บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 174 จูนจิ่ว ประลองกับ จูนหยูนเสวี่ย
บทที่ 174 จูนจิ่ว ประลองกับ จูนหยูนเสวี่ย
การแข่งขันบนเวทีประลองที่เหมือนกับคู่หยูนเฉียวและกู่ซงแบบนี้ ในขณะที่การแข่งขันกำลังมันส์ “แพ้ชนะคาดเดายาก” จู่ๆก็มีคนหนึ่งยอมสละสิทธิ์ สุดท้ายทั้งสองยังโอบไหล่กันเดินลงจากเวทีประลองเหมือนสองพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกัน ซึ่งเป็นการแข่งขันที่แปลกพิลึกมาก
ทุกคนที่อยู่ ณ สนามฝึกซ้อมมองตะลึงตาค้าง นี่มันเป็นการแข่งคัดเลือกสิทธิ์ลูกศิษย์ดีเด่นเชียวนะ พวกเจ้ายอมสละสิทธิ์ไปแบบนี้ แล้วยังเดินจูงมือกันลงมา มันเหมาะสมแล้วจริงหรือ?
เมื่อลงมาถึง กู่ซงอธิบายให้จูนจิ่วฟัง แต่จูนจิ่วกลับไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด นางเดาสถานะของกู่ซงได้ตั้งนานแล้ว ทว่า……จูนจิ่วเปิดปากพูด “ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสละสิทธิ์ นึกว่าเจ้าจะตั้งใจยอมแพ้ให้กับหยูนเฉียวเองเสียอีก”
“ตั้งใจแพ้ นั่นมันเป็นการไม่ให้เกียรติเพื่อนมากแค่ไหนกันเชียว ข้ากู่ซงไม่ใช่คนแบบนั้น ฮ่าๆ จูนจิ่ว รอบต่อไปถึงตาเจ้าแล้ว สู้ๆนะ สั่งสอนคนต่ำทรามนั่นดีๆล่ะ” กู่ซงกำหมัดโบกไปมาพร้อมจ้องมองไปที่จูนหยูนเสวี่ยด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
จูนเสวี่ยเหล่ย อดกลั้นความเจ็บปวดไว้พร้อมกำหมัดให้กำลังใจ “พี่สาวเก้าสู้ๆนะ”
“แม่นางจูนสู้ๆ”
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น บนสนามฝึกซ้อมไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน ทุกคนล้วนโห่ร้องตะโกนว่าจูนจิ่วสู้ๆ พวกเขาไม่รู้สถานะของจูนหยูนเสวี่ย ทว่าพฤติกรรมของจูนหยูนเสวี่ยเมื่อวานที่ขัดจังหวะการแข่งขัน ทำให้ทุกคนโกรธโดยสิ้นเชิง
เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังร้องตะโกนว่าจูนจิ่วสู้ๆ บรรยากาศแลดูยิ่งใหญ่ จูนหยูนเสวี่ยใบหน้าบึ้งตึง กัดฟันแน่น น่าเกลียดที่สุด
ทั้งๆที่คนพวกนี้แต่ก่อนล้วนนับถือเทิดทูนนาง โดยเฉพาะยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ของนาง ตอนนี้กลับเปลี่ยนพวกไปเชียร์จูนจิ่ว จูนหยูนเสวี่ยกำหมัดแน่น หื้ม ข้าจำหน้าพวกเจ้าไว้แล้ว คนที่ทรยศข้าจะไม่ปล่อยไว้สักคน
นางหันหน้ากลับไปมองจูนจิ่วทะลุผ่านผ้าปิดหน้าด้วยสายตาที่ดุร้ายโหดเหี้ยม นางฉีกยิ้มกว้าง “ไปกันเถอะ จูนจิ่ว เจ้าคงไม่ได้กลัวหรอกนะถึงได้ไม่กล้าขึ้นเวที? ”
“ให้หมาไปก่อน” คำพูดเย้าหยอกเย็นเฉียบของจูนจิ่ว ทำให้จูนหยูนเสวี่ยที่ก้าวเท้าออกไปแล้วหนึ่งก้าวต้องหยุดชะงักฝีเท้าลง ด่าว่านางเป็นหมา ชั่วขณะนั้น จูนหยูนเสวี่ยไม่รู้ว่าควรจะก้าวเดินต่อไปหรือควรหยุดชะงักลงให้จูนจิ่วไปก่อน
จูนจิ่วตั้งใจเดินอยู่ด้านหลังของจูนหยูนเสวี่ย มองนางด้วยสายตาเย็นชาแล้วพูดว่า “ทำไม? เจ้าน่ะสิกลัวถึงได้ไม่กล้าขึ้นไปบนเวทีประลอง”
