บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 201 จูนจิ่วกำลังพูดจาโอ้อวดอันใด
บทที่ 201 จูนจิ่วกำลังพูดจาโอ้อวดอันใด
มันยังน้อยไปด้วยซ้ำหากเปรียบเปรยความเจ็บปวดของจูนหยูนเสวี่ยกับประโยคที่ว่าน่าสังเวชจนไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกนี้ได้ นางลืมตากว้างใหญ่ อยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ร่างกายสั่นสะท้านไม่ยอมหยุด ทั้งยังมีฟองน้ำลายออกจากปากที่อ้าค้างไว้ จูนจิ่วขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น อดไม่ได้ที่จะนำพลังจิตกลับคืนมา หากยังฝืนทำต่อไป จูนหยูนเสวี่ยไม่ตายก็คงกลายเป็นคนปัญญาอ่อน ซึ่งไม่ใช่ผลลัพธ์ที่จูนจิ่วต้องการ
นางนำผ้าไหมเนื้อนุ่มออกมาเช็ดมือ จูนจิ่วเหลือบมองจูนหยูนเสวี่ยด้วยสายตาไร้ความรู้สึก นางยังไม่พอใจกับคำตอบที่ได้จากปากของจูนหยูนเสวี่ย นางรู้เพียงว่าจูนหยูนเสวี่ยสวมรอยสถานะของนาง จนได้กลายเป็นแม่นายของกองทัพเย่สิง ทว่ายังคงไม่รู้ว่าทำไมกองทัพเย่สิงต้องทำเช่นนี้ด้วย?
จูนจิ่วเอ่ยปากพูดด้วย ด้วยสายตาอึมครึมนิดๆ “ดูท่าแล้ว คำตอบคงต้องไปถามเอาจากปากของกองทัพเย่สิง”
จูนจิ่วลุกขึ้นยืนพร้อมสะบัดแขนเสื้อและชายกระโปรง นางมองจูนหยูนเสวี่ยที่ถูกทรมานจนไม่เหลือสภาพความเป็นคนจากบนลงล่าง สภาพเหมือนตายทั้งเป็น จูนจิ่วกระตุกยิ้มมุมปาก “เจ้าสบายใจได้ ก่อนที่ข้าจะได้คำตอบ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตายแน่นอน”
ต่อหน้าหมอเทวดาจูนจิ่ว แม้แต่ยมราชก็มิอาจแย่งคนกับนางได้ ยิ่งไปกว่านั้น จูนหยูนเสวี่ยยังไม่ตายนิ
นางดีดนิ้วนำยาเม็ดหนึ่งเข้าไปในปากของจูนหยูนเสวี่ย จูนจิ่วยกมือพร้อมกับปลายนิ้วมือมีพลังทิพย์ก่อตัวขึ้นมา นางใช้พลังทิพย์หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของจูนหยูนเสวี่ยโดยเริ่มจากข้อมือข้างขวาของจูนหยูนเสวี่ย ร่างกายของจูนหยูนเสวี่ยเหมือนโดนฟ้าผ่า สั่นสะท้านรุนแรงมาก เสียงในลำคอแตกแหบแห้ง ทำได้เพียงเปล่งเสียงครวญครางเบาๆ ใบหน้าที่บวมเหมือนหัวหมูแสดงออกว่านางเจ็บปวดอย่างมาก
การเชื่อมเส้นเอ็นและกระดูกในขณะที่ยังรู้สึกตัวอยู่ ความเจ็บปวดเช่นนี้พูดได้เลยว่าเหมือนตายทั้งเป็น
จูนจิ่วเชื่อมเส้นเอ็นมือและเท้าของจูนหยูนเสวี่ยเสร็จเรียบร้อยด้วยท่าทีเฉื่อยชาสบายๆ มองดูจูนหยูนเสวี่ยชักกระตุกอยู่ที่พื้น ร้องครวญครางเสียงต่ำ จูนจิ่วค่อยๆกำนิ้วมือแน่น ภายใต้การควบคุมด้วยพลังจิต ร่างกายของจูนหยูนเสวี่ยแข็งทื่อ แววตาแลดูเฉื่อยๆ
“จูนหยูนเสวี่ยเจ้าจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ข้าสั่งให้เจ้าไปบอกกับเหอซ่านกับโจ่ฉีว่า ข้าจะขอพบพวกเขา ถ้าหากพวกเขาไม่มา จะต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาเอง สำหรับสถานที่นัดพบ รอข้าออกไปจากที่นี่ค่อยว่ากันอีกที” จูนจิ่วหรี่ตาลง ยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็นดุดัน
จูนหยูนเสวี่ยพยักหน้าเฉื่อยๆ “รับทราบ”
