บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 212 เจ้ามันคนเลว
บทที่ 212 เจ้ามันคนเลว
ในสำนัก มีผู้อาวุโสหญิงเพียงผู้เดียว จูนจิ่วเองก็ดูสวยงามหยาดเยิ้มปานนั้น เช่นนี้ก็เป็นดั่งว่านางเดินเข้าไปยังหมู่สัตว์ร้าย! หากพวกมันรังแกจูนจิ่วจักทำเช่นไร? รอยยิ้มบนใบหน้าของหยูนเฉียวและจูนเสี่ยวเหล่ยเลือนหายไป
หยูนเฉียวเอ่ยปากถามด้วยความกังวล: “เพลานี้ เราไปเตือนจูนจิ่วว่าอย่าไปที่สำนักเทียนอู่จงกันเถอะ จะสายเกินไปหรือไม่?”
“ไม่ทันแล้ว ประกาศต่อหน้าทุกคนไปแล้ว จะกลับคำได้เช่นไร? ข้าไม่คิดไม่ฝันว่าจูนจิ่วจักให้คำตอบแก่เจ้าสำนักชิงรวดเร็วเช่นนี้ พอกรึ่มๆแล้วก็มักทำสิ่งใดโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง นางตอบรับรวดเร็วเช่นนั้นได้อย่างไรกัน” กู่ซงจุกจนอยากจะร้องไห้
เขายังหวังลมๆแล้งๆว่าจูนจิ่วจะไปที่สำนักหุ้นหยวนจง เพื่อที่หลังจากนี้จะได้เจอกันทุกวัน! แต่แล้ว นางก็ไม่ได้ไปที่ตันจงเหมือนกัน ดันไปสำนักที่แปลกประหลาดอย่างสำนักเทียนอู่จงเสียได้!
ในเพลานี้ พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้า และเสียงฝีเท้านั้นก็เดินผ่านมาทางนี้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เฮ้ย! เป็นจูนหยูนเสวี่ยกับข้ารับใช้คนใหม่ของนาง หลังได้รู้ว่าจูนหยูนเสวี่ยคือศิษย์คนสุดท้ายที่จักได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักแห่งจงเจี้ยน นอกจากพวกหยูนเฉียว และกูซูหยิงกับเหยียนไห่แล้ว คนอื่นอีกสิบคนนั้นกลายเป็นผู้ติดตามของจูนหยูนเสวี่ยกันหมด
ตลอดทางที่นางเดินผ่านมา มีแต่ผู้คนประจบสอพอจูนหยูนเสวี่ย ไม่ต้องใช้หัวคิดก็รู้ได้ว่านางมาเพียงเพื่อเบ่งอำนาจ
จูนหยูนเสวี่ยเชิดคางสูงขึ้น มองหางตาใส่พวกหยูนเฉียวทั้งสามคน นางเอ่ยปากเย้ยว่า: “นี่ไม่ใช่เงาติดตามของยัยชนชั้นต่ำจูนจิ่วนั่นรึ? จูนจิ่วไม่อยู่ที่นี่ พวกเจ้าก็ยังกล้าที่จะมา ไม่เกรงว่าข้าจักให้พวกเจ้าได้เห็นของดีหรืออย่างไร?”
“จูนหยูนเสวี่ย เจ้านั่นละคนชั้นต่ำ!” จูนเสี่ยวเหล่ยจ้องไปที่นางพร้อมโต้กลับ
“บังอาจ! ไม่ว่ายังไงนี่ก็คือศิษย์คนสุดท้ายของปรมาจารย์ที่จักได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักแห่งจงเจี้ยนในอนาคต เป็นฐานะอันทรงเกียรติ เจ้ากล้ากลั่นแกล้งท่านพี่หยูนเสวี่ย เท่านี้ก็ถือว่าได้หมิ่นเกียรติของเจี้ยนจง เจ้าเป็นเพียงสาวกตัวเล็กๆที่แสนจะธรรมดาในซางไห่จง เจ้ามิอยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วเช่นนั้นรึ?” ข้ารับใช้ของจูนหยูนเสวี่ยกล่าวอย่างโกรธเคือง
คนอีกคนกล่าวว่า “ใช่! รีบขออภัยแก่ท่านพี่หยูนเสวี่ยเสีย มิเช่นนั้น เจ้าได้เจอดี!”
