บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 154 ตั้งใจจีบนายท่านของเจ้า
บทที่ 154 ตั้งใจจีบนายท่านของเจ้า
“อะไรนะ ไอ้ลูกเวร เขาช่างบังอาจ บังอาจยิ่งนัก” ฮ่องเต้โกรธจนต้องเหนื่อยหอบ เบิกตากว้างพูดอะไรไม่ออก
จูนจิ่วเหลือบมองไปที่พวกเขา ลุกขึ้นหลังตรงสะบัดมือ “เรื่องภายในบ้านพวกเจ้าคุยกันเอง ข้าขอออกไปเดินเล่นเล่นหน่อย”
“ดี เสี่ยวจิ่วอย่าเดินไปไกลล่ะ เดี๋ยวหลงทางนะ” เพิ่งได้ยินเสียงอ่อนโยนของเฟิ่งเซียวกำชับตัวเอง แค่นางหันหน้ากลับไป เขาตบโต๊ะจนแตกหัก ตะโกนด้วยความโกรธ “ไอ้สารเลว มันกล้าโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้เชียว”
คำพูดหลังจากนั้น จูนจิ่วไม่ได้ยินอะไรแล้ว และนางก็ไม่สนใจฟังด้วย
เสี่ยวอู่เดินตามอยู่ด้านหลัง ร้องเหมียวๆ “นายท่าน แปดปีก่อน เฟิ่งเทียนฉี่ก็แค่อายุสิบสองปีเองนะ อายุแค่นั้นจิตใจช่างอำมหิตยิ่งนัก ”
“ความอำมหิตมันไม่แบ่งอายุ บางทีตอนเด็กน่ากลัวยิ่งกว่า”
จูนจิ่วไม่ได้รอนาน ได้ยินเสียงทุบสิ่งของจากภายในตำหนักส่งเสียงดังออกมาแต่ไกล ผ่านไปไม่นาน เฟิ่งเซียวเดินออกมาและฮ่องเต้เดินตามมาด้วย ฮ่องเต้ดวงตาแดงก่ำทั้งคู่ เดินเข้ามาหาด้วยความโกรธฟึดฟัด เขามองมาที่จูนจิ่ว พูดเสียงบุ่มบ่ามว่า “จูนจิ่ว ถ้าข้ายังสามารถมีลูกได้จริง บุญคุณของเจ้า ข้าจะไม่มีวันลืมเลย”
จูนจิ่วหัวเราะ ฮ่องเต้หมายความแบบนี้คือจะสลัดเฟิ่งเทียนฉี่ทิ้งแล้วสินะ
ก็ใช่ ต่อให้ใครที่รู้ว่าลูกชายตัวเองทำเรื่องไร้ศีลธรรมจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่าเช่นนี้ ล้วนไม่สามารถยอมรับเขาได้อีก ไม่พูดถึงว่าเฟิ่งเทียนฉี่กลายเป็นบุคคลไร้ประโยชน์ ต่อให้เขาเป็นคนปกติดี ฮ่องเต้ก็มิอาจให้เขาสืบต่อบัลลังก์ได้เด็ดขาด
ต่อให้ฮ่องเต้จะไร้ความสามารถและได้สืบทอดคุณงามความดีจากพ่อจนได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ แต่ก็ไม่ได้โง่จนถึงขั้นเยียวยาไม่ได้
จูนจิ่วเปิดปากพูด “เรื่องลูกเจ้ามีได้แน่นอน ข้าไม่ทำลายชื่อเสียงหมอเทวดาจูนจิ่วหรอกนะ สำหรับเรื่องขอบคุณก็ไม่ต้อง ข้าเพียงต้องการให้เจ้าลงมือจัดการเรื่องหนึ่ง
“ลงมือจัดการอะไร?”
“เรื่องงานแต่งงานระหว่างเฟิ่งเทียนฉี่กับจูนหยูนเสวี่ยควรที่จะจัดงานแต่งได้แล้วสินะ?” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของจูนจิ่ว ฮ่องเต้รีบพยักหน้าตอบตกลงโดยที่ไม่ลังเลเลยสักนิด
เขาพูดว่า “ข้าจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้เลย สองสามวันนี้เลือกวันมงคลวันหนึ่ง แล้วให้พวกเขาแต่งงานกันเลย จูนจิ่ว……ไม่สิ ท่านหมอเทวดา เรื่องสุขภาพของฮองเฮาต้องขอรบกวนท่านช่วยดูแลด้วย ”
“เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้ว ให้ทำตามในใบสั่งยา” จูนจิ่วพูดจบก็หมุนตัวจากไป
อยากจะได้ยาของนาง? ต้องไปซื้อเองที่งานประมูลของตระกูลหยูน
การที่นางมาวังหลวงก็เพราะเห็นแก่เฟิ่งเซียว ไม่ให้เชื้อสายราชวงศ์สิ้นทายาทก็เท่านั้น จะให้ทำดีโดยการให้ยาแก่พวกเขา? จูนจิ่วส่ายหัว นางจะไม่ทำการค้าขายที่ขาดทุน นอกจากเฟิ่งเซียวแล้ว นางไม่ได้รู้สึกดีต่อราชวงศ์เลยสักนิด
หลังจากที่ออกจากวังหลวงก็ตรงไปที่สำนักเทียนโจ้งเลย
เวลาที่จูนจิ่วประมาณการไว้เหมาะสมพอดี เมื่อกลับไปถึง การปล่อยเลือดเสร็จพอดี ต้องดำเนินการขั้นต่อไป จูนจิ่วควบคุมทั้งสองฝั่ง ให้เฟิ่งเซียวกับโล่ชิวเห้อเข้าไปนั่งในถังไม้ด้วยกัน ขาตั้งถังไม้สองอันวางอยู่บนหลุม ไฟกำลังเผ่าไหม้อยู่ข้างใต้ แต่คนที่นั่งอยู่ข้างในจะไม่รู้สึกว่าร้อนเกินไปหรือไม่สบายตัว
เฟิ่งเซียวมองดูจูนจิ่วที่กำลังไปหยิบเข็มเงิน ในใจรู้สึกกังวัลหน่อยๆ “เสี่ยวจิ่ว ปู่ต้องอยู่แบบนี้นานแค่ไหน?”
