บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 175 ยังจะฝันอยู่อีก
บทที่ 175 ยังจะฝันอยู่อีก
จูนหยูนเสวี่ยเปล่งเสียงทุกข์ทรมาน นางกุมข้อมือไว้แน่น สายตาอำมหิตเพ่งเล็งไปหาจูนจิ่ว นางลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดึงฉีกเศษผ้าออกมาแล้วนำมาพันรอบข้อมือไว้ ทั้งยังถลึงตาใส่จูนจิ่วด้วยสายตาหนักแน่น
เมื่อเห็นเช่นนั้น จูนจิ่วเลิกคิ้วขึ้นสูง ดูแล้วจูนหยูนเสวี่ยฝีมือพัฒนาขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ
อย่างน้อยในด้านการสังหารนาง จูนหยูนเสวี่ยไม่ถึงเป้าหมายไม่ยอมรามือแน่ หากเปลี่ยนเป็นครั้งก่อน โดนแบบนี้จูนหยูนเสวี่ยคงลุกไม่ขึ้นสักพักใหญ่ จูนหยูนเสวี่ยดึงมีดสั้นอันแหลมคมออกมาหนึ่งเล่ม นางเอามาจากห้องเก็บสมบัติ ซึ่งเป็นมีดที่ฟันเหล็กเหมือนดินโคลนเช่นกัน
จูนหยูนเสวี่ยพูดจาโกรธแค้นถมึงทึง “จูนจิ่ว เจ้ามีมีดสั้น ข้าก็มี”
“หืม” จูนจิ่วหัวเราะ จูนหยูนเสวี่ยนี่นางกำลังคิดว่าเพียงแค่ถือมีดสั้นแล้วจะเหมือนกับนางได้งั้นเหรอ? น่าขำ ตอนที่หมอเทวดาจูนจิ่วเล่นมีดสั้น จูนหยูนเสวี่ยยังไม่เกิดเลย นางกระตุกยิ้มมุมปาก จูนจิ่วหายวับพุ่งตัวออกไป
โยวยิ่งบินรอบๆปลายนิ้วมือ แสงสว่างคมกริบดุจดั่งเงาวิญญาณในยามวิกาล จู่โจมพุ่งเข้าหาจูนหยูนเสวี่ยอย่างแม่นยำ
จูนหยูนเสวี่ยตอบสนองไม่ช้าเหมือนกัน นางรีบถอยหลัง วิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก ทว่าภายใต้โยวยิ่ง ยังคงช้าอยู่ดี มีดคมกริบปลิวผ่าน กรีดแขนเสื้อของจูนหยูนเสวี่ยขาด เห็นเพียงรอยมีดบาดหนึ่งรอบตรงข้อมือของจูนหยูนเสวี่ย และมีเลือดสดพุ่งออกมา
เจ็บจนกัดฟันแน่น จูนหยูนเสวี่ยร้องตะโกนสุดชีวิตพุ่งตัวจู่โจมจูนจิ่ว
นางไม่เชื่อ
ไม่เชื่อว่าตัวเองอ่อนแอกว่าจูนจิ่ว ไม่เชื่อว่าตัวเองฆ่าจูนจิ่วไม่ได้
จูนจิ่วก็แค่คนต่ำทรามไร้ค่าคนหนึ่ง อยู่ตระกูลจูนตั้งหลายปี นางจะฆ่าจะตีจะด่ายังไงก็ได้ ถึงแม้ตอนนี้ตระกูลจูนจะดับสูญไปแล้ว แต่นางก็ยังเป็นจูนหยูนเสวี่ย นางเกิดมาสูงส่งกว่าจูนจิ่ว นางสามารถชนะจูนจิ่วได้ ชนะได้แน่นอน
“ชนะได้?ใครกันที่ให้ความมั่นใจแก่เจ้า?” จูนจิ่วได้ยินจูนหยูนเสวี่ยพูดบ่นพึมพำด้วยความบ้าคลั่ง นางหัวเราะออกมา ยกขาขึ้นมาเตะเข้าตรงข้อมือของจูนหยูนเสวี่ย
ข้อมือข้างขวาเจ็บสุดชีวิต มีดสั้นพุ่งตรงออกไป จูนหยูนเสวี่ยเอามือไปจับมีดสั้นด้วยความตื่นตระหนก ต่อด้วยจูนจิ่วพุ่งตัวมาถึงตรงหน้านาง ระยะห่างสั้นลง นัยน์ตาที่เบิกกว้างของจูนหยูนเสวี่ย มองเห็นดวงตาเย็นเยือกของจูนจิ่วอย่างชัดเจน
เกลียดชังเหมือนดูมดตัวหนึ่ง เยาะเย้ยเหมือนดูลิงตัวหนึ่ง คนที่ชนะไม่ได้คือนาง ไม่ใช่จูนจิ่ว
จูนหยูนเสวี่ยโกรธจนตะโกนเสียงดัง “อ้าก”
“เสียงดังน่ารำคาญ”
จูนจิ่วกำหมัดแน่นแล้วชกเข้าใส่จูนหยูนเสวี่ยจนปลิวกระเด็นออกไป จ้องมองจูนหยูนเสวี่ยที่ปลิวอยู่กลางอากาศเป็นเส้นพาราโบลา จากนั้นดิ่งลงที่เวทีประลอง ข้างหูได้ยินเสียงกระดูกกร๊อบแกร๊บ จูนหยูนเสวี่ยน่าจะกระดูกหักแล้ว