“เจ้า!”
“จูนเสี่ยวเหล่ย” กู่ซงยกมือขึ้นหยุดจูนเสี่ยวเหล่ย เขาเงยหน้าขึ้นมองจูนหยูนเสวี่ยด้วยสายตาเย็นชา กู่ซงเอ่ยปากเหน็บแหนม: “ศิษย์คนสุดท้ายของปรมาจารย์แห่งเจี้ยนจงแล้วมันเป็นกระไร? หมาของเจี้ยนจงมาเกี่ยวข้องอะไรกับซางไห่จงรึ? หากอยากเบ่งอำนาจก็ไปเบ่งที่เจี้ยนจิงเสีย จักมาทำอันใดในที่แห่งนี้เล่า?”
ใบหน้าของจูนหยูนเสวี่ยมืดมนลงในทันที เพียงแต่ผ้าคลุมนั้นบดบังมิดจนมิอาจมีผู้ใดเห็นได้
ขณะที่นางกำลังจะอ้าปาก หยูนเฉียวก็ขัดจังหวะนางทันที: “ที่กู่ซงได้กล่าวนั้นมีเหตุมีผล เราคนหนึ่งเป็นสาวกในสำนักหุ้นหยวน อีกคนก็เป็นสาวกในซางไห่จง หามีผู้ใดสนใจไม่ ว่าท่านนั้นจักเป็นเจ้าสำนักคนสุดท้ายแห่งเจี้ยนจง และพวกเราหาได้มาดูละครลิงไม่ อย่ามัวเสียเวลา ไปซะเสีย”
“พวกเจ้า!” กัดฟันกรอก จูนหยูนเสวี่ยถลึงตาและจ้องไปยังทั้งสามคน
กล้ามากที่เรียกนางว่าหมา อีกทั้งยังบอกว่ามาเล่นละครลิงอีก กล้าแหน็บแนมนางเชียวรึ? จูนหยูนเสวี่ยโมโหอารมณ์ขึ้นแต่ก็ยังแสร้งยิ้มออกมา: “ข้าจักจดจำพวกเจ้าทั้งสามคนไว้ เพลานี้ข้ามิอาจลดตัวลงไปยุ่งกับพวกเจ้า รอถึงเวลาของการแข่งขันทั้งห้าสำนักเถิด!”
“หึ! พวกเจ้าคงไม่รู้จักการแข่งขันทั้งห้าสำนักกระมัง ก็คงจะใช่ พวกเจ้านั้นเป็นเพียงสาวกธรรมดาๆในอู๋จงนี่ เหตุใดจักมีสิทธิ์รับรู้ข่าวสารสำคัญเช่นนี้เล่า หากจูนจิ่วมา ข้าก็มีอารมณ์ที่จะสอนนาง ส่วนพวกเจ้าหน่ะรึ? เปลืองน้ำลายซะเปล่าๆ พวกเรา ไปเถอะ!
