บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 254 ใครใช้ให้เจ้าเป็นเศษสวะ
บทที่ 254 ใครใช้ให้เจ้าเป็นเศษสวะ
ดาบเล่มหนึ่งปักหัวใจ ดวงหน้าผางชิงเยว่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ แต่มันส่งผลถึงบาดแผลที่อยู่แก้มขวา พลันเจ็บจนบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิมหายใจติดขัด กู่ซงอึ้งงันไปหลายวินาทีกว่าจะคืนสติกลับมา หัวเราะพรืดออกมาอย่างอดไม่ได้ ฮ่าๆๆ จูนจิ่วปากจัดจริงเชียว แต่ว่าพูดได้ดี!
ผางชิงเยว่โกรธจนสั่นกึกๆ “เจ้านังแพศยาคนนี้! เจ้าจำไว้ให้ดี ข้าจักต้องจับตัวเจ้าให้ได้ ถึงตอนนั้นดูสิว่าเจ้ายังอวดดีได้แค่ไหน!”
จูนจิ่วโค้งริมฝีปากอย่างเย็นชา “จับคว้า? เป็นไปไม่ได้ ชาตินี้หรือชาติหน้าก็เป็นไปม่ได้ เพราะว่าใครใช้ให้เจ้าเป็นเศษสวะกันเล่า?”
“พรืด…ฮ่าๆๆ” กู่ซงหัวเราะลั่น
ผางชิงเยว่โกรธจนร่างสั่นไม่หยุด แทบกระอักเลือด แต่เขาไม่ได้ปริปากต่อ เพียงแต่จ้องจูนจิ่วปานจะกินเลือดกินเนื้อ
จูนจิ่วเอ่ย “เลิกขัดขืนเถอะ ลำพังเจ้าคงสลายมันไม่ได้” คำพูดของจูนจิ่วชี้ให้เห็นว่าผางชิงเยว่กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อใช้พลังทิพย์สลายคุณสมบัติทางยาของหมอกพิษ แต่นางก็กล่าวเสริมอีกว่า “แต่ข้าก็ไม่อาจพูดได้เมปาก อย่างไรเสียคนโง่ก็มีพรของคนโง่ เบาปัญญาแต่ก็โชคดีได้เหมือนกัน”
แต่ละประโยคเหมือนดาบจ้วงแทงบนตัวของผางชิงเยว่ไม่มีผิด ดูเขาโกรธจนแทบกระอักเลือดสิ จูนจิ่วหัวเราะเย็นชาหนึ่งที นางยกมือขึ้นปลายนิ้วเงื้อยิงยาออกมาหลายเม็ด มันระเบิดเสียงดังปึงตามห้วงอากาศกลายเป็นหมอกพิษ โปรยตกลงบนร่างของผางชิงเยว่และทหารหน่วยกล้าตายชั้นแล้วชั้นเล่า
อัก! ทหารหน่วยกล้าตายหลายคนกระอักเลือดออกมาอย่างทนฝืนไม่ไหว กลอกตาหนึ่งหนก่อนสลบไป
ผางชิงเยว่ก็ไม่สามารถฝืนพิษเสริมดั่งรูปแบบการปักกล้าของจูนจิ่วได้ ร่างกายโงนเงนเหมือนจะทรุดฮวบ เขาแค้นจนกัดฟันกรอด “นังแพศยา! ทางที่ดีเจ้าสวดภาวนาว่าอย่าถูกข้าจับได้ไปตลอดชีวิตจะดีกว่า!”
“เฮ้อ เจ้าหูหนวกหรือไร? จูนจิ่วบอกแล้ว ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้าเจ้าก็ไม่สามารถจับตัวนางได้ ยังฝันอยู่อีกหรือ? คงไม่ได้เป็นโรคสมองเสื่อมก่อนชราภาพหรอกกระมัง?” กู่ซงปริปากเอ่ย
“พรวด!” ผางชิงเยว่ถูกเยาะเย้ยเสียดสีอีกครั้ง กลั้นไม่ไหวจนกระอักเลือดออกมาแล้วเป็นลมล้มทั้งยืน แม้จะเป็นเช่นนี้ จูนจิ่วก็ยังรอบคอบไม่เข้าใกล้ นางยิงเข็มเงินหลายเล่มจมเข้าไปในจุดฝังเข็มบริเวณแขนขาของผางชิงเยว่ กู่ซงถามนางว่าทำอะไรอยู่
จูนจิ่วเอ่ยปาก “ผนึกเส้นเลือดไว้ ต่อให้เขาสลายคุณสมบัติยาได้ การจะคลายเส้นเลือดก็ยังต้องใช้เวลานานมาก ภายในระยะนี้เขาก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป หมดหนทางไล่ตามพวกเราทันได้อีกแล้ว แค่กๆ!”
จูนจิ่วสีหน้าขาวซีด มือหนึ่งทาบบนทรวงอกพลางไปเป็นเลือดออกมา กู่ซงกระวนกระวายยกใหญ่ “จูนจิ่ว!”
