บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 191 กุญแจผ่านด่าน
บทที่ 191 กุญแจผ่านด่าน
สายตานิ่งสงบของโจ่ฉีมองไปทางจูนจิ่ว เขาเอ่ยปากพูดว่า “ข้าคิดว่าท่านเหอเคยพูดไว้แล้วว่า ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือผ่านด่านการแข่งขันบนเวทีอู๋อจงให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องอื่น ควรพักไว้ก่อน”
จูนหยูนเสวี่ยสูดลมหายใจลึก นางลูบคลำรอยบีบตรงคอที่ทิ้งความเจ็บแสบเอาไว้ มืออีกข้างกำหมัดแน่น โจ่ฉีกับเหอซ่านก็เป็นเหมือนๆกัน หลอกยาก ถึงแม้นางอยากได้กระไรก็ได้ตามนั้น แต่พวกเขาไม่เหมือนถูหยุนที่ยอมลงมือฆ่าจูนจิ่วเพื่อนางได้ ทั้งๆที่เรียกนางว่าแม่นาย ท่าทีก็ดูเคารพนับถือ แต่กลับกำหนดภารกิจมากมาย ให้นางทำให้สำเร็จ
จูนหยูนเสวี่ยไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถ้าหากเมื่อครู่โจ่ฉียอมออกหน้าแทนนาง จูนจิ่วคงไม่กล้าเหิมเกริมถึงเพียงนี้ ถึงขั้นบีบคอนางอย่างไม่เกรงกลัว
สีหน้าท่าทางของจูนหยูนเสวี่ยล้วนอยู่ในสายตา โจ่ฉีหรี่ตานิดๆ เขาเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าของจูนหยูนเสวี่ย พูดเสียงทุ้มต่ำว่า “แม่นายยังไม่เคยเจอกองทัพเย่สิง ถ้าหากท่านอยากให้กองทัพเย่สิงยอมสิโรราบต่อท่าน ก็จำเป็นต้องมีมาดความเป็นแม่ทัพ โดยท่านต้องผ่านการแข่งขันเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์เจอพวกเขาได้”
“เมื่อเจอพวกเขาแล้ว ข้าก็ใช้การพวกเขาได้แล้วใช่หรือไม่? ในใจจูนหยูนเสวี่ยคิดเพียงใช้ประโยชน์ และกุมอำนาจให้ได้ โจ่ฉีที่ฟังอยู่ถึงกับขมวดคิ้วแน่น ทว่าจำต้องยอมอดทนไว้
เขาไม่ได้ตอบคำถามนี้ของจูนหยูนเสวี่ย ทว่ากลับพูดว่า “ถ้าหากท่านสามารถได้ผลคะแนนที่ดีจากการแข่งขันบนเวทีประลองอู๋อจง ข้ากับท่านเหอสามารถทำให้เจ้ากลายเป็นศิษย์สายหลักของเจ้าสำนักอู๋อจงได้ ซึ่งเป็นสถานะที่นับว่าไม่ธรรมดาในอู๋อจง พอถึงตอนนั้นเจ้าอยากทำกระไร ยังกลัวว่าจะทำไม่ได้อีกหรือ?”
จูนหยูนเสวี่ยได้ยินเช่นนั้น สายตาสะท้อนประกายแวววาว “จริงหรือ?”
โจ่ฉีพูด “จริงแน่นอน ข้าจะโหกแม่นายได้กระไร?
“ดี ข้าจะทำให้พวกเจ้าต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ ผู้ที่มีความสามารถที่แท้จริง มีเพียงจูนหยูนเสวี่ยเท่านั้น ” เมื่อพูดจบ จูนหยูนเสวี่ยเก็บสีหน้าไม่พอใจและความเกลียดชังไว้ แล้วเดินไปยังที่หมายปลายทางด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ความพ่ายแพ้เพียงชั่วครั้งคราวจะนับประสากระไรได้? ขอเพียงแค่นางได้เป็นศิษย์สายหลักของเจ้าสำนัก สถานะของนางจะอยู่เหนือคนนับหมื่น พอถึงตอนนั้นจะฆ่าจูนจิ่ว ใช้เพียงแค่คำพูดเดียวก็สั่งการได้แล้ว เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจของจูนหยูนเสวี่ยเบิกบานยิ่งนัก
นางกลับมองไม่เห็นสีหน้าของโจ่ฉีที่มองนางจากทางด้านหลัง ด้วยสายตารังเกียจไม่ชอบใจ จูนหยูนเสวี่ยเหมือนแม่ของนางซั่งกวนอี่หรงไม่มีผิด โลภมากไร้ยางอาย แม่ของนางหลอกกองทัพเย่สิงมาเป็นระยะเวลาสิบกว่าปี ตอนนี้จูนหยูนเสวี่ยยังคิดจะสวมรอยแม่นาย ทำเรื่องชั่วช้าสารพัด ทั้งยังวางอำนาจบาตรใหญ่อีกหรือ?