“เจ้า หื้ม จูนจิ่วตอนนี้เจ้าก็ปากดีไปก่อนเถอะ อีกสักครู่ข้าจะให้เจ้าได้เห็นดี เจ้าค่อยดูก็แล้วกัน” จูนหยูนเสวี่ยเดินขึ้นไปบนเวทีประลองด้วยความโกรธ ใบหน้านางบูดเบี้ยวบึ้งตึง นิ้วมือกำพายุฝนที่อยู่ในแขนเสื้อไว้แน่น นางจะใช้ในช่วงเวลาที่สำคัญแล้วฆ่าจูนจิ่วเสียทีเดียว
นางจะทำให้จูนจิ่วตาย
จูนจิ่วและจูนหยูนเสวี่ยอยู่ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของเวทีประลอง จูนจิ่วมองนางด้วยสายตาเย็นชาเงียบสงบ แตกต่างจากสายตาของจูนหยูนเสวี่ยที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท ขอเพียงแค่ไม่ใช่คนตาบอด ล้วนสามารถดูออกว่านางเกลียดจูนจิ่ว เหมือนกับมีความแค้นอะไรที่แลดูหนักหนาสาหัสมาก
ไม่รู้สถานะของจูนหยูนเสวี่ย เหมือนศิษย์สำนักเทียนโจ้ง ที่ไม่รู้ว่าระหว่างนางกับจูนจิ่วมีความโกรธแค้นอันใด พวกอู๋ซานรู้สึกประหลาดใจและแปลกใจพร้อมๆกัน การต่อสู้ยังไม่ได้เริ่มขึ้น กลับทำให้พวกเขารู้สึกว่ามันจะต้องสนุกและตื่นเต้นกว่าสองรอบก่อนหน้านี้หลายร้อยเท่า
ในเวลานั้น ทุกคนตั้งตารอคอย
เสียงกลองบนเวทีประลองดังขึ้น จูนหยูนเสวี่ยอดใจรอไม่ไหว ดึงดาบออกมาแล้วพุ่งตรงไปหาจูนจิ่วเลย ตันเถียนเปิดออก พลังทิพย์ไหลสู่บนลำตัวดาบอย่างไม่ขาดสาย จูนหยูนเสวี่ยร้องตะโกนดัง แรงอาฆาตน่ากลัว นางฟันดาบลงไป หมายจะเอาชีวิตจูนจิ่ว
จูนจิ่วถีบปลายเท้า พลิกตัวหลบดาบอย่างง่ายดาย
เสียงดาบ
ทิศทางดาบเปลี่ยนทันที ตวัดดาบมาทางศีรษะของจูนจิ่วในแนวนอน แรงอาฆาตของจูนหยูนเสวี่ยไม่เคยปิดบัง จูนจิ่วเขย่งปลายเท้าถอยหลัง จูนหยูนเสวี่ยกัดให้ตายก็ไม่ยอมปล่อย
สายตาของนางที่มองผ่านผ้าปิดตา จ้องมองจูนจิ่วด้วยสีหน้าบูดบึ้งโกรธแค้น นางพูดว่า “จูนจิ่ว ข้าจะฆ่าเจ้าต่อหน้าตัวแทนทูตจากอู๋อจง ให้พวกเขาดูสิว่าใครกันที่เป็นคนที่เก่งกาจของสำนักเทียนโจ้ง เมื่อเทียบกับข้า เจ้ามันไม่ใช่อะไรทั้งนั้น”
“หื้ม” จูนจิ่วฉีกยิ้มเย็นชา
นางประสานมือแล้วกระตุก พลังทิพย์ก่อตัวขึ้นตรงปลายนิ้ว ปะทะเข้ากับดาบคมกริบของจูนหยูนเสวี่ย จากนั้นทำให้นางตัวปลิวออกไป สีหน้าอึมครึม จูนหยูนเสวี่ยหันหน้ากลับมาไล่ตามมาอีกครั้ง ประมาณว่าไม่ได้ฆ่าจูนจิ่ว นางจะไม่ยอมรามือเป็นอันขาด
สายตาเย็นเฉียบของจูนจิ่วยกมือขึ้นมา โยวยิ่งเด้งออกจากปลอก
เชี้ยง
กร๊อบแกร๊บ
เสียงแตกร้าวแสบแก้วหู จูนหยูนเสวี่ยลืมตากว้าง มองไปที่ดาบของตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อ ตรงจุดที่ปะทะเข้ากับโยวยิ่ง เกิดรอยแตกร้าวที่เห็นได้ชัดเจน ท่ามหลางความตกตะลึง จูนหยูนเสวี่ยได้ยินน้ำเสียงเย็นเฉียบของจูนจิ่ว
หนาวจนไร้ความรู้สึก หนาวจนแทงเข้ากระดูก เหมือนลมหนาวท่ามกลางหุบเขาน้ำแข็งลึก เสียงหวีดหวิวที่พัดเข้ามาทำให้จิตวิญญาณของมนุษย์แข็งทื่อได้
จูนจิ่วพูดขณะยิ้มหยัน “เจ้ามันก็แค่มดตัวเล็กๆเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์มาเทียบเคียงข้า”
“อ้าก ข้าจะฆ่าเจ้า”
จูนหยูนเสวี่ยเบิกตากว้าง ฟันดาบลงไปด้วยแรงอาฆาต