นางบิดข้อมือไปมา จูนจิ่วยิ้มหยันพร้อมเดินเข้าไปหา “จูนหยูนเสวี่ย ยังมีท่าอะไรอีกงัดออกมาใช้ได้เลย”
ว่ากระไร
จูนหยูนเสวี่ย? จูนจิ่วเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า จูนหยูนเสวี่ย
ในสนามฝึกซ้อมเสียงฮือฮาดังขึ้น ทุกคนยืนขึ้นมา จ้องมองไปที่จูนหยูนเสวี่ย ใบหน้าที่มีผ้าปิดบังเอาไว้ แต่พอหลังจากที่จูนจิ่วเอ่ยปากทัก ลูกศิษย์ทุกคนยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่านางเป็นจูนหยูนเสวี่ย เดิมทีก็เหมือนมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งได้รับการยืนยันแล้ว
ทันใดนั้น สนามฝึกซ้อมมีเสียงร้องดังลั่น “จูนหยูนเสวี่ยไสหัวออกไปจากสำนักเทียนโจ้ง”
“ไอ้คนทรยศไสหัวออกไปจากสำนักเทียนโจ้ง คนทรยศไสหัวออกไป มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือน”
“จูนหยูนเสวี่ยเจ้ามันคนเนรคุณ หญิงอำมหิตโหดร้าย ยังกล้ามาเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ดีเด่นอีก รีบไสหัวไปซะ”
……
เมื่อได้ยินร้องตะโกนเสียงดังของทุกคน บรรยากาศความโกรธโมโหเต็มล้น จูนหยูนเสวี่ยเป็นคนบาปหนาที่มิอาจอภัยโทษได้
อู๋ซานที่ฟังอยู่นิ่งอึ้งไป หันกลับไปมองเหอซ่านอย่างสงสัย “ท่านเหอ คนที่ท่านเลือกมาเป็นศิษย์ของสำนักเทียนโจ้งด้วยหรือ?
“นางถูกสำนักเทียนโจ้งขับไล่ออกมา” น้ำเสียงเหอซ่านนิ่งสงบเย็นชา ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจหรือโกรธเพราะจูนหยูนเสวี่ยไม่เก่งพอจนต้องพ่ายแพ้ไปและโดนทุกคนด่าว่าด้วยความโกรธแค้น เมื่อเห็นเขามีสีหน้าเช่นนี้ อู๋ซ่านก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
ทว่าในใจของอู๋ซาน กลับรู้สึกว่าท่านเหอเทียนอู่จงเป็นคนที่ประหลาดมาก ทำไมถึงเลือกผู้หญิงที่มีพฤติกรรมแย่แบบนี้?
หยูนจ้งจิ่น “ในที่สุดสถานะของจูนหยูนเสวี่ยก็ถูกเปิดโปงจนได้”
“ข้าว่านะหนังหน้านางหนายิ่งกว่ากำแพงเมืองเสียอีก ถูกเปิดโปงแล้วจะทำไม? นางก็ไล่ไม่ไปอยู่ดี” เฟิ่งเซียวพูดจาเหน็บแนมด้วยท่าทีรำคาญ
เสี่ยวอู่ร้องเหมียวๆเห็นด้วย แล้วหันหน้ากลับไปมองโม่อู๋เยว่ นัยน์ตาของมันหรี่ลงเป็นแนวเดียว เสี่ยวอู่สะบัดหางตบตรงที่พักแขนเก้าอี้ของโม่อู๋เยว่ มันร้องเหมียวๆสองครั้งถามโม่อู๋เยว่ว่าทำไมไม่พูด
ใครจะไปคิดว่าโม่อู๋เยว่ไม่แม้แต่จะสนใจมันเลย นัยน์ตาลุ่มลึกนั้นนอกจากจูนจิ่วแล้วมองไม่เห็นใครทั้งนั้น เสี่ยวอู่โกรธจัดสะบัดหน้าหันไปทางอื่น มันโง่หรือไงที่ยอมมาคุยกับไอ้บ้ากามคนนี้
มองไปที่บนเวทีประลอง
จูนหยูนเสวี่ยที่ได้ยินผู้คนตะโกนร้องต่อว่าเสียงดัง ทุกถ้อยคำล้วนเป็นการดูถูกและด่าว่านาง ใบหน้าบึ้งตึงไม่น่ามอง จูนหยูนเสวี่ยกำหมัดแน่น ความเจ็บปวดบนร่างกายบวกกับการด่าว่าข้างหู จูนหยูนเสวี่ยล้วนโยนความผิดเหล่านี้ให้กับจูนจิ่ว
หากไม่ใช่จูนจิ่ว ชื่อเสียงเกียรติยศของนางจะป่นปี้ไปได้อย่างไร?