นัยน์ตาฉายแววความอาฆาตอย่างรวดเร็ว หากไม่ใช่แผนการของเหอซ่านล่ะก็ เขาจะยอมอดทนจูนหยูนเสวี่ยกำมะลอคนนี้ได้กระไร?
เมื่อคิดถึงแผ่นการของเหอซ่านหลังจากนี้ ในใจของโจ่ฉีเหมือนมีลมจุกอยู่ที่อกไว้ ทำให้ไม่สบายตัว การสร้างพลังอำนาจเพื่อจูนหยูนเสวี่ย ผลักดันนางไปถึงจุดสูงสุด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่แม่นายควรจะได้รับต่างหาก แต่ตอนนี้กลับต้องให้นางกำมะลอคนนี้ หวังแค่ว่าแผนการของพวกเขาจะสำเร็จ และจูนหยูนเสวี่ยจะสามารถล่อให้คนที่อยู่ในที่ลับออกมาได้จริง
โจ่ฉีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ทั้งหมดทั้งสิ้นก็เพื่อความปลอดภัยของแม่นาย ให้จูนหยูนเสวี่ยกำมะลอคนนี้ถือดีไปก่อน ยิ่งนางยืนสูงแค่ไหนตอนล้มลงก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่นางกลืนเข้าไปล้วนจะต้องคายออกมาทั้งหมด ”
……
ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม ทุกคนมาถึงที่หมายปลายทางอย่างราบรื่นและตรงเวลา พวกเขาหายใจเหนื่อยหอบ โดยที่ไม่ได้ซ่อนสายตาที่ตื่นเต้นดีใจไว้ พร้อมเหลียวซ้ายแลขวา รอการมาของศิษย์อู๋อจง และไม่รู้ว่าใครตะโกนเสียงดังว่า “มากันแล้ว”
“พี่สาวเก้า คนของอู๋อจงมากันแล้ว เอ๊ะ นั่นมันกู่ซงไม่ใช่หรือ?” จูนเสี่ยวเหล่ยเปล่งเสียงตกใจ
จูนจิ่วและหยูนเฉียวเงยหน้ามองไปพร้อมกัน ท่ามกลางขบวนคณะของอู๋อจง มีสองคนที่พวกเขารู้จัก คนหนึ่งเป็นอู๋ซาน อีกคนเป็นกู่ซง พวกเขายืนขนาบซ้ายขวาอยู่ด้านหลังของผู้เฒ่าคนหนึ่ง เมื่อเห็นพวกเขา กู่ซงแสดงท่าทางทะเล้นขยิบตาส่งมาให้ ดูแล้ว ยังน่าต่อยเหมือนเดิม
หยูนเฉียวหัวเราะ “ดูท่าแล้วกู่ซงไม่ได้โกหกพวกเรา เขาเป็นคนของอู๋อจงจริงๆ แต่ว่าไม่รู้ว่าเขาเป็นศิษย์ของอู๋อจงสำนักไหน”
จูนจิ่วตอบ “สำนักหุ้นหยวน”
จูนเสี่ยวเหล่ยกับหยูนเฉียวตกตะลึงมาก จูนเสี่ยวเหล่ยซักถาม “กู่ซงบอกพี่สาวเก้าเองหรือ?”
จูนจิ่วกระตุกยิ้มมุมปาก “ไม่หรอก นอกจากเขาจะไม่ใช่คนของสำนักชางไห่จง เจี้ยนจง กับตันจง อย่างแน่นอนแล้ว ก็เหลือเพียงสำนักเทียนอู่จง กับ สำนักหุ้นหยวน เจ้าคิดว่าเขาน่าจะอยู่สำนักไหนล่ะ?”
หยูนเฉียวตอบ “ต้องเป็นสำนักหุ้นหยวนแน่นอน กู่ซงรังเกียจสำนักเทียนอู่จงเสียขนาดนั้น คงไม่ใช่ลูกศิษย์ของสำนักเทียนอู่จงแน่นอน”
“ฉะนั้นคำตอบย่อมเห็นชัดอยู่แล้ว” จูนจิ่วรู้ตั้งแต่ตอนที่อยู่แคว้นเทียนโจ้ง กู่ซงยอมรับว่าเป็นคนของอู๋อจง จูนจิ่วจึงเดาว่าเขามาจากสำนักไหน ทว่ายังคงขาดอีกนิด เพราะจูนจิ่วยังไม่รู้สถานะโดยละเอียดของกู่ซง
เมื่อเทียบการตอบสนองของพวกเขา ตอนที่อู๋ซานมองเห็นกู่ซง สีหน้าดูตกตะลึงมาก เพราะในที่สุดเขาก็นึกออกแล้วว่า กู่ซงคือใคร
ความตกใจปนแปลกใจสับเปลี่ยนไปมา อู๋ซานจ้องมองกู่ซงหลายครั้ง อดใจไม่ได้จึงถามไปว่า “ศิษย์น้องกู่ซง เจ้าไปที่แคว้นเทียนโจ้งทำกระไร?”
