน พวกเราคงต้องอุ่นร่างกายสักหน่อยแล้วละ”
“อุ่นร่างกายหรือ”
“ของล้ำค่าปรากฏขึ้นมาแล้วหรือ”
“ไม่ ก็แค่อยากจะไปกำจัดหนูที่รกหูรกตาทิ้งเท่านั้น ของล้ำค่านั้นเป็นของเรา จะยอมให้ใครหน้าไหนก็เอาไปไม่ได้ ไปกันเถอะ อยู่ตรงหน้าทะเลสาบนี้เอง ไม่ไกล”
จูนจิ่วกระโดดลงมาจากต้นไม้ อุ้มเสี่ยวอู่พร้อมหมุนตัวเดินไป พวกหยูนเฉียวได้แต่มองตากันและถืออาวุธตามออกไปทันที