บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 321 ดูคล้ายคู่สามีภรรยากันจริงๆ
บทที่ 321 ดูคล้ายคู่สามีภรรยากันจริงๆ
จูนจิ่วบรรลุ จากนักจิตชั้นสี่ระดับกลางเข้าสี่นักจิตชั้นสี่ระดับสูง ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ แค่นอนเพียงตื่นเดียวก็บรรลุแล้ว หากพูดออกไปจะมีนักจิตอีกเท่าไหร่ที่ต้องอิจฉาตาร้อน พรสวรรค์ระดับเจ็ดสีม่วง ไม่ใช่คนแต่คงเป็นปีศาจกระมัง
ลืมตาขึ้นมา แวบแรกที่จูนจิ่วเห็นคือขนสีขาวปลิวว่อนเต็มห้องไปหมด รู้สึกประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น”
“เหมียว ”เสียงร้องอันน่าสงสาร และออดอ้อน เสี่ยวอู่ขดตัวอยู่ที่มุมเตียง ดวงตาของเสี่ยวอู่จ้องจูนจิ่วอย่างร้องขออ้อมกอดและสัมผัส จูนจิ่วกำลังจะยื่นมือไปอุ้มเสี่ยวอู่ หางตาก็เหลือบไปเห็นชายเสื้อของคนคนหนึ่งจึงได้ชะงักไปชั่วครู่
เงยหน้าขึ้นดู จูนจิ่วตกใจ “อู๋เยว่ท่านยังอยู่หรือ”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ช่างไร้น้ำใจเสียจริง ข้าคอยคุ้มกันเจ้าทั้งคืน แต่เจ้ากลับไม่เห็นข้า ยังคิดว่าข้าจากไปแล้ว”เกี่ยวคางของจูนจิ่ว น้ำเสียงดูน่าเวทนานั้นแต่รอยยิ้มเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ แววตาเต็มไปด้วยความหลงใหล
จูนจิ่วไอแห้งๆ “ช่วยไม่ได้ ห้องนี้มีขนสีขาวปลิวเต็มไปหมดดึงดูดสายตากว่า เสี่ยวอู่เป็นอะไรไป ยังไม่ถึงเวลาผลัดขนนี่นา”
แม้แต่ก่อนหน้านี้เธอก็ยังไม่เคยเห็นเสี่ยวอู่ขนหลุดเยอะขนาดนี้มาก่อน ยังคิดมาตลอดว่าเสี่ยวอู่นั้นพลังทิพย์เปลี่ยนรูปคงไม่มีขนหลุดแล้ว ไหนเลยจะคิดว่าพอลืมตาขึ้นมาก็ได้เห็นภาพขนลอยล่องราวหิมะตก ขนขาวที่เห็นปลิวอยู่ แม้แต่โม่อู๋เยว่ก็ไม่อาจหลบหลีกได้
ขนเยอะขนาดนี้ หากเป็นคนอื่นคงขมวดคิ้วไม่ชอบใจ แต่โม่อู๋เยว่ยังคงอยู่ตรงนี้ จุดนี้ทำให้เจ้าของแมวอย่างจูนจิ่วรู้สึกดีใจมาก
เห็นจูนจิ่วที่หันมายิ้มอย่างชื่นชมพอใจกับตนอย่างกะทันหัน โม่อู๋เยว่ก็เลิกคิ้วไม่เข้าใจ หางตาเหลือบไปมองแมวบางตัวที่เอาแต่ตื่นเต้นแทะเล็บตัวเองทั้งคืน ถ้าไม่อย่างนั้นก็เลียหาง ทำให้ทั้งห้องมีขนปลิวว่อนเต็มไปหมด โม่อู๋เยว่ยิ้ม
เขาพูดขึ้นว่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เสี่ยวอู่คงตื่นเต้นดีใจมากไปหน่อย”
“ตื่นเต้นดีใจ”
“ใช่ เมื่อคืนข้าบอกมันว่า รอเจ้าบรรลุนักจิตชั้นห้าแล้ว มันจะพูดภาษาคนได้”น้ำเสียงของโม่อู๋เยว่เนิบๆ เสียงทุ้มดึงดูดหยุดอยู่ที่ข้างหูของเสี่ยวอู่ เปรียบได้กับปีศาจร้าย
เสี่ยวอู่ตัวสั่นปกปิดตัวตนของตัวเองไว้แน่น พอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของจูนจิ่วก็ต้องอึ้งไป ไม่มีความสงสัย ประหลาดใจหรือตกใจ จูนจิ่วยิ้มและอุ้มมันไปนวดฝ่าเท้าทั้งสองข้างให้มัน ใครก็ดูออกว่าจูนจิ่วอารมณ์ดีแค่ไหน
จากนั้นก็ลูบที่หัวเสี่ยวอู่ จูนจิ่วพูดว่า “เสี่ยวอู่เก่งที่สุด ในที่สุดก็รอจนถึงวันที่เจ้าจะพูดได้แล้ว”
