บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 260 ทำให้นางตายทั้งเป็น
บทที่ 260 ทำให้นางตายทั้งเป็น
กลุ่มคนตกตะลึงอึ้งค้าง โจ๋วชิวเอ่ยปากร้องอุทาน “นายน้อยเหตุใดท่านถึงปล่อยนางไปเสียแล้ว?”
“ถูกต้อง ผู้หญิงชั่วร้ายพรรค์นี้เฉือนพันดาบหมื่นดาบก็ยังไม่เกินจริง เหตุใดถึงได้ปล่อยนางไปจนได้” โจวเตี๋ยเอ่ยปากงุนงงสงสัยเช่นกัน
พวกเขาต่างเข้าใจกันหมดแล้วว่าจูนหยูนเสวี่ยเป็นนางอสรพิษเต็มฝีจักรคนหนึ่ง พ่อแม่ของนางก็ก่อบาปกรรมทำเข็ญเช่นกัน ขอเพียงนึกถึงผ่านวันเวลาอันมืดฟ้ามัวดินเช่นนี้ บรรดาผู้อาวุโสก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พวกเขายิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมจูนจิ่วยังปล่อยนางไปอีก?
ประจักษ์การตอบสนองของฝูงชนแก่สายตา จูนจิ่วเลิกคิ้วมองไปทางโม่อู๋เยว่ คนหลังมองนางอย่างเงียบๆ ริมฝีปากเรียวบางเย้ายวนแย้มรอยยิ้มอันชั่วร้าย โม่อู๋เยว่ก็ยังเข้าใจนางเสมอ!
“เหมียวๆๆ!” เสี่ยวอู่ไม่สบอารมณ์ เขาเองก็เข้าใจเหมือนกันนะ!
“ข้าเข้าใจแล้ว! ศิษย์น้องเจ้าอยากให้จูนหยูนเสวี่ยหนีออกไปดึงความสนใจของเทียนฉิว จากนั้นพวกเราก็ฉวยโอกาสออกไปใช่หรือไม่?” ชิงหยู่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ปริปากเอ่ยวาจา
จูนจิ่วพยักหน้า “พูดถูกแล้ว ตอนนี้ทหารหน่วยกล้าตายเทียนฉิวที่อยู่ด้านนอกส่วนใหย่ถูกจูนหยูนเสวี่ยดึงความสนใจไปหมดแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
จูนจิ่วเดินนำออกไปก่อน ป๋ายเย่ออกจากฝักลากอยู่ข้างตัวประจันหน้าทหารหน่วยกล้าตายที่พุ่งขึ้นมา จูนจิ่วแทงออกไปอย่างดุดันหนึ่งที เห็นเลือดพุ่งจากลำคอตายคาที่ในการโจมตีเดียว ทหารหน่วยกล้าตายเทียนฉิวที่พุ่งเข้ามาตามหลัง ล้วนถูกการโจมตีอันสวยงามและรวดเร็วของจูนจิ่วจัดการทั้งสิ้น
กลุ่มคนเห็นดังนี้ก็ตกตะลึงอีกระลอก ยากสรรหาถ้อยคำมาสาธยาย จูนจิ่วทะลวงด่านนักจิตขั้นสี่แล้ว? เรื่องตั้งแต่เมื่อไร?
ห่างจากคราวก่อนตอนที่นางทะลวงด่านนักจิตขั้นสาม นี่ก็เพิ่งเวลาแค่ครึ่งปีสั้นๆ เท่านั้น พรสวรรค์ผิดมนุษย์มนาอย่างไหนของนาง อัจฉริยะคนอื่นทะลวงด่านก็ต้องใช้เวลาอย่างน้องสองสามปี จูนจิ่วสร้างฐานกบฏสวรรค์แค่ครึ่งปีมันเกินไปแล้ว! แต่เมื่อหวนคิดอีกที นางคือจูนจิ่ว บัดนั้นทุกอย่างก็พูดง่ายขึ้นแล้ว
พรสวรรค์สีม่วงชั้นเจ็ด ดาวเจ้าสำนักแห่งสำนักเทียนอู่จงของพวกเขาย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
จูนจิ่วพาชิงหยู่แคนอื่นๆ ส่งไปที่ทางแยกภูเขา ชะงักฝีเท้าแล้วหมุนกายเอ่ยปาก “พวกกู่ซงอยู่ในลายของยอดเขาโจ้ว่าง นี่คือพิกัด พวกเจ้าตรงเข้าไปก็พอ ของพวกนี้คือยารักษาแผล”
จูนจิ่ววาดแผนที่อย่างง่ายลงบนพื้น เห็นพวกเขาจำได้หมดแล้วจึงลบมันทิ้งไป จากนั้นก็เอายาลูกกลอนยารักษาแผลหลายขวดยื่นให้ชิงหยู่ จูนจิ่วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ข้าจะช่วยชีวิตศิษย์ทั้งหมดของสำนักเทียนอู่จงอย่างเต็มที่ ทุกการกระทำของเทียนฉิว พวกเขาจักต้องชดใช้”
