บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 296 ชื่อเสียงป้นปี้ของจริง
บทที่ 296 ชื่อเสียงป้นปี้ของจริง
สายตาของเมิ่งจื้อหยวนมีความอับอายพวยพุ่งออกมา เขาลงมืออย่างรวดเร็วและโหดร้าย ห้านิ้วเป็นกรงเล็บและยังมีพลังทิพย์ที่ถ่ายเท เห็นได้ชัดว่าต้องการจะทำร้ายอู๋ซาน
ไม่มีใครคาดคิดว่าเมิ่งจื้อหยวนจะลงมือกะทันหัน ขณะที่ยืนอึ้งก็เห็นมือขาวดุจหยกข้างหนึ่งยื่นออกไปเกี่ยวตวัดมือของเมิ่งจื้อหยวนเอาไว้ จากนั้นก็เกิดภาพราวกับเวทมนตร์ เป็นถึงนักจิตชั้นแปด กลับไม่สามารถขยับได้ภายใต้นิ้วมือเล็กๆนี้ เมิ่งจื้อหยวนยังส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมาอย่างร้อนรน
ที่เกี่ยวตวัดมิ่งเหมินของเมิ่งจื้อหยวนเอาไว้ จูนจิ่วใช้แค่นิ้วมือและออกแรงอีกนิดเท่านั้น หากออกแรงเบาๆจะทำให้นิ่วของเมิ่งจื้อหยวนใช้การไม่ได้ตลอดกาล หากออกแรงหนักๆก็คงปลิดชีพเขาได้ เมิ่งจื้อหยวนเจ็บจนไม่กล้าเคลื่อนไหว ทำได้เพียงจ้องมองจูนจิ่วด้วยสายตาดุจคมมีดและร้ายกาจ
จูนจิ่วหัวเราะเสียงเย็น “ท่านเจ้าสำนักเมิ่งคิดจะทำอะไร กลับดำเป็นขาว ใส่ร้ายผู้อื่นเอาผลดีเข้าตัว พอมีคนพูดความจริงออกมาก็จะลงไม้ลงมือ นี่ต้องการจะฆ่าคนปิดปากหรืออย่างไร”
“จูนจิ่วเจ้ามันสารเลวอย่าพูดเหลวไหล อ๊า”จูนจิ่วเพิ่มแรงที่มืออีกสองส่วน
เมิ่งจื้อหยวนเจ็บจนคุกเข่าลงให้กับจูนจิ่ว
ฉากนี้ไม่เพียงแต่ผู้ชมบนเวทีประลองเห้อเท่านั้นที่รู้สึกตะลึง จนอ้าปากค้าง แม้แต่ตัวเมิ่งจื้อหยวนเองลูกตาเกือบจะถลนออกมา ให้ตายก็ไม่อยากจะเชื่อ เขาอยากจะลุกขึ้น แต่ความเจ็บปวดที่ข้อมือส่งผ่านไปถึงหัวใจ พลังทิพย์ก็ไม่สามารถส่งผ่านได้อย่างราบรื่น
ไม่ดีแล้ว
เป็นคนอื่นที่จับมิ่งเหมินเอาไว้ยังไม่อันตรายเท่า ตกอยู่ในน้ำมือของจูนจิ่ว ราวกับว่าได้เด็ดชีวิตเขาไปแล้วก็ไม่ปาน
จูนจิ่ว“ท่านเจ้าสำนักเมิ่งอย่าเพิ่งรีบจะต่อต้าน ข้าให้ท่านพบคนคนหนึ่งก่อนค่อยว่ากัน เหลิ่งยวน”
ผู้คนได้ยินเพียงจูนจิ่วเรียกชื่อชื่อหนึ่ง จากนั้นตรงกลางมีเอาสีดำแวบผ่าน ยกมือโยนคนคนหนึ่งออกมาราวกับโยนขยะ จากนั้นก็หายวับไปไม่เห็นอีกเลย รวดเร็วยิ่งนัก พวกเขาต่างเบิกตากว้าง เห็นเพียงเงาสีดำ แม้แต่คนมีหน้าตาอย่างไรยังไม่รู้
นี่สำหรับคนอื่นยังไม่เท่าไหร่ แต่ในสายตาของฝู้หลินจ้านและฝู้หลินซวง ดวงตาก็จ้องเขม็งจนต้องสูดลมหายใจ พวกเขาเห็นชัด นี่มันอยู่เหนือนักจิตใหญ่ ห้าสำนักสิบประเทศเล็กๆ นักจิตใหญ่มาจากไหนกัน
ทั้งสองมองไปยังคนที่ถูกโยนออกมา พอมองแล้วขนสันหลังก็ลุกชัน
“ผู้อาวุโสหลี่ ”อู๋ซานอุทานเรียกชื่อออกมาอย่างตกใจ เมิ่งจื้อหยวนและเหล่าผู้อาวุโสของตันจงก็เห็น ทุกคนสีหน้าขาวซีดดุจผี พวกเขาเป็นวัวสันหลังหวะไหนเลยจะไม่กลัว มุมปากของจูนจิ่วโค้งขึ้น เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาโหดร้าย “คนคนนี้ท่านเจ้าสำนักรู้จักหรือไม่ แต่ว่าทุกท่านคงยังไม่รู้จัก ตอนนี้ข้าจะให้เขาแนะนำตัวเอง เขาเป็นใคร ทำไมถึงถูกจับ”