“เหมียวๆๆๆๆๆๆ”เสี่ยวอู่อ้าปากตาค้าง เดี๋ยวก่อน เจ้านายไม่สงสัยในสถานะของมันหรือ ไม่กลัวว่ามันจะเป็นปีศาจหรือ ทำไมถึงได้ดีใจมากขนาดนี้ นี่มันไม่เหมือนกับที่เขาคิดวิตกอยู่ทั้งคืนเลยนี่นา
ราวกับดูออกว่าเสี่ยวอู่ตกใจและไม่เข้าใจ จูนจิ่วก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา “เสี่ยวอู่ไม่อยากจะพูดได้หรอกเหรอ เจ้าไม่ใช่กำลังฝึกวิชาสืบท่อของนกฟีนิกส์แดงหรอกหรือ ข้าบรรลุเจ้าก็จะบรรลุตามไปด้วย พูดภาษาคนได้ก็ไม่เห็นแปลกอะไร อู๋เยว่เคยพูดนี่นาว่าสัตว์ทิพย์ระดับสูงต่างก็พูดภาษาคนได้”
เสี่ยวอู่ค่อยๆหันไปมองโม่อู๋เยว่ เห็นเขายิ้มอย่างชั่วร้าย พูดว่า “ใช่แล้ว”
เสี่ยวอู่ไม่ซื่อบื้ออีกต่อไป มันเข้าใจแล้ว โม่อู๋เยว่จงใจขู่มัน พูดภาษาคนไม่ได้แปลกอะไร มันจะไม่มีทางเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงเด็ดขาด เจ้าคนเลวโม่อู๋เยว่ ทำแมวตกใจแทบตาย
ฉะนั้นเสี่ยวอู๋จึงกลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง ร้องเหมียวๆแล้วกางกรงเล็บพุ่งเข้าใส่โม่อู๋เยว่ แน่นอนจุดจบก็ตามเคยแม้แต่ปลายแขนเสื้อของโม่อู๋เยว่ก็แตะต้องไม่ได้ ยังถูกจุนจิ่วลากออกจากห้องไปแปรงขน เสี่ยวอู่จึงได้แต่ร้องเหมียวร้องทุกข์กล่าวโทษอย่างน่าสงสาร
ฟังที่เสี่ยวอู่กล่าวโทษแล้ว จูนจิ่วยิ้มอย่างมีเลศนัยและถามว่า “เสี่ยวอู่ทำไมต้องกลัวการพูดภาษาคนด้วย หรือว่ามีความลับอะไรไม่ได้บอกข้า ”
เสี่ยวอู่ปิดปาก “ไม่มีนะเหมียว”
ทั้งหมดนี้โม่อู๋เยว่มองเห็นอยู่ตลอด เขายิ้มอย่างชั่วร้าย เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กับเขาเป็นคนมีอุดมการณ์เดียวกัน ชั่วร้ายอย่างน่าหลงใหลเช่นกัน เสี่ยวอู๋ยังไม่รู้ว่าจูนจิ่วรู้ถึงตัวตนของมันตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็แค่แกล้งมันเท่านั้น
แต่โม่อู๋เยว่จะไม่บอกเสี่ยวอู่เด็ดขาด อย่างนี้เขาก็สามารถแกล้งแมวร่วมกับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ได้แล้ว ดูเป็นคู่สามีภรรยากันมากเลย
เหลิ่งยวน ได้แต่ภาวนาให้กับเสี่ยวอู่
……
การลอบฆ่าเกิดขึ้นที่นอกสำนักของสำนักศึกษาไท่ชู แต่เพราะเป้าหมายในการลอบสังหารเป็นจูนจิ่วกับชิงหยู่
ไม่นานเรื่องนี้ก็ส่งไปถึงเจ้าสำนักศึกษาไท่ชู ตอนนี้ มู่จิ่งหยวนกับผู้อาวุโสใหญ่ต่างก็ยืนอยู่ตรงกลางห้องหนังสือของเจ้าสำนักศึกษาไท่ชู
แววตาของเจ้าสำนักไท่ชูมองทั้งสองอย่างสงบ พูดขึ้นว่า “ไหนพูดมาสิ ในฐานะที่ผู้อาวุโสใหญ่ท่านดูแลจูนจิ่วกับชิงหยู่ ส่วนจิ่งหยวนนั้นได้ประสบเข้ากับเรื่องนี้ด้วยตนเอง ”
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่เชิญท่านก่อน”มู่จิ่งหยวนหันไปยิ้มกับผู้อาวุโสใหญ่ ถอยครึ่งก้าว
ในใจของผู้อาวุโสใหญ่พึมพำว่ามู่จิ่งหยวนกะล่อน สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงและพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าได้ตรวจสอบชัดเจนแล้ว เป็นเพราะเจ้าเมืองไท่ชูเข้าใจผิดจูนจิ่วกับชิงหยู่ จึงไม่พอใจส่งนักฆ่ามาสังหารพวกเขา โชคดีที่จิ่งหยวนช่วยทั้งสองคนไว้ทัน”