“ไม่นานหรอก สองวันหลังจากนี้พวกท่านก็สามารถออกมาได้แล้ว”
“งั้นแสดงว่าสองวันนี้ก็ต้องอยู่แต่ข้างในนี้น่ะสิ?” เฟิ่งเซียวเบิกตากว้าง
“ใช่ หยูนเฉียวจะเป็นคนมาเปลี่ยนซุปยาให้พวกท่านเอง หรูมั่นเองก็เฝ้าดูแลอยู่ข้างนอก มีปัญหาอะไรเรียกหานางได้ ส่วนข้าเองกลั่นยาอยู่ห้องด้านข้าง ไม่มีปัญหาใหญ่อันใดหรอก” จูนจิ่วเปลี่ยนแนวเรื่องทันที “แต่ทว่ามีเรื่องหนึ่งต้องบอกกับท่านก่อน”
“เรื่องอะไร?”
“พรุ่งนี้มีละครเด็ดฉากหนึ่งที่ต้องการพวกท่านที่เป็นเพื่อนรักกันมาร่วมแสดงด้วย พวกท่านไม่ต้องทำเรื่องอะไร แค่นั่งอยู่ในถังไม้และแกล้งสลบก็พอ” ฟังคำพูดของจูนจิ่วจบ เฟิ่งเซียวรู้สึกมึนงงมาก
เสี่ยวจิ่วหมายความว่าอะไร? ละครเด็ด? ละครเด็ดอะไรที่ต้องการเขากับโล่ชิวเห้อคนป่วยคนนี้ร่วมแสดงด้วย? น่าเสียดายที่จูนจิ่วไม่ได้บอกคำตอบแก่เขา
หลังจากที่ออกจากในบ้าน จูนจิ่วเงยหน้ามองไป กระตุกยิ้มมุมปากยิ้มอ่อนๆ “เสี่ยวอู่ขึ้นมา”
จูนจิ่วกระตุกปลายเท้ากระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ เสี่ยวอู่รีบตามขึ้นไปทันที ปรากฏว่าตอนที่มันขึ้นไปกลับเห็นภาพที่โม่อู๋เยว่ยื่นมือไปจับมือของจูนจิ่วให้ยืนนิ่งๆไว้ มันนิ่งตะลึงไปครู่หนึ่งจากนั้นใช้เล็บมือเกาะตรงกิ่งไม้แล้วลื่นตัวลงไปข้างล่าง
จูนจิ่วก้มหัวลงไปดู หัวเราะออกมาทันที “โม่อู๋เยว่ เจ้าทำให้แมวข้าตกใจแล้วนะ”
“นั้นเป็นเพราะมันปอดแหกเกินไป”
“เหมียวๆๆ” เสี่ยวอู่โกรธจนขนฟูพองและกระโดดขึ้นมาทันที เสี่ยวอู่มองไปทางโม่อู๋เยว่ด้วยความโมโห มันไม่ได้กลัวโม่อู๋เยว่ก็แค่คิดไม่ถึงว่าไอ้โรคจิตคนนี้มันจะตามรังควานไปได้ทุกที่จริงๆ
โม่อู๋เยว่มันว่างขนาดนั้นเชียว?
โม่อู๋เยว่พูด ความแค้นของข้าตอนนี้ยังไม่ขอคิดบัญชีเป็นการชั่วคราว เพื่อตั้งใจจีบนายของเจ้าเป็นการเฉพาะ เจ้าคงรู้สึกประหลาดใจมากใช่ไหมล่ะ?
