บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 214 ทำให้จูนหยูนเสวี่ยขึ้นสวรรค์
บทที่ 214 ทำให้จูนหยูนเสวี่ยขึ้นสวรรค์
เหอซ่านมิอาจเผชิญหน้ากับเสี่ยวอู่ เมื่อใดที่เขาจะเคาะประตูหรือจะก้าวเท้าไปข้างหน้า เสี่ยวอู่จักจ้องมองพลางขู่เขาด้วยการแสดงให้เห็นเขี้ยวอันแหลมคม หลังพยายามอยู่สองสามครั้ง เหอซ่านก็เข้าใจ “ข้ามิอาจเข้าไปได้งั้นรึ?”
“เหมียว!” เสี่ยวอู่พยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ พลางข่วนกงเล็บไปกับพื้น
เหอซ่านตกใจ และรู้สึกว่าแมวตัวนี้จักต้องเป็นสัตว์แปลงกายเป็นแน่ เขาถามอีกครั้งอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า: “ให้ข้ารออยู่ที่ตรงนี้รึ?”
“เหมียว” ใช่
เหอซ่านตกตะลึงไปอย่างจัง! แมวตัวนี้เป็นสัตว์แปลงกายจริงๆ มิเพียงแต่ฟังเขาเข้าใจ ทั้งยังจัดการให้เขาอยู่รอที่นี่ได้ ฉลาดล้ำขนาดนี้ ยังเป็นแมวอยู่อีกรึ?
รอเวลาผ่านไปประมาณธูปมอดไปครึ่งก้าน เหอซ่านก็มองเสี่ยวอู่อยู่ตลอด จนกระทั่งจูนเจี่ยวเปิดประตู “เข้ามาเถิด”
“ขอรับ”
เหอซ่านตามเข้าไปในห้องพลางปิดประตูอย่างนุ่มนวล เพื่อมิให้มีใครเผอิญมาเห็นเข้า อีกทั้งเขายังสวมเสื้อคลุมมาด้วย
ปัดแขนเสื้อพลางนั่งลงพร้อมกล่าว จูนจิ่วเหล่ตามองท่าทีของเขาที่ดูสงบเสงี่ยม “ว่ามา”
“แม่นาย ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องยกยอเป็นจูนหยูนเสวี่ยผู้ดื้อด้านเช่นนั้น? การต่อต้านเจ้าสำนักผู้อาวุโสท่านอื่นๆ มีแต่สร้างศัตรูอย่างมิต้องสงสัย! ในแง่ความสัมพันธ์ของอู๋จงนั้นจักไม่เกิดผลดี” เหอจงกล่าวถึงความสับสนทั้งหมดในใจของเขาออกมา เขายังกล่าวต่อว่า: “พวกเราควรขัดขวางจูนหยูนเสวี่ย”
จูนจิ่วกล่าวเรียบๆว่า: “เพลานี้นางเป็นถึงแม่นาย พวกท่านควรที่จักฟังนาง มิใช่ขัดขวางนาง ความดื้อด้านที่มากเกินไป เหอซ่านท่านแน่ใจได้หรือว่าอู๋จงจักไม่มีคนของพวกเขาในนั้น?”
หมายความว่าจักต้องประจบประแจง เป่าให้ขึ้นสวรรค์ไปซะ ยิ่งสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แล้วก็ไม่ต้องเกรงว่าจูนหยูนเสวี่ยจักตกลงมา ไม่ว่าจะตกลงมาเช่นไรนั่นก็ไม่เรียกว่าเป็นปัญหา จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องเล็กเหล่านี้ไม่?
จูนจิ่วตรองดู ก่อนหน้าที่จะออกจากอู๋จงไปยังเจี้ยนจง จูนหยูนเสวี่ยก็ต้องหน้ามืดตามัวพอตัว ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ต้องทิ้งความรู้สึกต่ออู๋จงไว้ให้ลึกสุดใจ แบบนี้ก็จักทำให้คนในอู๋จงได้รับรู้ว่าจูนหยูนเสวี่ยนั้นมีตัวตนมิใช่รึ
และด้วยการสนับสนุนของเหอซ่านและโจ่ฉี เมื่อใครได้เห็นก็จักสามารถรับรู้ถึงเนื้อแท้ของจูนหยูนเสวี่ยได้ “ไม่ธรรมดา” เหยื่อตัวนี้มันใหญ่พอที่จะดึงดูดผู้คนได้ หากแต่จะให้ปลาติดเบ็ดเร็วเช่นนั้น ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เมื่อจูนจิ่วนึกถึงสิ่งนี้ ก็เงยหน้าขึ้นมองเหอซ่าน “ข้าจักใช้กระแสจิตบอกใบ้แก่นาง นางอยากรนหาที่ตายพวกท่านก็ปล่อยให้นางทำไปเสีย จากนั้นก็คอยหนุนหลังนางไว้ เมื่อใส่ร้ายป้ายสีให้เกินจริงก็จบเรื่อง”
“ต้องพูดเกินจริงด้วยหรือขอรับ?” เหอซ่านหวั่นใจ
ในเพลานี้จูนหยูนเสวี่ยเป็นแบบนี้ ยังไม่พอ? เช่นนั้นก็ไปรนหาที่ตายให้สมใจซะ!