“ศิษย์น้อง”
ชิงหยูเดินขากะเผลกเข้ามา สองมือกดลงบนไหล่ของจูนจิ่วมองนางอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ของแค่เจ้าปลอดภัย และศิษย์พี่ไม่โทษเจ้าเลย พวกผู้อาวุโสเองก็คงไม่เช่นเดียวกัน”
เทียนฉิวบุกเข้ามาเพราะนายน้อยกองทัพเย่สิง พูดอย่างแม่นยำคือพวกเขาจับตามองการเคลื่อนไหวของจูนหยูนเสวี่ย ส่วนจูนจิ่วจะอยู่ตำแหน่งอะไรในนั้น พวกเขาก็ไม่ควานค้นและไม่อาจตำหนิ จูนจิ่วเป็นดาวเจ้าสำนักของสำนักเทียนอู่จงของพวกเขา เป็นคนในครอบครัวของพวกเขา
หากไม่ใช่เพราะรู้วว่าตนเตือนจูนจิ่วไม่ได้ กอปรกับตนบาดเจ็บหนักเกินไป ชิงหยู่จักต้องแบกจูนจิ่วออกไปพร้อมกันเป็นแน่ การแก้แค้ควรให้ศิษย์พี่อย่างเขาเป็นคนทำสิ
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแผ่นหลังหนาววูบ ขนลุกขนชันขึ้นมาทีละชั้น มือที่กดอบนไหล่ของจูนจิ่วทั้งสองยิ่งเจียนลุกไม้แผดเผาขึ้นมา ชิงหยู่ชักมือกลับไปโดยสัญชาตญาณ ครั้นเงยหน้าขึ้นมามอง สายตาลุ่มลึกเลือดเย็นของโม่อู๋เยว่กำลังจ้องเขาอยู่
ชิงหยู่ไอแห้งๆ หนึ่งที รีบเปลี่ยนประเด็นอย่างรวดเร็ว “ศิษย์น้อง พวกเราจะรักษาแผลให้เร็วที่สุดจากนั้นค่อยมาช่วยเจ้า แล้วก็ผู้อาวุโสโม่ ลำบากท่านปกป้องศิษย์น้องด้วย”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พวกเราควรไปลานฝึกวิทยายุทธ์เฉียนคุนกันแล้ว”
“ดี”
จูนจิ่วมองพวกชิงหยู่อย่างลุ่มลึกปราดหนึ่ง หมุนกายจากไปกับโม่อู๋เยว่ นางแทบอดใจไม่ไหวอยากลองค่ายกลใหญ่กบฏสวรรค์ที่โม่อู๋เยว่ถ่ายทอดให้แล้ว พลิกฟ้าสวนฆ่า ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นเลือดพล่าน
……
หงยิงยังไม่รู้ว่าจูนหยูนเสวี่ยกลับพวกชิงหยู่หนีไปแล้ว เวลานี้นาง ยืนอยู่ในลานฝึกวิทยายุทธ์เฉียนคุน ปั้นหน้าเย็นชามองผู้อาวุโสสาม ผางชิงเยว่ถูกคนหามเข้ามา ทั่วร่างเขาไม่สามารถขยับได้ มีเพียงลูกตาขยับและอ้าปากพูดอย่างยากลำบาก
ผางชิงเยว่เอ่ย “คะ คุณหนูหงยิง…”
“เจ้าสวะไร้ประโยชน์ เสียแรงที่เจ้ายังเป็นผู้อาวุโสสามแห่งเทียนฉิวของข้า สังหารศิษย์สำนักทั้งห้ายังทำให้ตัวเองกลายเป็นสารรูปแบบนี้ ช่างขายหน้าเทียนฉิวของข้านัก” หงยิงเสียดสีอย่างเย็นชา สายตามองผางชิงเยว่อย่างดูแคลนและไม่พอใจ
แค่ศิษย์สำนักทั้งห้าเท่านั้น คงไม่พ้นเป็นมดที่ไม่ว่าใครก็ฆ่าได้ นางขยับนิ้วมือก็สามารถขยี้พวกเขาจนตายได้แล้ว ผางชิงเยว่เป็นถึงนักจิตขั้นเก้าคนหนึ่ง ท้ายที่สุดถึงกับถูกคนหามกลับมา ช่างขายขี้หน้านัก! ไร้ประโยชน์! สีหน้าผางชิงเยว่เปลี่ยนไปมา รู้สึกเดือดดาลทั้งอายระคนโกรธไม่มีหน้าโต้แย้งหงยิง
หงยิงว่า “พูดมา เป็นมีความสามารถถึงขนาดทำร้ายเจ้าเป็นสภาพนี้ไปได้” แก้มขวาเสียโฉมไปหมด
“จูนจิ่วสำนักเทียนอู่จง” ผางชิงเยว่กล่าวอย่างยากลำบาก แต่เพียงพอจะได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง
จูนจิ่วสำนักเทียนอู่จง? สายตาหงยิงฉายแววประหลาดใจ ชื่อนี้นางเคยได้ยินจากปากของกองทัพเย่สิงและจูนหยูนเสวี่ยก่อนหน้านี้ นางเข้าใจว่าคงไม่พ้นเป็นแค่คำแก้ต่างโป้ปดที่จูนหยูนเสวี่ยคิดอยากหลบหนีใต้ความวิงวอนเสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นจูนจิ่วคนนี้ ถึงขั้นทำให้ผางชิงเยว่หกคะเมนหัวทิ่มครั้งใหญ่ขนาดนี้
นางรีบร้อนซักไซ้ผางชิงเยว่ หลังขากรู้แจ้งตั้งแต่ต้นจนจบ แววเสียดสีบนหน้าของหงยิงก็ยิ่งรุนแรงขึ้น “ที่แท้ก็ถูกซุ่มโจมตีจากนั้นก็ถูกวางยาพิษจนล้มนี่เอง ผู้อาวุโสสาม เจ้ามีความสามารถจริงๆ จูนจิ่ว? ถ้าหากข้าคนนี้พบนางเข้า แค่ใช้นิ้วมือเดียวก็สามารถทำให้นางตายทั้งเป็นได้แล้ว”
“คุณหนูหงยิงแข็งแกร่งแรงกล้าจริงๆ” ผางชิงเยว่ฝืนกระตุกมุมปาก สีหน้าขาวซีดสลับกับดำคล้ำ
หงยิงแค่นเสียงเย็นชาหนึ่งที ขณะที่กำลังจะบัญชาคนให้หามผางชิงเยว่ไปรักษา จู่ๆ กลับมีทหารหน่วยกล้าตายพุ่งเข้ามา คุกเข่ารายงานด้วยท่าทางสิ้นหวังหวาดกลัว “คุณหนูหงยิง จูนหยูนเสวี่ยหนีไปแล้วขอรับ”
“อะไรนะ?”
“แต่ว่าพวกเราจับตัวนางไว้แล้ว แล้ว…แล้วก็ห้องลงโทษถูกคนบุกเข้ามา คนด้านในต่างหายไปไม่เห็นใครเลย” ทหารหน่วยกล้าตายเทียนฉิวกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ร่างกายสั่นงั่กด้วยความหวาดกลัวไม่สิ้น
บัดนั้นทั่วบรรยากาศสนามหดหู่ลงอย่างน่างกลัว ทำเอาผู้คนสูดหายใจไม่ทั่วท้อง หลังจากหงยิงนิ่งเงียบไปหลายวินาที ก็ซัดหนึ่งฝ่ามือออกไปเต็มแรง ตู้ม! สมองระบิดเป็นจุณ สีขาวสีแดงพุ่งสาดออกมาบนพื้น กระเซ็นใส่กระโปรงของนาง
หงยิงกัดฟันกรอด “พวกขยะ! เจ้าพวกไร้ค่า เลี้ยงเสียข้าวสุก! เฮอะ หนี? คนของพวกเขายังอยู่ในมือข้า พวกเขายังหนีไปหนีไปไหนได้”
หมุนกายมองไปทางกลุ่มคนในลานฝึกวิทยายุทธ์เฉียนคุน หงยิงร้องบัญชา “เรียกคนไปตะโกนบอกทั้งบนล่างของสำนักเทียนอู่จง เวลาหนึ่งก้านธูปถ้าไม่เขายังไม่โผล่ออกมา ข้าจะฆ่าคน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สังหารให้ข้า!”
ทหารหน่วยกล้าตายสำนักเทียนฉิวพุ่งเข้ามาในกลุ่มคน สุ่มเลือกคนๆ หนึ่งออกมาบั่นคอร่วงตุบด้วยดาบเดียว และทหารหน่วยกล้าตายหยิบธูปมาจุดหนึ่งก้าน ธูปนั้นทั้งสั้นทั้งเรียว เกรงว่าไม่ถึงสิบนาทีก็เผาไหม้จนธูปหมดหนึ่งก้านแล้ว กลุ่มคนบนลานฝึกวิทยายุทธ์เฉียนคุนเห็นดังนี้ ก็หวาดกลัวจนตัวสั่นเทิ้มรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน แววสิ้นหวังเต็มดวงตา
หยูนจ้งจิ่นอยู่ในนั้น กำหมัดจนเสียงแกรก เขาอ้าปากพึมพำ กล่าวเสียงต่ำอย่างเงียบๆ แม่นางจูนเจ้าอย่าได้มาเด็ดขาด อย่าอยู่ในสำนักเทียนอู่จงเด็ดขาด
หงยิงหมุนกาย “ไป! ไปดูจูนหยูนเสวี่ยนังแพศยาคนนั้น กินหัวใจเสือดาวบังอาจไปแล้ว กล้าหนี? ข้าจักตัดขาของนาง!”
นางแทบไม่รู้เลยว่าตอนที่เดินออกจากลานฝึกวิทยายุทธ์เฉียนคุน จูนจิ่วกำลังเดินเข้ามาจากด้านข้างพอดี นางยืนอยู่เบื้องหน้าลานฝึก ร่ายบริกรรมค่ายกลใหญ่กบฏสวรรค์ลงมาขึงเอาไว้แน่นหนา