ชิงอยู่รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลจากคำพูดของจูนจิ่ว เขาจ้องเขม็งแล้วเดินไปเตะผู้อาวุโสหลี่หนึ่งที “ไม่ได้ยินหรือ รีบตอบคำถามศิษย์น้องข้าเดี๋ยวนี้”
ผู้อาวุโสหลี่ถูกเหลิ่งยวนบิดจนมือเท้าหัก กระดูกหักคนลุกไม่ขึ้นหนีก็ไม่ได้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัว ถูกชิงหยู่เตะเข้าให้ก็รีบตะโกนขึ้นทันที ไม่ได้มองเมิ่งจื้อหยวนที่คอยส่งสายตาให้เขาเลยสักนิด
“ข้าเป็นผู้อาวุโสหลี่ของสำนักตันจง เจ้าสำนักให้ข้าไปขัดขวางการกลั่นยาของจูนจิ่ว หากว่านางกลั่นยาเสร็จแล้วให้สลับยาของนางกับอู๋ซาน”
“แล้วเจ้าได้สลับยาหรือไม่”จูนจิ่วถาม
“ไม่ได้สลับ ข้าถูกจับเสียก่อน ”ผู้อาวุโสหลี่กลัวมาก พูดจบเขาก็รีบโขกหัวคำนับจูนจิ่วกับชิงหยู่ “ข้าเพียงทำตามคำสั่งของเจ้าสำนักเท่านั้น ล้วนเป็นแผนของเจ้าสำนัก เป็นเมิ่งจื้อหยวนที่ขมขู่ให้ข้าทำ พวกเจ้าจะหาคนผิดก็หาเมิ่งจื้อหยวน ปล่อยข้าไปเถอะ”
ถูกบิดจนมือเท้าหักอย่างเป็นๆ ยังถูกตีจนกระดูกหัก ผู้อาวุโสที่ใช้ชีวิตอย่างดีมาตลอด ไม่เคยได้รับความทรมานเช่นนี้มาก่อน เขาเจ็บเจียนตาย ในใจยิ่งเกลียดเมิ่งจื้อหยวน
เพื่อรักษาชีวิต ผู้อาวุโสหลี่ได้คายความจริงทั้งหมดออกมา เมิ่งจื้อหยวนได้ยินแล้วก็อยากจะพุ่งเข้าไปฉีกปากของผู้อาวุโสหลี่นับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาถูกจูนจิ่วจับมิ่งเหมินเอาไว้ขยับไม่ได้ ทำได้เพียงตะคอกว่า “เจ้าพูดเหลวไหล เขาเป็นพวกเดียวกับจูนจิ่ว พวกเขาใส่ร้ายป้ายเพื่อทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของข้า”
“ไม่ใช่นะ ไม่เชื่อพวกท่านก็ลองถามลูกศิษย์ของตันจงดู พวกเขาก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ”
พวกเขาต่างก็ถูกเรื่องราวยาวเหยียดนี้ทำเอาสำลักจนลูกตาจะถลนออกมาแล้ว พวกเขาได้สติกลับมาอย่างมึนงง ทำได้เพียงมองไปยังลูกศิษย์สองคนของตันจงตามที่ผู้อาวุโสหลี่บอก
จูนจิ่วใช้สายตาเย็นชามองไป ลูกศิษย์ของตันจงก็คุกเข่าลง “ผู้อาวุโสหลี่พูดถูก เจ้าสำนักข่มขู่พวกเราให้สลับยาให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะถลกหนังเลาะเอ็นพวกเรา แต่พวกเราไม่กล้าทุจริต เลยไม่ได้สับเปลี่ยนยา”
เพี๊ยะ
การถูกตบหน้าวนเวียนอยู่อย่างนี้ แม้เมิ่งจื้อหยวนจะคิดว่าหน้าเป็นกำแพง ก็ต้องถูกตีจนกลายเป็นเศษซากแล้ว เหล่าผู้อาวุโสของตันจงไม่ได้หน้าหนาเหมือนเมิ่งจื้อหยวน หลายคนที่ถูกเปิดเผยความชั่วกลางสาธารณะก็เป็นลมล้มพับไป ที่เหลือก็ก้มหน้าอันเน่าเหม็นไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
แต่ละคนต่างก้มหน้า พวกเขาอธิบายไม่ได้
เห็นท่าทีของเหล่าผู้อาวุโสแล้ว ได้ประจักษ์ถึงแรงกระแทกแห่งความจริงแล้วว่าหนักแน่นแค่ไหน ในสายตาของเมิ่งจื้อหยวน ความโกรธพุ่งชนหัวใจ แล้วก็โมโหจนกระอักเลือดออกมาอีกหนึ่งคำ