ยูนเสวี่ยจำเรื่องที่นางสอบสวนเมื่อครู่ไม่ได้ หลังจากที่ออกจากค่ายเขาวงกต เมื่อจูนหยูนเสวี่ยได้พบเหอซ่าน และโจ่จี การสะกดจิตจะสำแดงฤทธิ์ แล้วนางจะเอ่ยปากถ่ายทอดข้อความของนางเอง
นางกวาดสายตาอันเลือดเย็นมองไปที่จูนหยูนเสวี่ย จูนจิ่วสะบัดแขนเสื้อหมุนตัว ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะฆ่าจูนหยูนเสวี่ย เก็บนางไว้ยังมีประโยชน์
เมื่อเดินออกไป นอกจากจูนจิ่วจะเห็นจูนเสี่ยวเหล่ยแล้วยังเจอคนรู้จักอีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือเหยียนไห่ เมื่อจูนเสี่ยวเหล่ยได้ยินเสียงฝีเท้า และเห็นว่าจูนจิ่วมา จึงรีบเปิดปากพูดว่า “พี่สาวเก้า เขาจะขอพบพี่”
“เจ้าจะขอพบข้าหรือ?” สีหน้าจูนจิ่วแลดูนิ่งเงียบ สายตามองไปที่เหยียนไห่ ซึ่งดูไม่ออกว่าอารมณ์นางกำลังสุขหรือโกรธอยู่
ฝ่ามือของเหยียนไห่กำแน่นขึ้นนิดๆ เขามาได้สักพักแล้ว เขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนที่ดังมาจากด้านหลังของจูนเสวี่ยวเหล่ย ซึ่งเสียงที่ดังผ่านมาฟังดูเจ็บปวดเหลือทน ฟังจนเขายังรู้สึกสั่นสะท้านและขนลุกซู่ไปทั้งตัว เดิมทีเขาแค่เดินผ่านมา แต่กลับเห็นจูนเสี่ยวเหล่ยและจำได้ว่านางเป็นคนของจูนจิ่ว จากนั้นพอทราบว่าจูนจิ่วอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เหยียนไห่หยุดเดินต่อไปทันที
ตอนนี้ได้พบจูนจิ่วแล้ว เหยียนไห่ใช้มือลูบด้ามดาบ เขาเอ่ยปากพูดว่า “จูนจิ่ว ข้าอยากจะร่วมมือกับเจ้า”
“ร่วมมือ?”
“ใช่” เหยียนไห่พยักหน้า และเขาพูดต่อไปว่า “พวกข้าพบดอกตงเตียแล้ว ดอกมีเยอะมาก และเพียงพอสำหรับแจกจ่ายพวกเราคนละหนึ่งดอก ทว่าตรงที่มีดอกตงเตีย มีสัตว์ทิพย์เฝ้าดูแลอยู่ ซึ่งจัดการยากยิ่งนัก ข้าคิดว่า ภายในค่ายเขาวงกตแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดเก่งกาจเท่าเจ้าอีกแล้ว ”
สถานะของเหยียนไห่นั้นไม่ธรรมดา เขาร่ำเรียนวิชาดาบชั้นสูงของสำนักเจี้ยนจงมาตั้งแต่เด็ก หรือแม้แต่ดาบแห่งจิตที่ว่ายากที่สุดเขาก็เรียนรู้แล้ว ก่อนที่จะมาเวทีประลองอู๋อจง เหยียนไห่ที่ขนานนามนับว่าตัวเองมีพละกำลังเก่งกาจเป็นที่หนึ่ง แต่พอหลังจากที่ต่อสู้กับจูนจิ่ว เหยียนไห่ยอมถอยไปอยู่ที่สองเอง และเขากล้าสาบานได้เลยว่า ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้เขากลายเป็นที่สามได้แน่นอน
เมื่อนึกถึงดอกตงเตีย เหยียนไห่รู้ดีว่าการร่วมมือกับจูนจิ่ว ถึงจะสามารถชนะทั้งคู่ได้ ดังนั้นเขาจึงมาหาจูนจิ่ว
เหยียนไห่พูดเสริมอีกว่า “จูนจิ่วเจ้าลองใคร่ครวญดูก่อน ฝั่งข้ามีกูซูหยิง เจ้าสามารถพานางไปด้วย พวกข้าสี่คนร่วมมือกัน ดอกตงเตียคนละหนึ่งดอกไม่ใช่ปัญหาแน่นอน” เหยียนไห่กวาดสายตาส่งสัญญาณไปที่จูนเสี่ยวเหล่ย
“พี่สาวเก้า?” จูนเสี่ยวเหล่ยเงยหน้ามองไปที่จูนจิ่วด้วยดวงตาสุกใส พี่สาวเก้าตัดสินใจทุกอย่างเลย
จูนจิ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง นางมองไปทางเหยียนไห่ ริมฝีปากแดงฉีกยิ้มกว้าง “ดี ข้าจะร่วมมือกับเจ้า”
“ตรงไปตรงมาดี เชิญ ข้าจะนำพวกเจ้าไปที่ดอกตงเตียที่นั่น ” เหยียนไห่สีหน้าจริงจัง ฉีกยิ้มมุมปากนิดๆ เขาถือดาบไว้แล้วเดินไปนำทางข้างหน้า ตลอดทางเดิน เหยียนไห่ไม่ได้คิดปกปิดสิ่งใด พยายามบอกเล่ารายละเอียดของดอกตงเตียให้จูนจิ่วได้ทราบ
