บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 235 เหตุแห่งหายนะ
บทที่ 235 เหตุแห่งหายนะ
เจี้ยนจง ตันจง และสำนักหุ้นหยวน รวมไปถึงชางไห่จงต่างทยอยมาถึงสำนักเทียนอู่จง พวกเขาพำนักบนยอดเขาโจ้งว่าง นับจากนี้ก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนสำหรับการแข่งขันทั้งห้าสำนัก สาวกทั้งห้าสำนักได้ตั้งใจฝึกซ้อมกันมาอย่างขะมักเขม้น จนมิเห็นผู้ใดออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก
เวลานั้นน้อยลงเรื่อยๆ สาวกทุกคนจึงต้องแข่งขันกับเวลาไม่มีใครอยากเสียโอกาสไป หลังจากที่ชิงหยู่และผู้อาวุโสท่านอื่นๆร่วมกันเลือกฤกษ์งามยามดีเป็นที่เรียบร้อย ก็จะชุมนุมกันเรื่องการแข่งขันทั้งห้าสำนัก!
แสงอรุณส่องสว่างในเช้าวันถัดมา เสียงกึกก้องที่วุ่นวายดังไปถึงจูนจิ่วที่อยู่ไกลโพ้น จูนจิ่วนั่งอยู่บนฟูกนอนริมหน้าต่าง พลางถือปลาแห้งหยอกเล่นกับเสี่ยวอู่อย่างผ่อนคลายสบายใจ
ก๊อกก๊อก!
จูนจิ่วเม้มริมฝีปาก “เข้ามา”
เหอซ่านและโจ่ฉีเดินเรียงกันเข้ามาในห้อง โจ่ฉีปิดประตูที่อยู่ด้านหลังอย่างระมัดระวัง ทั้งสองคำนับแก่จูนจิ่ว “แม่นาย”
“ว่ามา การเตรียมการเป็นเช่นไรบ้างแล้ว?” จูนจิ่วนั่งอยู่บนฟูกนอนอย่างเกียจคร้าน นางให้ปลาแห้งแก่เสี่ยวอู่พร้อมเงยหน้ามองทั้งคู่
เหอซ่านเอ่ย: “สำนักเทียนอู่จงส่งคนตระเวนบริเวณโดยรอบในตอนกลางคืน เหลือแต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังปรากฏตัวออกมาเพียงเท่านั้น แผนดำเนินไปตามคำสั่งของแม่นาย และจักสืบสาวเบาะแสต่อไป”
“ท่ามกลางฝูงชนก็ยังมีคนของข้าแฝงตัวอยู่ แม่นายจงวางใจ เพียงผู้อยู่เบื้องหลังกล้าโผล่หัวออกมาเท่านั้น พวกเราก็จักจับมันได้อยู่หมัด! ส่วนในด้านของจูนหยูนเสวี่ย ข้าให้คนจับตาดูนางเอาไว้แล้ว เช่นไรนางก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาไปได้” โจ่ฉีกล่าวขึ้น
จูนจิ่วพยักหน้า เสี่ยวอู่คลานเข้าไปในอ้อมแขนของนาง นางเกาคางของเสี่ยวอู่อย่างแผ่วเบา เมื่อได้ยินเสียงครางเบาๆ จูนจิ่วก็ค่อยๆหรี่ตาลง
แผนการได้เริ่มขึ้นแล้ว แค่รอผู้อยู่เบื้องหลังปรากฎตัวเพียงเท่านั้น เหยื่อล่อที่นางหย่อนเอาไว้ก็น่าดึงดูดมากพอแล้ว ไม่มีทางที่จะไม่ติดกับเป็นแน่แท้! อย่างไรก็ตามจูนจิ่วเองก็ต้องเตรียมสองมือให้พร้อม เพราะนางเองก็มิอาจรู้ได้ว่าการแข่งขันทั้งห้าสำนักจักดำเนินไปเช่นไร
เพราะดูทรงความเป็นชิงหยู่แล้ว คงมิใช่สังเวียนตัวต่อตัวเป็นแน่!