“เจ้าไม่ได้ดีกว่าข้าสักเท่าไรหรอก กินยาฟื้นฟูพลังจิตเองเสีย แล้วก็เจ้านี่ด้วย” จินจิ่วหยิบยาลูกกลอนออกมาสองเม็ด ตนกลืนลงไปเองหนึ่งเม็ด อีกหนึ่งเม็ดให้กู่ซง
สายตาเย็นชาโปรยไปที่ร่างของผางชิงเยว่และคนอื่นๆ มือที่กำโยวยิ่งของจูนจิ่วสั่นระริก เวลานี้นางควรตรงดิ่งก้าวไปฆ่าพวกเขาที่ข้างหน้าเสีย ตัดไฟแต่ต้นลม! ทว่าจูนจิ่วไม่ได้มีความมั่นใจเต็มร้อย ความแข็งแกร่งของผางชิงเยว่แกร่งกล้าเกินไป เมื่อครั้นเขาแสร้งทำขึ้นมา นางก้าวไปข้างหน้ารังแต่จะทิ้งชีวิตน้อยๆ นี้ไปเสียเปล่า
หากไม่ใช่เพราะนางมีกลไกคันธนูก่อน แล้วค่อนซุ่มโจมตีในความมืด การวางพิษจะกระชับทีละขั้นไม่หลงเหลือช่องว่าง ประมือกันซึ่งๆ ผู้ที่ตายคงมีแต่นางกับกู่ซงเท่านั้น!
นี่ก็คือความแตกต่างของความแข็งแกร่ง มันสมองและการสกัดกั้นใช้ได้แค่ครั้งแรกเท่านั้น คืบหน้าล่าถอยมีลำดับขั้น ออกไปจากเขตลับเทียนอู่กลับสู่สำนักเทียนอู่จงจึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การฆ่าผางชิงเยว่ ยังมีโอกาสในภายภาคหน้า จูนจิ่วหมุนกาย “พวกเราไปเถอะ!”
“เหมียว!” ร่างเสี่ยวอู่ขายใหญ่ขึ้น ยอบกายลงหมายจะให้จูนจิ่วฟุบตัวลงพักผ่อนบนหลังของมัน อย่างไรเสียกู่ซงก็เคยเห็นเขาขายร่างแล้ว ไม่เป็นไรหรอก
กู่ซงมองไปที่แผ่นหลังอันนุ่มนิ่มของเสี่ยวอู่ งัดกลยุทธ์เล็กน้อย เขาแย้มยิ้มพลางถลาเข้าหาเสี่ยวอู่ “เสี่ยวอู่~ ข้าขึ้นไปได้หรือไม่”
เสี่ยวอู่ไม่ได้สะบัดกู่ซงเลยด้วยซ้ำ หลังจากจูนจิ่วขึ้นมาก็จากไปทันที แต่ว่าหางยาวๆ ของมันตบเข้าดวงหน้าของกู่ซงที่อยู่ข้างหลังเบาๆ การปฏิเสธนี้ช่างเถรตรงโดยสิ้นเชิงนัก! กู่ซงไหวไหล่ ก้าวขาตามออกไปด้วยตัวเอง
พวกนางยับยั้งพวกเทียนฉิวได้อย่างสิ้นเชิง จูนจิ่วฟุบบนตัวเสี่ยวอู่ตลอดทาง ขนอันดกนุ่มของมันกลบนางให้จมลงอยู่ในนั้น นางไม่ต้องทำสมาธิก็สามารถฟื้นฟูลมปราณได้ไปในตัว ช้อนสายตาขึ้นมากู่ซง เห็นว่าเขาเงยหน้าขึ้นเหมือนอยากพูดอะไรสุดท้ายก็หยุดไป
จูนจิ่วหลับตาลง เอ่ยปากว่า “พูดมาเถิด”
“จูนจิ่ว คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าสำนักชิงถึงกับเป็นพรรคพวกเดียวกับพวกมัน! เทียนฉิวนี้เป็นภาคีอะไรกันแน่ พวกเรายังกลับสำนักเทียนอู่จงได้อยู่หรือไม่! คนพวกนี้โถมเข้ามาเขตลับเทียนอู่ได้แบบอล่างฉ่าง ด้านนอกยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง พวกเราควรทำอย่างไรดี?”