โดยที่กูซูหยิงเป็นคนที่พบเห็นก่อนคนแรก ดอกตงเตียมีเยอะมาก นางตัวคนเดียวไม่สามารถคว้ามาได้แน่นอน ฉะนั้นจึงไปหาเหยียนไห่ ส่วนเหยียนไห่ก็มาขอความร่วมมือจากจูนจิ่ว พวกเขาทั้งสี่คนรวมตัวกันภายในค่ายเขาวงกต และจะคว้าดอกตงเตียพร้อมกัน
ครั้งสุดท้ายที่จูนจิ่วเห็นกูซูหยิง คือตอนที่อยู่บนเวทีประลองอู๋อจง การพบเจอกันครั้งนี้ กูซูหยิงกระตุกยิ้มบางตรงมุมปาก แล้วเอ่ยปากพูดก่อนว่า “กูซูหยิงจากแคว้นโล๋หยวน เจ้าคือหมอเทวดาจูนจิ่วสินะ เคยได้ยินแค่ชื่อเสียงเรียงนาม ในที่สุดวันนี้ก็ได้รู้จัก แม่นางจูนเป็นหญิงที่งดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็น”
ไม่มีผู้ใดที่จะไม่ชอบการชื่นชม จูนจิ่วหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณ”
กูซูหยิงมองไปทางจูนเสี่ยวเหล่ย แล้วทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ทว่าเป็นใครก็ดูออกว่า กูซูหยิง สนใจจูนจิ่วเป็นพิเศษ จูนเสี่ยวเหล่ยเป็นเพียงแค่เด็กรับใช้ที่ติดตามจูนจิ่วมา อีกประเดี๋ยวหากเกิดการต่อสู้ขึ้น ยังไงก็ต้องพึ่งพวกเขาสามคนเป็นหลัก
“ตามข้ามาเถอะ ยังไม่มีใครพบเจอที่นี่ เพราะฉะนั้นศัตรูของพวกเรามีเพียงสัตว์ทิพย์ที่เฝ้าดูแลดอกตงเตียเท่านั้น พวกข้าต้องฆ่าพวกมันก่อน ถึงจะคว้าดอกตงเตียได้ ” ขณะที่กูซูหยิงพูด น้ำเสียงฟังดูซับซ้อน เหมือนมีความในใจที่พูดไม่ได้
เมื่อปีนขึ้นไปบนเนินเขาที่อยู่ในค่ายเขาวงกต จูนจิ่วก้มหน้ามองดู ทันใดนั้นเหมือนเข้าใจการตอบสนองของกูซูหยิงแล้วว่าเป็นเพราะอะไร ภายในค่ายเขาวงกตมีโลกใบเล็กๆซ่อนตัวอยู่ ทว่าที่นี่เป็นหุบเขาหนึ่งลูก ภายในหุบเขาไม่มีพืชชนิดอื่น มีแต่ทุ่งดอกไม้ที่ขึ้นเต็มไปทั่ว ตรงกลางทุ่งดอกไม้มีสนามหญ้าที่เว้นช่องว่างไว้ มีสัตว์ทิพย์ที่ทั้งนอน ทั้งนั่ง ทั้งคลานไว้ แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาผู้คนมากที่สุดคือดอกตงเตีย
ดอกตงเตียไม่ยอมขึ้นที่อื่น กลับไปขึ้นที่บนศีรษะของสัตว์ทิพย์ ดอกไม้เบ่งบานดึงดูดสายตายิ่งนัก แสงสีน้ำเงินเข้มประกายทอแสงระยิบระยับ ดุจดั่งเพชรสีน้ำเงิน ที่เย้ายวนใจคนให้ไปเด็ดมันมา
เหยียนไห่เอ่ยปากพูด “สัตว์ทิพย์เหล่านี้ล้วนไม่เคยพานพบมาก่อน ทว่าดอกตงเตียขึ้นอยู่บนหัวของพวกมัน ดังนั้นพวกข้าจึงเรียกมันว่าสัตว์ตงเตีย สิ่งที่ยุ่งยากมากที่สุดคือ สัตว์ตงเตียเหล่านี้ล้วนเป็นสัตว์ทิพย์ชั้นสอง ท่ามกลางพวกมันยังมีสองตัวที่เป็นสัตว์ทิพย์ชั้นสาม พวกข้าทำได้เพียงร่วมมือกันแล้วลองดูสักตั้ง ดูสิว่าจะคว้าดอกตงเตียได้ไหม”
ฝูงสัตว์ตงเตียกลุ่มนี้ ทำให้เหยียนไห่และกูซูหยิงรู้สึกคิดหนัก
จูนจิ่วประเมินสถานการณ์ไปรอบหนึ่ง พร้อมลองนับดู “สัตว์ตงเตียมีทั้งหมดสิบสองตัว จัดการกับพวกมันแล้วคว้าดอกตงเตียมาไม่ใช่เรื่องยาก”
เหยียนไห่และกูซูหยิงพอได้ยินเช่นนั้นรีบหันหน้ามาพร้อมๆกัน มองถลึงตาโตใส่จูนจิ่ว สีหน้าของพวกเขาเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องยากหรือ? จูนจิ่วกำลังพูดจาโอ้อวดอันใด