บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 234 บังอาจนัก ไอ้ขยะพวกนี้
หากเป็นผู้อื่น เฟิ่งเซียวหาได้ยอมแพ้ไม่! แต่เมื่อมองไปที่โม่อู๋เยว่ เฟิ่งเซียวก็แต่ลูบเคราของเขาพลางกล่าวเบาๆ: “ก็ได้!”
ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม โม่อู๋เยว่นั้นก็แข็งแกร่งกว่าพวกเขาทั้งหมด มีโม่อู๋เยว่คนเดียวที่ไม่จำเป็นจะต้องไปแข็งข้อด้วย อีกทั้งเฟิ่งเซียวก็เชื่อในตัวโมอู๋เยว่อย่างเหลือล้น! แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดโม่อู๋เยว่จะเอาตัวจูนจิ่วไปเป็นภรรยาของเขา ควรกังวลไหมนะ?
จูนจิ่วบอกแผนการกับพวกเขา ในเพลานี้ยังมิต้องทำสิ่งใด เพียงรอถึงการแข่งขันทั้งห้าสำนักเริ่มขึ้น นางจะใช้การแข่งขันทั้งห้าเป็นดั่งกระดานหมากรุก ให้ฝ่ายสีดำนั่นเล่นกันไปก่อน รอให้คนที่อยู่เบื้องหลังมันเผยตัวตนออกมา ชัยชนะ! สิ่งที่ตั้งใจไว้ก็จักมาถึง!
หลังจากประชุมเสร็จเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาแยกย้ายกันกลับไปยังสำนักของตน แต่ขณะที่หยูนเฉียวกำลังจะออกไป ก็ถูกหยุดโดยหยูนจ้งจิ่น
เมื่อเห็นว่าหยูนจ้งจิ่นปิดประตู หยูนเฉียวก็งุนงง “พี่ พี่ทำสิ่งใดกัน?”
“เฉียวเฉียว ข้าอยากถามเจ้าเสียหน่อย ในฐานะที่เจ้านั้นรู้จักแม่นางจูนจิ่วมานานกว่าข้า กับโม่อู๋เยว่นั้น เจ้ารู้จักเขามากเพียงใดรือ?” เมื่อหยูนเฉียวเห็นว่าหยูนจ้งจิ่งนถามเรื่องโม่อู๋เยว่ หยูนเฉียวก็ผงะไปชั่วครู่ ไม่ตอบสนองสิ่งใด เขานั้นทั้งมึนงงและประหลาดใจ
หยูนจ้งจิ่นได้บอกถึงสิ่งที่เขาได้เห็นแก่หยูนเฉียว แต่หยูนเฉียวนั้นไม่ได้ดูแปลกใจเสียเท่าไหร่ หยูนจ้งจิ่นก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจทันที
เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “แม่นางจูนจิ่วกับโม่อู๋เยว่ เป็นแค่ปรมาจารย์และลูกศิษย์กันจริงๆใช่หรือไม่?
“ก็ใช่ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นต่างออกไป แม่นางจูนก็โปรดปรานเขาเช่นกัน” น้ำเสียงของหยูนเฉียวนั้นไม่ต่างอะไรกับคนจะร้องไห้ เขายังคงจดจำภาพสลดนั้นได้ ภาพที่จูนจิ่วเข้าไปจูบโม่อู๋เยว่ ณ สำนักหวู่จง!
หากจูนจิ่วชอบชายอื่น เขายังสู้ได้ไม่หวั่น แต่ดันเป็นโม่อู๋เยว่! หยูนเฉียวก้มต่ำมองดูมือทั้งสองข้าง จะเป็นเช่นไรก็หาเทียบเคียงโม่อู๋เยว่ได้ไม่ แม้ว่าจักไล่ตามจูนจิ่วเช่นไร ก็คงทำได้เพียงร้องไห้อยู่ในใจและยิ้มไว้ เสมือนเพื่อนคนหนึ่ง
ในขณะที่เขาได้ยินหยูนจ้งจิ่นถามเขา หยูนเฉียวก็ตระหนักบางอย่างได้ สภาพแววตาของหยูนจ้งจิ่นที่กำลังตกใจดั่งหลุดไปในภวังค์นั้น
ความคิดวูบวาบในใจของเขาก็ได้รับการยืนยัน พี่ชายของเขาก็ชอบจูนจิ่วเช่นกัน!
หยูนเฉียวกำลังจะเอ่ยปาก “พี่ พี่ก็……”
“เอาล่ะ เรื่องระหว่างแม่นางจูนจิ่วกับโม่อู๋เยว่ หาใช่เรื่องที่เราควรสอดรู้ไม่ หยูนเฉียว เจ้ากลับไปที่สำนักหุ้นหยวนก่อนเถิด วันแห่งการแข่งขันทั้งห้าสำนัก ข้าเองก็จะไปดู เจ้าก็ตั้งใจทำให้เต็มที่!” หยูนจ้งจิ่นข่มอารมณ์ พลางยิ้มและตบไหล่หยูนเฉียว “เจ้าเป็นเกียรติแห่งตระกูลหยูนของเรา!”