กุมดวงใจดวงเล็กๆไว้เงียบๆ เหอซ่านรู้สึกว่าโจ่ฉีมีแนวโน้มที่จะใจอ่อน เมื่อหันไปเทียบกับจูนจิ่วแล้วนั้น เหมือนว่าเขาจะอ่อนโยนเกินไป แม่นายต้องการที่จะทำให้จูนหยูนเสวี่ยขึ้นสวรรค์ไป แน่นอนว่าจักต้องมีสิ่งที่ต้องได้รับผิดชอบเป็นแน่
แต่เหอซ่านก็ต้องเห็นด้วยกับคำของจูนจิ่ว เหยื่อตัวใหญ่ ก็จะสามารถปิดบังมือที่ชั่วร้ายได้
เหอซ่านกล่าวว่า: “ตามที่แม่นายกล่าว ข้าจักบอกแก่โจ่ฉีตามความเป็นจริง คนในเจี้ยนจง ยังต้องให้เขาเป็นคนจับตามอง”
“เจ้าสำนักเจี้ยนจงรับจูนหยูนเสวี่ยเป็นสาวก เชื่อถือได้หรือไม่?” จูนจิ่วมองที่เหอซ่านพลางถามขึ้น การตัดสินใจนี้ไม่ได้เป็นความคิดของนาง เพราะเจ้าสำนักเจี้ยนจงหาใช่พวกเสี่ยงทำสิ่งใดยามค่ำคืนไม่
“แม่นายมิต้องเป็นกังวลขอรับ เจ้าสำนักเจี้ยนจงติดหนี้ข้าจักยินดีช่วยเป็นแน่ หาได้มีปัญหาใดไม่ นอกจากนี้ เพียงแค่ให้ชื่อเสียงแก่จูนหยูนเสวี่ย เมื่อเวลาตายของนางมาถึง ก็มิอาจส่งผลใดต่อเจี้ยนจง” เหอซ่านกล่าว
เพียงอุปมาแก่จูนหยูนเสวี่ยเพื่อให้นางได้รับความสนใจ เมื่อคู่ควรแก่การขึ้นเป็นศิษย์คนสุดท้ายแห่งเจี้ยนจง คิดว่าอนาคตของเจี้ยนจงจักขึ้นอยู่กับนางรึ? ฝันลมๆแล้งๆ มันเป็นไปไม่ได้
ด้วยการยืนยันของเหอซ่าน จูนจิ่วจึงพิจารณาแผนการอีกครั้งอย่างเสถียรภาพทุกย่างก้าว แม้ว่าจักมีปัญหาขึ้นมาบ้าง แต่นางก็มั่นใจว่าจะเข้าที่เข้าทางได้ตามเดิม เมื่อถึงเวลาของการแข่งขันทั้งห้าสำนัก นั่นก็จักเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม
จูนจิ่วมองต่ำลง พลางเคาะลงที่โต๊ะเป็นจังหวะเบาๆด้วยปลายนิ้ว เธอหัวเราะอย่างน่ากลัวและกล่าวว่า: “เพียงแค่รอเวลาแห่งการแข่งขันทั้งห้าสำนักเพียงเท่านั้น ปลาทั้งหลายก็มาติดเบ็ดแล้ว”
“ใช่แล้วขอรับ แม่นางวางใจก่อนที่จักไปสำนักเทียนอู่จงได้เลยขอรับ”
“อืม”
ก่อนจะไปสำนักเทียนอู่จง หยูนเฉียว กู่ซงและจูนเสี่ยวเหล่ย พวกเขาสืบสาวข้อมูลของสำนักเทียนอู่จงและเอามาบอกแก่จูนจิ่วทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อเห็นท่าทีกังวลใจไม่หยุดไม่หย่อนของพวกเขา จูนจิ่วก็งอปาก “ไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าสำนักแห่งสำนักเทียนอู่จงมิใช่ศิษย์พี่ของข้าหรือไร? พวกเจ้าจักต้องกังวลสิ่งใดเล่า”
“เพราะเป็นเจ้าสำนักชิงนั่นละจึงเป็นห่วง วันๆก็เอาแต่เมาเหล้า ต่อยตีอย่างกับคนบ้า ใครเห็นก็พากับหลบเลี่ยงกันหมด ไม่รู้เลยว่าสำนักเทียนอู่จงที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาจักเป็นเช่นไร!” กู่ซงเป็นกังวล
เขาจ้องมองไปที่จูนจิ่ว และกล่าวต่อ: “การแข่งขันทั้งห้าสำนักในครั้งนี้ก็อยู่ในการจัดการของสำนักเทียนอู่จง เหลือเวลาอีกกว่าครึ่งปี จูนจิ่ว ข้าจักพยายามมาให้เร็วที่สุด!”