จูนหยูนเสวี่ยกร่างอำนาจ ฝูงชนคนพาลของนางก็พากันเดินจากไป หากไม่กล่าวถึงนาง คนของนางก็อวดดีไม่แพ้กัน ดูคนของนางแต่ละคน เหมือนจะไปตายด้วยกันอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อมองไปที่กู่ซง หยูนเฉียวและจูนเสี่ยวเหล่ยที่เป็นเดือดเป็นอยู่ในทรวง อยากจะเข้าไปใส่หัวพวกมันให้ตายๆไปเสีย! ใบหน้าที่โอหังของจูนหยูนเสวี่ยลอยไปลอยมา นางลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าครั้งหนึ่งจูนจิ่วเคยบดขยี้นางจนตกต่ำดั่งลูกหมาตกน้ำน่ะ
กู่ซงขมวดคิ้ว และกล่าวว่า: “หยูนเฉียว จูนเสี่ยวเหล่ย พวกเจ้าไม่คิดรึว่า จูนหยูนเสวี่ยนั้นหยิ่งผยองมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนนางยังกลัวจูนจิ่ว แต่เพลานี้เหมือนดั่งคนไร้ศีลธรรมที่ได้เชิดหน้าชูตาอยู่บนสวรรค์ไปเสียแล้ว!”
หยูนเฉียว: “เจ้าพูดได้ดี เดี๋ยวต้องนำสารนี้กลับไปบอกแก่แม่นางจูน! จูนหยูนเสวี่ยจักต้องมีผู้ใดคอยหนุนหลังอยู่ และเป้าหมายของนางก็คือแม่นางจูน เราจักต้องไปเตือนแก่แม่นางจิ่วไว้เนิ่นๆให้คอยระวังจูนหยูนเสวี่ยเอาไว้”
“เช่นนั้นจะมัวช้าอยู่ใย? เรากลับกันเถอะ ไปบอกพี่จิ่วกันตอนนี้เลย ยังไงซะงานเลี้ยงนี้ก็น่าเบื่อ ข้าไม่อยากอยู่ต่อแล้ว” จูนเสี่ยวเหล่ยไม่ชอบใจพลางขมวดคิ้ว
ในงานเฉลิมฉลอง ผู้อาวุโสชั้นผู้ใหญ่แห่งอู๋จงกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งดื่มเหล้ากันอยู่ด้านบน แต่ละคนดูเคร่งขรึมและมิอาจคาดเดาได้ เช่นเดียวกับชิงหยู่ที่กำลังนั่งดื่มอยู่ด้านบน หาสนใจในสิ่งใดไม่ ทำตามความต้องการโดยมิได้คำนึงถึงความเหมาะสม ดั่งภาพวาดที่แตกต่างไปจากผู้อื่น
ทั้งเหยียนไห่และกูซูหยิงยืนอยู่ด้วยกัน ดูงดงามดั่งคู่สร้างคู่สม ซึ่งก็ไม่สนใจผู้ใดเช่นกัน แต่เมื่อพวกเขาได้มองเห็นจูนหยูนเสวี่ยกับข้ารับใช้ของนางเพียงเท่านั้น เหล้าก็น่าขยะแขยงไปหมดจนดื่มไม่ลง
ยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิด ไปดีกว่า!
กู่ซงตบมือ: “ไปๆ! เราไปหาจูนจิ่วกันเถอะ”
“ก็ดี”
พวกเขาทั้งสามจากไป โดยผู้อาวุโสชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆบนสำนัก กำลังเพลินกับการทำสิ่งที่พวกเขาอยากทำ ซึ่งผู้ที่พวกเขาให้ความสนใจก็ไม่ใช่พวกหยูนเฉียวอยู่ดี แถมยังกร่อยๆเพราะจูนจิ่วไม่ได้มาด้วยอีก
ท่านชิงถอนหายใจ “จูนจิ่วเข้ากับสำนักเทียนอู่จง น่าเสียดายเสียจริง”