“ไปหาจูนจิ่วน่ะสิ”
“เจ้าไปหาจูนจิ่วทำไม? ศิษย์น้องกู่ซง ข้าขอบอกเจ้า จูนจิ่วเป็นนักกลั่นยา ยังไงเสียก็ต้องมาที่สำนักตันจงของพวกข้าอยู่แล้ว ไม่ไปที่สำนักหุ้นหยวนของพวกเจ้าหรอก ถ้านางไปที่สำนักหุ้นหยวน มีแต่จะเสียเวลาเปล่า และเสียดายพรสวรรค์ของนาง ซึ่งมันไม่คุ้มยิ่งนัก” อู๋ซานทำท่าทางมั่นอกมั่นใจว่าจูนจิ่วจะต้องไปที่สำนักตันจงแน่นอน
กู่ซงไม่ได้โต้เถียง เขาใช้ปากคาบใบหญ้าไว้หนึ่งใบ พร้อมฉีกยิ้มกว้าง “จูนจิ่วเคยพูดแล้วว่าจะไม่ไปสำนักตันจง”
อู๋ซาน “……”
คำพูดช่างแทงใจ
สีหน้าของอู๋ซานเปลี่ยนไปหลายครั้ง ในที่สุดก็สงบลงขึ้นมา เขาพูดว่า “เสี่ยวจูนจิ่วไม่ไปสำนักตันจงแล้วจะไปที่ไหน?”
“เหอๆ ศิษย์พี่อู๋ซานตายใจเถอะ ต่อให้จูนจิ่วนางต้องไปที่สำนักเทียนอู่จง ก็คงไม่ไปที่สำนักตันจงแน่นอน มาถึงแล้ว หยุดพูดเถอะ” กู่ซงตัดบทพูดของอู๋ซานทันที ชี้นิ้วไปทางผู้เฒ่าที่หยุดฝีเท้าลงตรงหน้าพวกเขา
ผมเผ้าหนวดเคราสีขาว ดุจดั่งเทพเทวดามาบังเกิด
ผู้เฒ่าหลับตาเดินตลอดทาง ทว่ากลับไม่เคยหยุดชะงักฝีเท้าเลยแม้แต่น้อย ผู้คนมองดูอย่างอัศจรรย์ตา ต่างรู้สึกว่าช่างเก่งกาจยิ่งนัก
ผู้เฒ่าเอ่ยปากพูด “พวกเจ้าล้วนเป็นผู้ชนะที่ผ่านเข้ารอบการคัดเลือกศิษย์ดีเด่นจากสิบประเทศที่จัดขึ้นสามปีครั้ง จำนวนรวมทั้งหมดสี่สิบสองคน พวกเจ้าฟังไว้ให้ดี ข้าชื่อถูฉี เป็นผู้อาวุโสสำนักหุ้นหยวน และเป็นผู้รับผิดชอบการแข่งขันบนเวทีอู๋อจงในครั้งนี้ เรื่องกฎกติกา ข้าจะพูดเพียงรอบเดียวเท่านั้น ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนตั้งใจรับฟังทันที ฟังถูฉีพูดอย่างเงียบสงบ
เห็นที่ฝ่ามือของถูฉีกางออก ตรงกลางฝ่ามือมีแสงสีน้ำเงินเปล่งประกายระยิบระยับ เป็นพืชที่มีลักษณะคล้ายดอกไม้และคล้ายหญ้าดอกหนึ่งปรากฏอยู่บนฝ่ามือของถูฉี ถูฉีเอ่ยปากพูด “นี่คือกุญแจผ่านด่านของพวกเจ้า ดอกตงเตีย”
กุญแจผ่านด่าน ดอกตงเตีย?
จูนจิ่ววิเคราะห์สองส่วนนี้ด้วยความหลักแหลม คำพูดของถูฉี ทำให้นางมีความรู้สึกตามสัญชาตญาณว่า การแข่งขันในครั้งนี้ มันแตกต่างจากที่พวกเขาคาดเดาไว้อย่างสิ้นเชิง
“พวกเจ้าจะเข้าไปในค่ายเขาวงกต มีเพียงผู้ที่ได้รับดอกตงเตียเท่านั้น ถึงจะออกจากค่ายกลได้ และจะได้รับสิทธิ์เข้าอู๋อจงเป็นศิษย์สำนักอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ให้ทุกคนเดินเข้าไป เร็วเข้า อย่าทำให้ต้องเสียเวลา ” ในที่สุดถูฉีก็ลืมตาขึ้นมา ทุกคนมองด้วยความตกตะลึง หลังจากที่ถูฉีลืมตาขึ้นมา สนามกว้างที่เดิมทีเคยเป็นพื้นที่กว้างว่างเปล่า ตอนนี้มีค่ายกลปรากฏขึ้นมา ค่ายกลเปล่งประกายด้วยแสงสีน้ำเงิน แต่ละคนที่เดินเข้าไป แสงประกายทอแสงนั่นจะปกคลุมไปทั่วทั้งตัวของพวกเขา
นี่คือค่ายเขาวงกตหรือ? จูนจิ่วก้าวเท้าเข้าไป มองดูแสงสีน้ำเงินทอแสงที่ปกคลุมบนร่างกายด้วยความรู้สึกประหลาดใจ