หยูนเฉียว: “ใช่แล้วแม่นางจูน พวกเราจะรีบมาหาเจ้าให้เร็วที่สุด หากมีผู้ใดรังแกเจ้า เจ้าเพียงบอกพวกข้า พวกข้าจักแก้แค้นให้เจ้าเอง!”
“ใช่! พี่จิ่ว พวกเราจะปกป้องพี่เอง” จูนเสี่ยวเหล่ยกำกำปั้นอย่างแข็งแกร่ง
จูนจิ่วหัวเราะชอบใจ พลางมองไปยังทั้งสามคน “ได้เลย”
แต่ความเป็นห่วงของทั้งสามคน ก็ยังดำเนินต่อไปจนถึงวันที่แยกจากกัน สาวก 15 คนกำลังตรวจอยู่ที่ด่านศุลกากร แต่ละคนต่างขอให้ตนเองได้ไปจากอู๋จงในวันนี้ พวกหยูนเฉียวนั้นรู้สึกเศร้าโศกเสียใจกับการมาถึงของการแยกจาก ไม่ยอมห่างไปไหนเลยกว่าครึ่งวัน สุดท้ายคนของสำนักหุ้นหยวนจงและซางไห่จงก็มารับตัวพวกเขาไป
กู่ซงจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสถูฉี พลางเหลือบมองจูนจิ่ว: “จูนจิ่ว พวกข้าไปก่อนนะ อย่าลืมสูตรยาของข้าซะล่ะ!”
เดินไปได้สามก้าวก็หันหน้ากลับไปมอง ด้วยสายตาที่เป็นประกายของหยูนเฉียว “แม่นางจูน ไว้เจอกันวันแข่งขันทั้งห้าสำนักนะ!”
“พี่จิ่ว ข้าจะคิดถึงท่าน! วันแข่งขันทั้งห้าสำนักข้าจักมาหาท่าน ห้ามลืมข้านะ” แววตาของจูนเสี่ยวเหล่ยมีน้ำซึม จนเกือบจะร้องไห้ออกมา กูซูหยิงพาจูนเสี่ยวเหล่ยไป ขณะที่กำลังจะจากไปก็หันมองจูนจิ่วหลายต่อหลายครั้งอย่างภูมิใจ
“ดูเหมือนพวกเขาไม่อยากที่จะแยกจากเจ้า แล้วเจ้าล่ะ ศิษย์น้อง?” เมื่อได้ยินเสียง จูนจิ่วก็มองไปด้านข้างที่มีบางคนกำลังพิงหินอย่างเกียจคร้านดั่งคนไร้กระดูก ดูอ่อนเพลียด้วยอาการเมาค้าง แต่พอเอ่ยปากกลับเป็นน้ำเสียงที่อบอุ่นและจริงใจ
ชิงหยู่เป็นผู้ที่แตกต่าง และแปลกประหลาดอย่างมาก
จูนจิ่วหัวเราะเบาๆ “เมื่อถึงวันแห่งการแข่งขันทั้งห้าสำนักก็ได้เจอกัน ศิษย์พี่ แล้วพวกเราจะไปกันเมื่อใดรึ?”
ตานจงที่ใกล้ที่สุด จำต้องนั่งรถม้าไป สำนักหุ้นหยวนจงจำต้องหายตัวไป ช่างไห่จงจำต้องนั่งเรือไป เจี้ยนจงโจ่ฉีที่นั้นไม่อยากให้จูนหยูนเสวี่ยไปรนหาที่ตาย ซึ่งนั่นทำให้จูนจิ่วหงุดหงิดใจ สุดท้ายจูนหยูนเสวี่ยและหยางไห่ก็นำหน้าออกไปก่อนแล้ว ในเพลานี้จึงเหลือแต่เพียงสำนักเทียนอู่จง
จูนจิ่วกวาดสายตาไปรอบๆ ไม่เห็นรถม้า อีกทั้งยังไม่เห็นพาหนะอื่นๆด้วย หรือว่าพวกเขาจำต้องเดินเท้างั้นรึ? แต่ดูเหมือนว่าเทียนอู่จงนั้นตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแผ่นดินใหญ่ ก็ทำให้ระยะทางนั้นไกลออกไปอีก
“เจ้ากำลังคิดว่าเราจะนั่งสิ่งใดกลับอยู่รึ? ฮ่าๆๆ พวกเราจักนั่งนกกลับกัน!” ชิงหยู่หัวเราะอยู่หน้าจูนจิ่วอย่างมีเลศนัย
จูนจิ่ว: “……”
บอกว่าจะนั่งนก ก็เป็นการนั่งนกจริงๆ เพียงเห็นเหอซ่านเป่านกหวีดของเขา ก็มีเสียงกระพือปีกดังอยู่ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน ฮูฮู—— มีนกกระเรียนมงกุฎแดงกว่าห้าตัวบินต่ำลงมา ชิงหยู่พยักหน้าพลางลอยตัวขึ้นไปนั่ง หันหน้ามาทางจูนจิ่วพร้อมยื่นมือออกมา “ศิษย์น้องรีบขึ้นมาเร็ว~~”
เสี่ยวอู่ตกตะลึง: จะได้นั่งนกกันจริงๆ!