การเตรียมการต่างๆของการแข่งขันทั้งห้าสำนักนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของชิงหยู่และผู้อาวุโสโจวเตี๋ยทั้งหมด ทำให้ไม่มีข้อมูลใดๆถูกล่วงรู้ รวมถึงนางและเหอซ่านด้วย ได้แต่รอการเรียกชุมนุมเกี่ยวกับการแข่งขันทั้งห้าสำนักในวันนี้ ที่ชิงหยู่จักประกาศกฎเกณฑ์ของการแข่งขันสู่สาธารณชน
ขณะนี้ จูนจิ่วกล่าวต่อว่า: “ตระเตรียมแผนสองให้พร้อมอยู่เสมอ จักได้รับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที เมื่อผู้อยู่เบื้องหลังปรากฏตัว พวกเราก็จะจัดการมันได้! แม้มันไม่โผล่ออกมา การแข่งขันทั้งห้าก็ยังคงดำเนินต่อไป”
“ขอรับ!” ทั้งสองพยักหน้ารับ
เหอซ่านกับโจ่ฉี คนหนึ่งนั้นเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักเทียนอู่จง อีกคนก็เป็นถึงรองเจ้าสำนักแห่งเจี้ยนจง ยังมีอีกหลายเรื่องมากนักที่พวกเขาจำต้องจัดการ เมื่อพูดคุยจบก็ต้องรีบแยกย้ายกันออกไป
จูนจิ่วเองก็จะมุ่งหน้าไปยังลานฝึกวิทยายุทธเฉียนคุนของสำนักเทียนอู่จง ซึ่งเป็นลานฝึกวิทยายุทธที่ใหญ่ที่สุดของสำนักเทียนอู่จง มีแค่งานยักษ์ใหญ่จริงๆเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ ในนั้นสามารถจุคนได้หลายหมื่นคน เพียงพอต่อการให้ผู้คนด้านนอกเข้ามาเชยชมการแข่งขัน
เมื่อเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายของสำนักเทียนอู่จง จูนจิ่วก็ยืนมองตนเองหน้ากระจก เครื่องแต่งกายของเทียนอู่จงมีความละเมียดละไม จัดใส่ได้ง่าย นั่นก็คงจะเพราะว่ามีเงินมากกระมัง วัสดุที่ใช้ถักทอผ้าไหมนั้นละเอียดอ่อนดั่งวัสดุภายในวัง ชายคอของผ้าที่บรรจบที่หน้าอก มีเครื่องหมายสำนักเทียนอู่จงปักไว้
จูนจิ่วเป็นถึงอาเจ็กเสี่ยวช่วย เครื่องแต่งกายจึงแตกต่างกับสาวกคนอื่นๆ เพียงแค่ได้เห็นว่าเป็นเครื่องแต่งกายทรงสำหรับผู้หญิง ที่ถูกถักทอด้วยความประณีตบรรจงอย่างชนชั้นสูง เนื้อผ้าเองก็ยังมีความหนาขึ้นมาเล็กน้อยออกเป็นสีหยกอมฟ้าอ่อนๆ หลังจากที่เกล้าผมมวยขึ้นสูงครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งปล่อยพริ้วสยาย บนผมนั้นก็ยังมีปิ่นปลายขนนกฟีนิกซ์ห้อยไข่มุกปักไว้อีกด้วย
การแต่งกายเช่นนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ที่เย็นชาของนางลดน้อยลงไปบ้าง เสริมความสง่างามที่ดูสูงส่งอย่างทวีคูณ จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น เผยความเย็นชาภายใต้แววตาที่ไร้ความปรานีนั้น ท่าทีในกระจกดูร้ายกาจขึ้นมาในทันใด ความชั่วร้ายแสนงดงามนี้ ช่างเป็นพรสวรรค์ที่เปล่งประกายเสียจริง!
เสี่ยวอู่เชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ “งดงามยิ่งนัก! เจ้านายนั้นงดงามที่สุดในปฐพีแล้วขอรับ!”
จูนจิ่วเลิกคิ้ว “พูดอีกก็ถูกอีก”
นี่คือสิ่งที่ชิงหยู่จัดเตรียมไว้ทั้งเดือน คัดสรรออกมาอย่างบรรจง จูนจิ่วชื่นชมและซาบซึ้งในความตั้งใจจนปฏิเสธชิงหยู่ไม่ลงเลยทีเดียว ส่วนในใจชิงหยู่นั้นคิดเช่นไร เมื่อไปถึงลานฝึกวิทยายุทธเฉียนคุนก็จะได้รู้เอง
“ไปกันเถอะเสี่ยวอู่” จูนจิ่วออกไป พลางเงยหน้ามองไปที่ลานกว้าง
ขณะนี้เป็นช่วงเวลาในฤดูที่ดอกซากุระบานสะพรั่ง ดอกซากุระที่กำลังเบ่งบานโดนลมพัดหล่นโปรยปราย เฉกเช่นภาพวาดที่แสนงดงาม
จูนจิ่งอดไม่ได้ที่จะพึมพำ “เหตุแห่งหายนะ!”