ในที่สุดกู่ซงก็พูดเสียที และพ่นถ้อยคพยืดยาวออกมาทันใด
จูนจิ่วลืมตาขึ้น มองเขาอย่างเงียบๆ “คำถามแรก ศิษย์พี่ของข้าไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเขา”
“จูนจิ่วแต่คนๆ นั้นพูดเองกับปาก! เจ้าอย่าได้ถูกชิงหยู่หลอกเอาเชียว” กู่ซงกล่าวด้วยความตกใจ
จูนจิ่วกล่าวว่า “ถ้าหากศิษย์พี่ของข้าเป็นพวกเดียวกับพวกเขา ก็ไม่ต้องเข้าเขตลับเทียนอู่กับพวกเรา อยู่สำนักเทียนอู่จงก็ข้าพวกเราได้แล้ว ไยต้องรอจนป่านนี้? อีกอย่างพวกเราตกเข้ามาในหลุมใหญ่ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย นั่นคือกลไก เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่มีเหตุผลแบบจำใจต้องปล่อยพวกเขาเข้ามา จากนั้นค่อยสร้างหนทางรอดให้พวกเราอีกที”
“เป็นเช่นนี้หรือ?” กู่ซงยังคงไม่เชื่อ
“รอกลับไปเห็นเองกับตาที่สำนักเทียนอู่จง เจ้าก็จะรู้เอง คำถามข้อที่สอง เทียนฉิวเป็นภาคีลึกลับที่จัดตั้งเหนือสำนักศึกษาทั้งสาม โดยมีศิษย์และผู้อาวุโสของสำนักศึกษาทั้งสามเข้าร่วม”
กู่ซงสูดหายใจเย็นเยียบ ตกใจจนอึ้งงัน “เฮ้! สำนักศึกษาทั้งสาม? สำนักศึกษาทั้งสามที่ตั้งอยู่บนศูนย์กลางชั้นต่ำสามชั้น คอยบงการเหนือสำนักทั้งหาหรือ?”
“ใช่ พวกเขาเข้ามาจับตัวจูนหยูนเสวี่ยไป ตอนนี้พวกเราคงต้องออกจากเขตลับเทียนอู่เท่านั้นจึงสามารถรู้ได้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง หวังว่าคงไม่อับโชคเกินไปแล้วกัน” จูนจิ่วกล่าวจบ แล้วหลับตาลงพักผ่อนอีกครั้ง กู่ซงเห็นดังนี้จึงไม่รบกวนนางในบัดดล
กลับไม่รู้ว่า จูจิ่วเพียงแค่หลับตาไตร่ตรองเท่านั้น
นางมิได้ประเมินความแข็งแกร่งของมือมืดหลังม่านต่ำไปด้วยซ้ำ เริ่มต้น…จูนจิ่วก็ก่อตั้งกองทัพเย่สิงที่ด้อยแข็งแกร่งกว่ามือมืดหลังม่าน มิเช่นนั้นก็คงไม่สามารถสังหารจูนหมิงเย่และภรรยาได้ นางใช้จูนหยูนเสวี่ยเป็นเหยื่อล่อ ก็เพราะอยากรู้ว่ามือมืดหลังม่านแข็งแกร่งสักเท่าไรกัน? และไล่เบาะแสสะกดรอยตามทำการตรวจสอบต่อไป
การรู้ความแข็งแกร่งของศัตรู ย่อมดีกว่าไม่รู้อะไรเลยเป็นไหนๆ! จูนจิ่วนึกถึงสิ่งที่นางซักถามทหารหน่วยกล้าตายเทียนฉิว ก็เพื่อจับจูนหยูนเสวี่ยข่มขู่กองทัพเย่สิงให้ส่งมอบสิ่งของเหมือนกันออกไป
ของสิ่งนี้ถึงจะเป็นกุญแจสำคัญ! แต่มันจะเป็นอะไรได้?
“จูนจิ่ว! พวกเราไล่ตามทันพวกหยูนเฉียวแล้ว จูนจิ่วตื่นเร็ว!” เสียงของกู่ซงดังลอยมา ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าอลหม่านไล่หลังติดๆ
จูนจิ่วโจนลงจากแผ่นหลังของเสี่ยวอู่ ขณะนั้นเสี่ยวอู่กลับสู่ร่างเดิมยืนอยู่ข้างจูนจิ่ว เงยหน้ามองไป หยูนเฉียวและจูนเสี่ยวเหลยตีกรอบล้อมเข้ามา มองเห็นเลือดสดบนตัวของจูนจิ่วและกู่ซง หัวใจของพวกเขาพลันบีบเกร็ง
จูนจิ่วปริปากเอ่ยหนึ่งประโยคขวางการถามไของพวกเขาเอาไว้ “แค่บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่เป็นไร พวกเจ้าพบทางออกแล้วหรือไม่”
หยูนเฉียวพยักหน้า “หาพบแล้ว! อีกอย่างพวกเรายังบังเอิญพบเหยียนไห่และกูซูหยิงด้วย”
ได้ยินดังนั้น จูนจิ่วพลันมุ่นคิ้วน้อยๆ สายตาของนางมองข้ามฝูงชนไป มองเห็นสองคนที่สีหน้าอิดโรย เลือดท่วมตาที่อยู่รั้งท้ายสุด
เหยียนไห่ประคองกูซูหยิงเอาไว้ สบสายตากับนางแล้วพยักหน้าน้อยเป็นการทักทาย พวกเขาก็หนีออกมาได้แล้วเช่นกัน แต่ว่ามีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
จูนจิ่วละสายตากลับมา เอ่ยปากว่า “ทุกคนอย่ามัวโอ้เอ้อยู่ที่นี่ พบทางออกแล้วก็ออกไปก่อนค่อยว่ากัน”
จูนเสี่ยวเหลยเอ่ย “แต่ว่าพี่จิ่ว ทางออกเป็นประตูหินที่หนักมากบานหนึ่ง พวกเราเปิดไม่ออกจึงออกไปไม่ได้”
จูนจิ่วกล่าวว่า “พาข้าไปดูหน่อย”