เมื่อเข้าสำนักเทียนโจ้งได้ ก็มาอู๋จงได้ ลูกชายผู้อ่อนแอแห่งตระกูลขุนนาง ชะตากรรมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเพราะตัวยาของจูนจิ่ว หยูนจ้งจิ่นอิจฉาหยูนเฉียวอยู่ตลอดที่ได้อยู่ข้างกายจูนจิ่วเสมอมา ส่วนตัวเขานั้นยังห่างไกลจากนางอีกมาก ความชื่นชอบในใจกลับกลายเป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
เขาอยากจะพรั่งพรูออกไป แต่ก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้ หยูนเฉียวที่เงียบอยู่นานก็กล่าวขึ้นว่า “พี่ พี่ทำใจเถิด”
“……ไปซะ!” หยูนจ้งจิ่นหน้ามืดตามัว จนเกือบจะเตะหยูนเฉียวให้พ้นๆไปซะ ไอ้น้องคนนี้ เหตุใดจึงโง่เขลาเบาปัญญาได้ถึงเพียงนี้
จูนจิ่วไม่รู้เรื่องใดๆที่หยูนเฉียวและหยูนจ้งจิ่นได้พูดคุยกัน ส่วนโม่อู๋เยว่นั้นได้ยินพวกเขาอย่างชัดเจน จากนั้นเขาก็ดึงจิตกลับไป มุมปากยกสูงขึ้นเผยรอยยิ้มอันร้ายกาจ หากพวกเขารู้จุดยืนของตน หาได้จำเป็นต้องจัดการพวกเขาไม่
ในไม่ช้า อารมณ์ของโม่อู๋เยว่ก็ดีขึ้น เขาเงยหน้าพลางกวาดดวงตาที่ล้ำลึกนั้นไปรอบๆ พลางกล่าวว่า: “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ มีหนูตัวน้อยจำนวนหนึ่งตามมา”
“ข้ารู้” จูนจิ่วเหลือบตามองอย่างเยือกเย็น
หลังจากพวกเขาออกมาได้ไม่ไกลจากโรงประมูลนัก ทางด้านหลังก็มีคนกลุ่มหนึ่งพรางตัวเดินตามมา จูนจิ่วไม่ได้ให้ความสนใจแก่พวกเขาแม้แต่น้อย นางเพียงลูบขนเสี่ยวอู่และทอดสายตามองไปข้างหน้า: “มีตรอกเล็กๆด้านหน้า ข้าไปที่นั่นก็แล้วกัน”
“ได้” โม่อู๋เยว่ยกมุมปากขึ้น
คนที่ตามมานั้นเป็นคนของเจี้ยนจง เมื่อพวกมันเห็นจูนจิ่วกำลังเดินเข้าไปในตรอก จึงตามไปอย่างไม่ยั้งคิด ในสายตาของพวกเขานั้น ฝ่ายจูนจิ่วมีเพียงคนสองคนกับแมวหนึ่งตัว ส่วนพวกมันมีกันตั้งเจ็ดถึงแปดคน จะเอาชนะไม่ได้เชียวรึ?
คนที่เป็นกังวลก็กล่าวว่า: “ศิษย์พี่ เราเตรียมตัวกันเสียหน่อยดีหรือไม่ขอรับ?”
“จักกลัวสิ่งใด! พวกมันมีกันแค่สองคน เรานั้นเป็นถึงสาวกแห่งเจี้ยนจง สาวกเจี้ยนจงสามคนต่อหนึ่งคน มันเป็นเรื่องยากที่จักสั่งสอนนังจูนจิ่วให้รู้สำนึกหรือไร? อีกทั้งเรายังมีคาถาแห่งคลื่นดาบ ยังไงนางก็ไม่รอด!” สาวกผู้ที่เอ่ยปาก กล่าวด้วยความถือยศถือศักดิ์
อีกหนึ่งคนเยินยอ โดยกล่าวว่า: “ถูกต้อง! เจี้ยนจงของเรานั้นแกร่งกล้าที่สุดในบรรดาทั้งห้าสำนัก อีกประเดี๋ยวจูนจิ่วจะได้รับบทเรียน เพื่อล้างแค้นแก่ศิษย์น้องหยูนเสวี่ย!”
ขณะที่คุยกันก็พลางเลี้ยวเข้าไปในตรอก
ทันที่ที่เงยหน้า ก็ได้เห็นจูนจิ่วอุ้มเสี่ยวอู่พลางมองพวกเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามอย่างเยือกเย็น โม่อู๋เยว่พิงกำแพงอย่างสบายๆ ซึ่งดูเต็มไปด้วยความร้ายกาจดั่งภาพวาดอันโดดเด่นแฝงความชั่วร้าย เขานั้นไม่จำเป็นต้องแสดงฝีมือใดๆ เพียงแค่ยืมมองเฉยๆก็เป็นพอ
เมื่อสาวกแห่งเจี้ยนจงเห็นดังนี้ หัวใจของพวกเขาก็สั่นระรัว คนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น: “นี่กำลังรอพวกเราอยู่เช่นนั้นรึ?”