ล้วนเป็นความผิดของจูนจิ่ว ถ้าหากฆ่านางตั้งแต่ตอนที่อยู่จวนจูนและไม่ให้นางมีโอกาสหนีไปที่เมืองเฟิงหลัว ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นตอนนี้ ตระกูลจูนก็จะไม่ถูกฆ่าล้างโคตร ข้อผิดพลาดเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาก็คือการไม่ฆ่าจูนจิ่วให้เร็วกว่านี้ นอกจากนี้แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของจูนจิ่ว
จูนหยูนเสวี่ยกัดฟันแน่น ดวงตาแดงก่ำเพ็งมองไปที่จูนจิ่ว นางเก็บมีดสั้นที่พื้น พร้อมร้องตะโกนเสียงดังแล้วพุ่งเข้าไป “จูนจิ่วข้าจะฆ่าเจ้า”
“ยังจะฝันอยู่อีก” พร้อมพลิกลำตัว จูนหยูนเสวี่ยพุ่งตัวผ่านลำตัวนาง จูนจิ่วยกมือขึ้น ตวัดรัดมือซ้ายของจูนหยูนเสวี่ยไว้อย่างแน่นและแม่นยำ กร๊อบแกร๊บ
“โอ๊ย”
จูนจิ่วลงมือจัดการ ดึงผ้าปิดหน้าของจูนหยูนเสวี่ยโดยตรง บนใบหน้าของนางยังมีรอยแผลที่หน้าคว่ำลงพื้นเมื่อวาน ยังคงมีรอยฟกช้ำดำเขียว มองไม่เห็นความงดงามใดๆ มีเพียงใบหน้าขี้เหร่บูดบึ้งและความกระอักกระอ่วนใจ
เมื่อเห็นใบหน้าของจูนหยูนเสวี่ย เสียงด่าว่าในสนามฝึกซ้อมยิ่งรุนแรงมากขึ้น ทุกคนโห่ร้องตะโกนว่าจูนหยูนเสวี่ยไสหัวออกไป
ความโกรธแค้น เกลียดชัง ไม่พอใจ จูนหยูนเสวี่ยจ้องมองไปที่จูนจิ่ว นางฉีกยิ้มน่าเกลียดและพูดว่า “จูนจิ่ว เจ้าไปตายเสียเถอะ”
นางโยนลูกพายุฝนออกไปทันที
เสียงแกร๊กดังขึ้น ทันใดนั้นอาวุธลับเข็มเงินนับร้อยชิ้นถูกปล่อยออกมา แรงมหาศาลทะลุผ่านอากาศ มาพร้อมลมพายุทั่วทุกทิศ จูนจิ่วถูกล้อมรอบท่ามกลางอาวุธลับนั่นทันที จูนหยูนเสวี่ยหัวเราะฮ่าๆดังลั่น หัวเราะน่าเกลียดและดุร้ายมาก
จูนจิ่ว ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะหลบลูกพายุฝนนี้อย่างไร? หากไม่ใช่เพราะว่าไม่สามารถเปิดออกได้ล่ะก็ ข้าจะอาบยาพิษใส่ ให้เจ้าโดนยาพิษตายไปเสียได้ยิ่งดี
จูนหยูนเสวี่ยไม่รู้ว่า จูนจิ่วได้ระวังตัวสำหรับเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว ทว่าจูนจิ่วกลับไม่ได้ใช้โรคพายุฝนที่เหอซ่านมอบให้นางในการต่อสู้เอาคืนแต่อย่างใด แต่กลับเปิดตันเถียน พลังทิพย์หลั่งสู่ภายนอกกายแปรเปลี่ยนเป็นเกราะป้องกันหนึ่งชั้น
เพี้ยงๆๆ
อาวุธลับตกกระทบใส่ โดยที่ไม่สามารถทะลุผ่านเกราะป้องกันได้
บนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ คนจำนวนไม่น้อยตกตะลึงจนต้องลุกขึ้นยืน “นี่เป็นการปล่อยพลังทิพย์ออกสู่นอกกาย อายุน้อยๆอย่างนางกลับสามารถปล่อยพลังทิพย์ออกสู่นอกกายได้? นี่มันอย่างน้อยๆต้องเป็นถึงนักจิตชั้นห้าถึงจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ นางเพิ่งจะอยู่ชั้นไหนเอง?”
“จูนจิ่วเป็นนักจิตชั้นสาม”
“เฮือก” พวกเขาลอบสูดลมหายใจเย็นเข้าไป
นักจิตชั้นสาม สามารถปล่อยพลังทิพย์ออกสู่นอกกายได้ หากเทียบกับคนแพ้ระนาบโดยสิ้นเชิง ความแตกต่างของพรสวรรค์ ทำให้คนธรรมดาอยากตายเสียจริง
เสี่ยวอู่กวาดตามองความตกตะลึงของพวกเขา อกผายไหล่ผึ่งอย่างได้ใจ นายท่านของมันเก่งกาจอยู่แล้ว เก่งขนาดนี้ น่าทึ่งตาค้างเลยล่ะสิ?