“ข้าไม่ได้ยื่นมือเข้าไปยุ่งเลย นักฆ่าพวกนั้นล้วนเป็นจูนจิ่วที่จัดการเองทั้งสิ้น อาจารย์ จูนจิ่วคนนี้พรสวรรค์สูงส่ง จากที่ศิษย์ได้สังเกตดูเรื่องราวในคืนนั้น หากนางมีอาจารย์ดีๆค่อยชี้แนะเชื่อว่าต้องเก่งไม่น้อยกว่าศิษย์ ”มู่จิ่งหยวนพูด
ได้ยินที่มู่จิ่งหยวนพูด เจ้าสำนักไท่ชูมองเขาอย่างประหลาดใจ ส่วนผู้อาวุโสใหญ่กลับมีเหงื่อไหลท่วมตัว
มู่จิ่งหยวนกำลังชื่นชมจูนจิ่ว
เห็นเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูรู้สึกมีความสนใจขึ้นมา จึงถามเขาว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ เรื่องของสองสำนักสิบแคว้นตรวจสอบไปถึงไหนแล้ว”
“ตรวจสอบเสร็จแล้ว สาเหตุเพราะตันจง เจี้ยนจงกับชางไห่ประพฤติมิชอบ ส่วนเทียนอู่จงก็แค่ตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น ”ผู้อาวุโสใหญ่หยุดไปชั่วครู่ พูดต่อไปว่า “จูนจิ่วกับชิงหยู่นั้นบริสุทธิ์ ท่านเจ้าสำนักจะปล่อยพวกเขากลับไปหรือไม่ ”
“ไม่ได้ จูนจิ่วกับชิงหยู่นั้นเป็นคนมีพรสวรรค์ทั้งคู่ หรือพูดว่าเป็นปีศาจก็ว่าได้ ปล่อยพวกเขากลับไปที่สองสำนักสิบแคว้น ไม่ใช่เป็นการฝังกลบพวกเขาหรือ อาจารย์ ศิษย์คิดว่าในเมื่อพวกเขามาที่สำนักศึกษาไท่ชูแล้ว ก็เป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาไท่ชูแล้ว ”มู่จิ่งหยวนชื่นชอบจูนจิ่วพวกเขาอย่างสุดกำลัง
ผู้อาวุโสฟังแล้วก็ตระหนกตกใจ เขาเห็นมู่จิ่งหยวนจะพูดต่อ ก็รีบแทรกเพื่อตัดบทมู่จิ่งหยวนทันที เขาพูดว่า “ท่านเจ้าสำนัก การประลองของศิษย์นอกสำนักเหลืออีกไม่กี่วันแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ไม่สู้ให้จูนจิ่วกับชิงหยู่เข้าร่วมด้วย หากพวกเขาสามารถผ่านการประลองได้ พวกเราจะรับพวกเขาไว้ก็ไม่เป็นไร และเป็นไปอย่างยุติธรรม หากพวกเขาไม่สามารถผ่านการประลอง ความสามารถก็ธรรมดาจะรับพวกเขาเป็นศิษย์ในสำนักได้อย่างไร ”
“ได้ ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็มอบให้ผู้อาวุโสใหญ่รับผิดชอบแล้วกัน”
“ขอรับ”ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า เขากับมู่จิ่งหยวนประสานสายตากัน มู่จิ่งหยวนมองเขาอย่างสงสัยอยู่บ้าง ผู้อาวุโสใหญ่หรี่ตาแล้วหมุนตัวจากไป
รีบกลับไปที่พักของตน ผู้อาวุโสรีบให้คนไปตามหยุนหนีทันที เห็นหยุนหนีมาแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ก็พูดขึ้นว่า “มู่จิ่งหยวนได้แนะนำพวกจูนจิ่วต่อหน้าเจ้าสำนัก จะให้พวกเขาเข้ามาภายในสำนักไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกเราจะลงมือลำบาก”
“ท่านปู่อย่าร้อนใจไปเลย ขอเพียงจูนจิ่วกับชิงหยู่ไม่ได้เข้าร่วมการประลองของลูกศิษย์ ก็ถือว่าจัดการได้แล้วมิใช่หรือ ”หยุนหนีได้ยินก็ตกใจ แต่ไม่ช้าก็คิดวิธีจัดการออก
ขอเพียงจูนจิ่วกับชิงหยู่ไม่สามารถเข้าร่วมการประลองไม่ได้ ก็คือไม่ผ่านด่าน ยิ่งไม่สามารถเข้าสู่ภายในสำนักศึกษาไท่ชูได้