“เหตุนั้นหมายถึงข้า รึหมายถึงตัวเจ้าเองล่ะจูนจิ่วเอ๋อร์?” น้ำเสียงหยอกล้อด้วยความเจ้าเล่ห์ของโม่อู๋เยว่ เขาเผยรอยยิ้มที่ร้ายกาจพลางเดินมาหยุดอยู่หน้าจูนจิ่ว ยื่นมือสอดไปในผมมวยของจูนจิ่วเบาๆ
จูนจิ่วดึงมือออกทันทีตามสัญชาตญาณ ไม่ใช่ว่ารู้สึกอะไรแบบนั้น แต่เป็นเพราะนิ้วมือของโม่อู๋เยว่ เหมือนมีไฟฟ้าสถิตย์อยู่ชั่วขณะ จูนจิ่วจึงรีบปล่อยมือทันที
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์” โม่อู๋เยว่คว้ามือของจูนจิ่วมากุมไว้ ดวงตาสีเข้มที่มืดมนจ้องมองปิ่นปักผมของจูนจิ่วอย่างสนอกสนใจ ดูเหมือนทำจากหยกแต่ก็ไม่ใช่ มันเป็นสีหยกอมฟ้าประกายระยิบระยับเมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์
แววตาโม่อู๋เยว่เป็นประกาย ทันใดนั้นก็มีแสงสีทองเปล่งขึ้นมาบนปิ่นปักผมนั้น เป็นรูปร่างบางอย่างเหมือนการเชื่อมต่อกันปรากฏขึ้น เมื่อยกมือขึ้นอีกครั้ง ปิ่นปักผมก็คืนสภาพเดิม
ขณะที่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ โม่อู๋เยว่ก็ปล่อยมือของจูนจิ่ว กล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายว่า: “มันช่างเหมาะสมกับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เหลือเกิน”
“ปิ่นปักผมหน่ะรึ?” จูนจิ่วถอยหลัง พลางแตะปิ่นบนมวยผมนั้น ความรู้สึกเย็นๆไหลผ่านนิ้วมือเข้าไปในจิตในใจ ความใจถึงใจของคนสองคน รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
แน่นอนว่าสิ่งที่โม่อู๋เยว่ส่งให้นั้นไม่ธรรมดา หาได้จำเป็นต้องเดาไม่ว่าทำไมจึงให้แก่นาง นางสวมใส่เสื้อผ้าที่ชิงหยู่เป็นผู้จัดเตรียม แม้ว่าโม่อู๋เยว่จะไม่กล่าวสิ่งใด แต่เขาเองมีอารมณ์หึงหวงและปรารถนาที่จะแสดงความเป็นเจ้าของอยู่เหมือนกัน จึงได้เสริมบางสิ่งบางอย่างที่เป็นส่วนหนึ่งของเขาเข้าไป!
ริมฝีปากของจูนจิ่วโค้งงอ โม่อู๋เยว่เมาแล้วกระมัง
รอยยิ้มหายวับไป จูนจิ่วเอ่ยขึ้นว่า: “ไปกันเถอะ! ถ้ายังไม่ไปก็จะสายกันพอดี”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไม่มีทางไปสายหรอก” ดูเหมือนจะมีนัยยะในคำของโม่อู๋เยว่ จูนจิ่วไม่ทันได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ โม่อู๋เยว่ก็โผกอดนาง และพากันหายตัว ณ ตรงนั้น
……
ณ ลานฝึกวิทยายุทธเฉียนคุน
ได้เวลาเผยพรสวรรค์อันอัจฉริยะ ที่นั่งดูการแข่งขันในลานฝึกวิทยายุทธแน่นขนัดไปด้วยฝูงชน พวกเขาพูดคุยกันอย่างเมามัน ทำให้ลานฝึกวิทยายุทธครึกครื้นเป็นอย่างมาก
สำนักเทียนอู่จงที่เป็นเจ้าภาพได้มากำกับการอยู่ที่นี่ตั้งแต่หัววัน รอคอยการมาของทั้งสี่สำนัก ทุกๆวินาทีที่ผ่านไป ก็ได้เห็นผู้คนของทั้งสี่สำนักทยอยกันมาอย่างล้นหลาม แต่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของจูนจิ่ว ชิงหยู่จึงหันไปถามโจวเตี๋ยที่อยู่ข้างๆ “ผู้อาวุโสโจว เหตุใดศิษย์น้องจึงยังไม่มาอีก?”
“นางรู้เวลา ไม่มาสายหรอก อย่างไรก็ตามนะเจ้าสำนัก ท่านไม่รู้สึกรึว่าคนของเจี้ยนจงและตันจงมีสีหน้าแปลกๆ?” ผู้อาวุโสโจวมองไปทางพวกเจี้ยนจงและตันจงอย่างสงสัย
ตั้งแต่ผู้อาวุโสยันสาวกของพวกเขา ทุกๆคนต่างหน้าบูดหน้าบึ้ง ราวกับว่ามีผู้ใดติดหนี้พวกเขาอยู่ ชิงหยู่เหลือบตามอง พลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์: “เพราะว่าพวกเขาถูกศิษย์สำนักเทียนอู่จงของเราจัดการเข้าให้น่ะสิ สีหน้าท่าทางก็ต้องไม่ดีอยู่แล้ว”
“เจ้าว่าสิ่งใด? ศิษย์ของสำนักเทียนอู่จงไปทุบตีเขาอย่างนั้นรึ!” โจวเตี๋ยตกใจ
“ใช่ เพราะข้าสั่งเอง”