จะไม่ใช่ได้อย่างไร! ท่าทีของจูนจิ่วนั้นแสดงออกถึงการรอคอยพวกมันอย่างชัดเจน การแอบติดตามของพวกมันถูกล่วงรู้รึนี่? หาเป็นไปได้ไม่! ความยโสโอหังในตนเองทำให้พวกมันเชื่อไม่ลง ต่างคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่จูนจิ่วล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิด พวกมันจึงพุ่งเข้าใส่จูนจิ่วในทันที สายตาจับจ้องไปยังจูนจิ่วและล้อมรอบพวกเขาไว้
จูนจิ่วมองไปที่พวกมันอย่างเหยียดหยาม พลางยิ้มเยาะ “เสี่ยวอู่ ลุย!”
“เหมียว!” เสี่ยวอู่ได้รับคำสั่ง ก็พุ่งตัวออกมาดั่งสายฟ้าฟาด ทิ้งภาพเงาหมุนติ้วของแมวไว้ อุ้งมือนุ่มเผยกรงเล็บอันแหลมคม มุ่งไปทางสาวกแห่งเจี้ยนจงอย่างรวดเร็ว
ทางด้านหลังของมันนั้น ก็เป็นจูนจิ่วที่ก้าวมาข้างหน้า ยกขาเตะสาวกแห่งเจี้ยนจง พลางกระชากมืออีกคนหนึ่งลอยออกไป ดาบพุ่งเข้ามาที่ใบหน้า จูนจิ่วยื่นปลายนิ้วไปแตะด้วยความแม่นยำอย่างรวดเร็ว เมื่อกระดิกนิ้ว ดาบนั้นก็หักออกเป็นสองท่อน สาวกทั้งหลายต่างตกตะลึง เสมือนได้พบได้เจอกับนรกเสียแล้ว
และก็ยังดำเนินต่อไป
ไม่ถึงสามอึดใจ การต่อสู้ก็ได้สิ้นสุดลง ในตรอกเล็กๆนั้นเต็มไปด้วยสาวกแห่งเจี้ยนจงที่นอนกองกันอยู่บนพื้น พวกมันไม่ถึงกับแขนขาหัก เพียงแต่กุมท้องน้ำตาเล็ด หรือไม่ก็มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนของแมว เสี่ยวอู่เผยกรงเล็บทั้งห้าอีกครั้ง และข่วนเข้าที่หน้า!
แขนเสื้อของจูนจิ่วพริ้วไสวไปกับสายลม ด้วยท่าทีผ่อนคลายและผ้าผ่อนที่ไร้ซึ่งความยุ่งเหยิง
นางก้มลงต่ำ มองด้วยหางตาไปยังสาวกแห่งเจี้ยนจงอย่างดูแคลน พลางเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอันน่าขนลุกว่า “ไสหัวไปซะ! กลับไปบอกจูนหยูนเสวี่ย ว่าคราวหน้าให้นางมาลงมือเองเสียดีกว่า ข้าไม่ได้ตบหน้านางมาตั้งนมนาน ไม่รู้แล้วว่าหนังหน้านางนั้นจะหนาขึ้น รึจะบางลงไปมากน้อยเพียงใด”
“เจ้า! พวกข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่! อ๊าก!” เงามืดพุ่งเข้ามา สาวกผู้นั้นก็ปิดหน้าปิดตาพลางโอดครวญ
เสี่ยวอู่กระโดดออกจากสาวกผู้นั้น พร้อมเดินไปหาจูนจิ่วอย่างสง่างามพลางเลียอุ้งมือไปด้วย แสงวาบจากแววตาแมวสาดไปที่เหล่าสาวกแห่งเจี้ยนจง เสี่ยวอู่มองอย่างดูถูกดูแคลน ไอ้ขยะพวกนี้ บังอาจนักมาต่อปากต่อคำกับเจ้านาย!
“เสี่ยวอู่” จูนจิ่วผายมือเรียกเสี่ยวอู่ เสี่ยวอู่เองก็รีบเข้าไปหาด้วยความสุขสม
ขณะที่โม่อู๋เยว่ก้าวขาข้ามร่างสาวกเหล่านั้น นัยน์ตาสีทองของเขาก็เปล่งประกาย แกร๊ก – แกร๊ก – แกร๊ก เหล่าสาวกเจี้ยนจงต่างทุรนทุราย เลือดที่โชกอยู่ใต้เสื้อผ้าก็รินไหลออกมาเป็นทาง กระดูกซี่โครงหักลงในพริบตาเดียว! เสียงโหยหวนดังขึ้นและดังขึ้นอย่างทุกข์ทรมาน จนมิอาจมีผู้ใดกล้าย่างกายเข้ามาใกล้ตรอกแห่งนี้
เสียงแห่งโศกนาฏกรรม! ทรมานเจียนตาย