เสี่ยวอู่ อยากร้องไห้นัก
แล้วฟังจูนจิ่วพูดกับโม่อู๋เยว่ด้วยน้ำเสียงที่ร้ายกาจ “ฝั่งฮ่องเต้จัดการเรียบร้อยแล้ว จูนหยูนเสวี่ยไม่อยากแต่งงานกับเฟิ่งเทียนฉี่? ข้ายิ่งจะทำให้นางต้องแต่งงาน”
“แล้วเรื่องที่สำนักเทียนโจ้งล่ะ?” โม่อู๋เยว่ถามนาง ก้มหัวมองไปด้วยนัยน์ตาลึกล้ำที่กลืนเงาร่างของจูนจิ่วหายไป
“ข้าพูดแล้วว่าขอใช้เวลาสามวันจะทำให้โล่ชิวเห้อออกมายืนได้ เขาก็ต้องยืนได้ แต่ทว่าเรื่องนี้ยังไม่สามารถทำให้เหอจงจมดินได้สนิท ยังต้องมีละครเด็ดอีกฉากหนึ่ง เจ้าไม่มีอะไรทำไม่ใช่หรือ? อดใจรอดูก็แล้วกัน”
โม่อู๋เยว่ยิ้มหยัน “ดี”
จูนจิ่วพูดต่ออีกว่า “แผนการที่จะทำลายล้างตระกูลจูน ควรที่จะเริ่มได้แล้ว อีกสักครู่สามารถพบปะหยูนจ้งจิ่น”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ต้องการให้ข้าช่วยอะไรไหม?” โม่อู๋เยว่ยกมือขึ้นมาใช้ปลายนิ้วมือเกี่ยวผมช่อหนึ่งของจูนจิ่วเล่น เขาเห็นจูนจิ่วรีบดึงผมกลับไปทันที ปลายติ่งหูแดงเล็กน้อย
นัยน์ตาฉายแววความชื่นชม มุมปากยิ่งดูมีเลศนัย และปล่อยเสน่ห์แบบหล่อกระชากวิญญาณ
โม่อู๋เยว่มองดูจูนจิ่วอย่างเงียบๆ เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ของเขาช่างมีความเป็นเพียงหนึ่งเดียว ทั้งฉลาดแสนกล เล่ห์อุบายมากล้น ตระกูลจูน สำนักเทียนโจ้ง รวมทั้งแคว้นเทียนโจ้งล้วนเป็นของเล่นในมือนาง และยังไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีไปจากแผนการและการโต้กลับของนางได้เลย
ในขณะเดียวกัน โม่อู๋เยว่ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง น่าเสียดายที่เขาไม่รู้เรื่องราวที่จูนจิ่วประสบก่อนที่จะมาอยู่ในร่างนี้ ซึ่งมันจะต้องน่าตื่นเต้นยิ่งกว่านี้แน่นอน ถึงได้สามารถสร้างเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ที่สามารถดึงดูดใจคนและทำให้เขาถอนตัวไม่ขึ้นได้ถึงเพียงนี้
จูนจิ่วพูด “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าทำอะไร โม่อู๋เยว่ รอให้เรื่องที่สำนักเทียนโจ้งจบก่อน ข้าจะไปที่อู๋อจง”
“เจ้าไปไหน ข้าก็จะไปที่นั่น”
จูนจิ่วนิ่งไป หันหน้ากลับไปมองโม่อู๋เยว่ พูดในใจ เจ้านี้คิดจะตามนางไปทุกที่จริงเหรอ?
โม่อู๋เยว่อ่านใจนางออก กระตุกมุมปาก ยกมือไปสัมผัสข้างแก้มของจูนจิ่ว สัมผัสที่อ่อนนุ่มนั้น ทำให้เขารักมากจนวางไม่ลง โม่อู๋เยว่พูดกับจูนจิ่ว “เสี่ยวจิ่งเอ๋อร์ เวลาของข้าล้วนเป็นของเจ้า”
“เหมียว” เสี่ยวอู่พูดอยู่ด้านข้าง นายท่าน อย่าเชื่อคำพูดหลอกล่อของผู้ชาย
จูนจิ่วปัดมือของเขาออกอย่างเย็นชา แล้วกระโดดลงจากต้นไม้ จูนจิ่วกระตุกยิ้มตรงมุมปาก เงยหน้ามองไปทางโม่อู๋เยว่แล้วพูดว่า “ก็แล้วแต่เจ้านะ ในเมื่อนับจากนี้ไปถ้าเจ้านึกเสียใจในภายหลัง ข้าจะไม่ชดเชยเวลาคืนให้เจ้าหรอกนะ”
สายตาของโม่อู๋เยว่ฉายแวววับ มองดูจูนจิ่วที่จากไปอย่างไร้เยื่อใย ปลายนิ้วมือของเขายังหลงเหลือความรู้สึกตอนที่ได้สัมผัสข้างแก้มของจูนจิ่ว โม่อู๋เยว่เก็บปลายนิ้วเข้าที่อย่างช้าๆ เขาเผยรอยยิ้มอ่อนๆ
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เขาโม่อู๋เยว่ไม่เคยมีเรื่องใดที่ต้องนึกเสียใจในภายหลังเลย
ถ้าหากจะพูดว่ามีเรื่องอะไรที่นึกเสียใจในภายหลัง งั้นก็คงเป็นเรื่องนี้ไม่ “กิน” เจ้าแต่เนิ่นๆ