ทุกคนเห็นจูนจิ่วถือมีดสั้นสีดำอันหนึ่งไว้ในมือ พร้อมเหวี่ยงตวัดไปข้างหน้าหนึ่งทีด้วยท่าทางสบายๆไม่ทุกข์ร้อน กร๊อบแกร๊บ ดาบคมกริบของจูนหยูนเสวี่ยหักเป็นสองท่อนทันที จูนหยูนเสวี่ยตกตะลึง ตะโกนลั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปไม่ได้”
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” จูนจิ่วยกขาบิดเอวแล้วเตะจูนหยูนเสวี่ยปลิวกระเด็นไปไกล
โดยเตะเข้าที่หน้าอกของจูนหยูนเสวี่ยเข้าอย่างจัง พลังช่วงต้นขาที่หนักแน่นไหลสู่ปลายเท้า ใช้เท้าฟาดเตะไปที่หน้าอกอ่อนนุ่มของนางอย่างแรง จูนหยูนเสวี่ยเจ็บจนกลิ้งตลบบนพื้นดิน กุมหน้าอกไว้จนลุกไม่ขึ้นอยู่สักพัก
“โหดมาก” บนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ ชิวหยุนหยุนกุมหน้าอกตัวเองไว้อย่างเผลอตัว สีหน้าขาวซีดนิดๆ
ซูเหินเห็นด้วยกับคำพูดของชิวหยุนหยุน นี่มันโหดเกินไปจริงๆ พลังจู่โจมไม่ได้น้อยไปกว่าการโจมตีตรงส่วนนั้นของผู้ชายเลย แต่สิ่งที่ดึงดูดชิวเหิงที่เป็นศิษย์สำนักเจี้ยนโจ้ง นั่นคือโยวยิ่งที่อยู่ในมือของจูนจิ่ว เขาพูดว่า “มีดสั้นเล่มนั้นฟันเหล็กเหมือนดินโคลน ฟันดาบหักอย่างง่ายดาย ไม่รู้ว่าเป็นอาวุธขึ้นชื่อของที่ไหน”
“รอการแข่งขันเสร็จสิ้น ขอเรียกดูจากนางก็ได้แล้วนิ” ชิวหยุนหยุนพูดด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง
เมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขา อู๋ซานขมวดคิ้วแน่น การขอดูอาวุธของคนอื่นโดยพลการแบบนี้ ศิษย์สำนักเจี้ยนโจ้งช่างเสียมารยาทยิ่งนัก ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าอาวุธนั้นสำคัญต่อเจ้าของมากแค่ไหน
ทว่าอู๋ซานก็ไม่ได้เอ่ยปากตักเตือนพวกเขา ศิษย์เจี้ยนโจ้งเสียเปรียบถูกสั่งสอน ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับศิษย์ตานจง อู๋ซานเงยหน้าขึ้นมามองไปที่เวทีประลอง ตั้งใจจดจ่อ เขาพูดในใจว่า ดูแล้วหมอเทวดาจูนจิ่วคนนี้ ไม่เพียงแต่วิชาแพทย์ดีเลิศ ฝีมือการต่อสู้ก็เก่งกาจพอๆกัน
ณ เวทีประลอง
จูนจิ่วยื่นมือออกไปหนึ่งข้างหันไปทางจูนหยูนเสวี่ยแล้วกระดิกนิ้ว “ลุกไม่ไหวใช่ไหม?”
คำพูดยั่วยุของจูนจิ่ว จุดประทุความโกรธของจูนหยูนเสวี่ยได้อย่างง่ายดาย นางวางมือลงแล้วลุกขึ้นมา ไม่ต้องใช้อาวุธ นิ้วทั้งห้ากลายเป็นกรงเล็บแหลมคมตวัดไปทางจูนจิ่ว ปลายเล็บแหลมคมที่ตวัดผ่านมีเสียงอากาศตามมาด้วย
จูนหยูนเสวี่ยพูด “กรงเล็บสลายสูญ”
เห็นเพียงสีผิวตรงนิ้วทั้งห้าของนางขาวซีดอย่างประหลาด ดั่งเช่นสีของกระดูกขาว ปลายนิ้วเรียวแหลมราวกับสัตว์ร้าย จ้องตวัดเข้าหาอย่างดุเดือด และจู่โจมแต่จุดลมปราณสำคัญของจูนจิ่ว การลงมือที่ดุร้ายเช่นนี้มันน่าตกตะลึงยิ่ง
จูนจิ่วสีหน้านิ่งเงียบ มุมปากอย่างคงยิ้มหยันแสดงท่าทีดูแคลน โยวยิ่งในมือบินไปมา หลบหลีกกรงเล็บสลายสูญ มีดโยวยิ่งที่ขึ้นและลง ฉึก เลือดแดงสดสาดโดนชายแขนเสื้อของจูนจิ่ว จนต้องถอยหลังเว้นระยะห่าง จูนหยูนเสวี่ยกุมข้อมือไว้พร้อมเสียงร้องเจ็บปวด
โยวยิ่งตัดเส้นเอ็นของนางขาด เลือดแดงสดที่พุ่งออกมาซึมเข้าแขนเสื้อจนเปียกชุ่ม