“ใช่แล้ว ท่านผู้อาวุโสแห่งสำนักเทียนอู่จง ก็มีหญิงอาวุโสเพียงผู้เดียว…..” เมิ่งจื้อหยวนเองก็อธิบายออกมาไม่ได้ เขามองไปที่ชิงหยู่ที่อัมพาตตายไปแล้ว พลางกล่าวต่อว่า: “หากจูนจิ่วมาขอร้องแก่เรา ข้าก็จักรับนางไว้ด้วยความสงสาร แต่ดันเต็มใจที่จะไปสำนักเทียนอู่จง”
“สำนักเทียนอู่จงใช่ว่าเลวร้าย พวกท่านทั้งหลายจงอย่าลืม การแข่งขันทั้งห้าสำนักในปีนี้จัดขึ้นโดยสำนักเทียนอู่จง” ผู้อาวุโสถูฉีกล่าว ทุกคนต่างมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีในทันที
อย่างแรก เมื่อคิดว่าให้ชิงหยู่เป็นผู้จัดการงาน พวกเขาต่างเกิดอาการพะอืดพะอม จากนั้นก็ต้องโทษตัวเองที่ปากไวเกินไป จึงได้พลาดเมล็ดพันธุ์อนาคตไกลอย่างจูนจิ่วไป ความน่าเสียดายอย่างที่สองคือแพ้การเดิมพันไปเสียได้ แม้แต่ผู้จัดการแข่งขันทั้งห้าสำนักก็ยังพ่ายแพ้แก่ชิงหยู่
การมอบให้คนบ้าเช่นนี้จัดการ ไม่ช้าก็เร็วจักต้องเละเทะเป็นแน่!
ชิงหยู่ก้มหัวต่ำลง พลางยกเท้าพาดบนเก้าอี้ เขากระดิกเท้าของเขา และกล่าวอย่างเมาๆว่า: “เฮ้ย! ข้าได้ยินนะเว้ย ถึงพวกท่านจะเสียใจไปมันก็ไร้ประโยชน์ จูนจิ่วเป็นคนในสำนักเทียนอู่จงของข้า การแข่งขันทั้งห้าสำนักก็ขึ้นเป็นสำนักเทียนอู่จงของข้าเช่นกัน ฮ่าๆๆๆ พวกท่านอยากจะร้องไห้น้ำตาแตกให้ข้าดูเสียหน่อยไหม?”
ทุกๆคน: “……”
คันไม้คันมือ! อยากจะตีเขาให้ตายๆไปเสีย
สิ่งที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงนั้นจะไม่พูดต่อ ณ ลานโถง จูนจิ่วกับโม่อู๋เยว่ดื่มกันไปสักพักใหญ่ๆ ขวดเปล่าบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆเมื่อจูนจิ่วฮัมเพลง แค่นี้ก็สนุกสนานและมีความสุขโดยมิจำเป็นต้องมีสิ่งอื่นใด โม่อู๋เยว่เองก็ไม่ค่อยมีสติแล้ว ส่วนจูนจิ่วก็ทำในสิ่งที่นางชอบใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าดื่มกันไปเท่าไหร่ แก้มของจูนจิ่วที่แดงระเรื่อนั้นร้อนผ่าว นางเหยียดตัวบนเก้าอี้อย่างสบายใจ พลางมองโม่อู๋เยว่ตาปริบๆ “โม่อู๋เยว่ ดื่มเหล้าจนหมดเกลี้ยงแล้วเนี่ย เรามาเล่นเกมสนุกๆกันดีกว่าม๊า~~”
นางกระดกเหล้าเข้าไปอีกอึก
ม่านตาของโม่อู๋เยว่จ้องมองไปยังจูนจิ่วอย่างลึกซึ้ง เขาเอ่ยปากกล่าวด้วยเสียงต่ำ: “เกมสนุกๆรึ?”
“ก็ใช่อ่ะดิ้ เจ้าแบมือออก แบมือออกเร็วๆดิ้!” จูนจิ่วเห็นโม่อู๋เยว่ไม่แม้แต่จะขยับ จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมสั่งเขา ริมฝีปากของโม่อู๋เยว่เผยรอยยิ้มอันชั่วร้าย แววตาของเขาเป็นประกายวาบวาบ พลางแบมือออก จูนจิ่วคว้ามือทั้งสองข้างของเขาอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มเลศนัย