จูนจิ่วรีบปล่อยมือ เบี่ยงตัวหลบไปสองก้าวจึงพ้นจากเลือดที่จะกระเด็นถูกชายกระโปรง นางขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ เอ่ยเสียงเย็นกับเมิ่งจื้อหยวนอีกครั้ง “เจ้าสำนักเมิ่ง ท่านยังมีอะไรจะอธิบายหรือไม่”
“เมิ่งจื้อหยวนเจ้ามันไร้ยางอาย รังแกศิษย์น้องของข้า เจ้าคิดว่าสำนักเทียนอู่จงของเราไร้คนแล้วหรือไร ”ชิงหยู่พูดขึ้นมีเสียงมากมายตอบสนอง เหล่าลูกศิษย์ของเทียนอู่จงรีบกระโดดลงมาจากที่นั่งดู ต่างกำหมัดชักดาบสายตากราดเกรี้ยวจ้องมองไปยังเหล่าสำนักตันจง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”เมิ่งจื้อหยวนหัวเราะเสียงดัง “ในเมื่อถูกพวกเจ้าเปิดเผยแล้ว ข้าก็ขี้เกียจจะอธิบายแล้ว ขอเพียงข้าฆ่าพวกเจ้าให้หมด สุดท้ายก็จับตัวจูนจิ่วส่งให้กับคุณหนูหงยิง คนที่ชนะก็ยังเป็นข้าอยู่ดี”
ชิงหยู่กำหมัด “เมิ่งจื้อหยวนถ้าการกระทำของเจ้าในวันนี้ถูกพูดออกไป ทุกคนใต้หล้าต่างได้รับรู้ ใครจะปล่อยเจ้า สำนักตันจงก็ต้องป่นปี้เพราะเจ้า มีแต่คนก่นด่า”
ใบหน้าบิดเบี้ยว เมิ่งจื้อหยวนลุกขึ้นสายตาโหดเหี้ยม เขาพูดต่อว่า “รอให้ตันจงของข้าได้เป็นที่หนึ่งของทั้งห้าสำนัก ได้พึ่งพาบารมีของเทียงฉิวและสำนักศึกษาทั้งสาม ชื่อเสียงเอย อำนาจเอย ก็เป็นแค่สิ่งที่สำนักของข้ากวักมือก็มาโบกมือก็ไปเท่านั้น แล้วแต่พวกเจ้าจะเล่าลือ เพราะสุดท้ายใครที่บังอาจพูดสำนักข้าก็ฆ่ามันเก้าชั่วโคตร ฮ่าฮ่าฮ่า”
ผู้คนได้ยินแล้ว ทั้งตกใจทั้งโมโห พวกเขาไม่รู้จักเทียงฉิว แต่ไม่มีคนไม่รู้จักสำนักศึกษาทั้งสาม นั่นเป็นถึงสำนักศึกษาสูงสุดที่อยู่เหนือกว่าทั้งห้าสำนัก นักจิตใหญ่ที่เล่าขานกันมาก็อยู่ในสำนักศึกษาทั้งสาม แต่ตันจงกลับได้สำนักศึกษาทั้งสามให้พึ่งพิง
“เจ้าสารเลว เจ้าชิงหยู่เอ๋ย เจ้าคิดว่าข้าจัดการแข่งขันขึ้นที่นี่นั้น ก็เพียงแค่ต้องการแข่งขันเท่านั้นหรือ ไม่ นี่เป็นกับดัก พวกเจ้ามาแล้วก็อย่าหวังจะได้กลับออกไป ข้าสิจึงจะเป็นผู้ชนะ ข้าจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย”
“จริงหรือ ไม่ทราบว่าคนของเจ้าสำนักเมิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ทำไม่ข้าไม่เห็น ”จุนจิ่วยิ้ม เบาๆอย่างไร้ความรู้สึก
พอเมิ่งจื้อหยวนได้ยินก็จ้องจูนจิ่วด้วยสายตาโหดเหี้ยม ขณะเดียวกันเขาก็เอาพลุเสียงออกมาจากแขนเสื้อส่งสัญญาณ หัวเราะอย่างได้ใจ “เสียงพลุดังขึ้น คนที่ซ่อนอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศในเวทีประลองเห้อจะไปปิดกั้นทางออก รอพวกเขาขึ้นมาก็เป็นเวลาตายของพวกเจ้า”
“ชิ”ชิงหยู่หัวเราะออกมา เขายืนอยู่ข้างจูนจิ่วเอามือกอดอกท่าทีสบายอกสบายใจยิ่งนัก “จริงหรือ เช่นนั้นพวกเราจะรอดู ดูสิว่ากองทัพที่เจ้าซ่อนไว้อยู่ที่ไหน”ไม่ช้า นอกเวทีประลองเห้อมีเสียงตึงตังของฝีเท้าดังขึ้น เมิ่งจื้อหยวนเงยหน้าขึ้นมองอย่างได้ใจ แต่รอยยิ้มกลับแข็งค้าง