บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 333 ถูกโจมตีจนกลายเป็นไอ้ขี้ขลาด
บทที่ 333 ถูกโจมตีจนกลายเป็นไอ้ขี้ขลาด
“เหมียว !” หึ ถือว่าท่านสายตาแหลมคม เจ้านายชนะอย่างไม่ต้องสงสัย
มู่จิ่งหยวนเหมือนจะมองอารมณ์ที่แสดงออกมาทางใบหน้าของเสี่ยวอู่ออก เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แมวตัวนี้แปลงร่างมาหรืออย่างไร ? ทำไมถึงได้เหมือนคนเช่นนี้ มีความรู้สึกและอารมณ์ที่หลากหลาย เมื่อได้ยินที่เขาพูดก็ไม่กระโดดขึ้นไปบนสังเวียนอย่างวู่วามอีก
แววตาเป็นประกาย มู่จิ้งหยวนมองดูเสี่ยวจิ่วอยู่สักพักถึงได้หันกลับมามองบนสังเวียน
เหมือนที่เขาพูดเอาไว้ไม่มีผิด ไม่ว่าจะขึ้นไปอีกสักกี่คนก็ถูกจูนจิ่วและชิงหยู่จัดการราบคาบทั้งหมด เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกเขาโจมดีอย่างดุดันโหดเหี้ยมและหยิ่งผยอง และผลสุดท้ายยังไม่ทันจะได้ยืนอยู่บนสังเวียนก็ถูกเตะกระเด็นออกมาเสียก่อน ถูกโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่รู้คงจะคิดว่าที่นี่มีการทะเลาะวิวาทกันอย่างแน่นอน
ตุ้บตุ้บตุ้บ ——
เตะหนึ่งครั้ง !
ต่อยหนึ่งครั้ง !
จูนจิ่วรวบรวมพลังทิพย์เอาไว้ แรงทั้งหมดที่เอาชนะล้วนแล้วแต่เป็นแรงที่ออกมาจากการฝึกฝนร่างกายของนางเองทั้งสิ้น ยิ่งต่อสู้ยิ่งรู้สึกว่าเลือดในร่างกายพลุ่งพล่านและรู้สึกร่างกายกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างมาก
เมื่อนางรู้สึกกระปรี้กระเปร่าแล้ว ก็ค่อยๆ โจมตีบรรดาลูกศิษย์จนพ่ายไปทีละคนๆ จนสุดท้ายยังไม่ทันจะได้ออกหมัด พวกเขาเหล่านั้นก็ยอมคุกเข่าเพื่อขอความเมตตาเสียก่อน “ละเว้นข้าเถอะ ! ข้าถูกลากขึ้นมา ข้าไม่ได้อยากจะสู้กับพวกเจ้า อย่าทำร้ายข้าเลย ! ไว้ชีวิตข้าเถอะ !”
“ไอ้ขี้ขลาด” จูนจิ่วตะคอก จากนั้นจึงเตะเขาลงจากสังเวียนไป
นางมองไปรอบๆ ด้วยแววตาที่ดุดัน แต่กลับพบว่าบนสังเวียนไม่มีคนหลงเหลืออยู่แล้ว คนสุดท้ายก็คือคนที่ถูกศิษย์พี่ของนางเตะกระเด็นลงจากสังเวียนไปเมื่อครู่นี้ นางก้มหน้าลงไปมองรอบๆ สังเวียน พวกลูกศิษย์นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวดเต็มไปหมด
ชิงหยู่เดินเข้าไปหาจูนจิ่วด้วยความรู้สึกที่ยังคันไม้คันมืออยู่ เขาตบมือแล้วเลิกคิ้ว : “หมดแล้วหรือ ?”
“ถ้าหากมีใครยังอยากจะขึ้นมาประลองฝีมืออีก ข้าก็ไม่ถือสา” จูนจิ่วแสยะยิ้ม แล้วหันไปมองลูกศิษย์ที่อยู่บนอัฒจันทร์ด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
นางกวาดสายตาที่เย็นชาไป บรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ด้านบนต่างก็ก้มหน้าคอตกและถอยร่นไปข้างหลัง ไม่เห็นหรือยังไงว่าคนที่ไปก่อนหน้ากลายเป็นไอ้ขี้แพ้ไปหมดแล้ว ? ถ้าหากพวกเขายังจะไปอีก ไม่เท่ากับว่าเบื่อชีวิตหรอกหรือ ? ?
พวกผู้ดูแลชั้นนอกสำนักมองนิ่ง อ้าปากค้าง จูนจิ่วกับชิงหยู่สองคนนี้ ผิดปกติเกินไปแล้ว !
แปะแปะแปะ !
มู่จิ่งหยวนปรบมือเพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบ เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย แววตาฉาบไปด้วยรอยยิ้มของความชื่นชม “ทั้งสองคนเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ทั้งหมด พวกเจ้าชนะแล้ว ! ข้าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ตำแหน่งศิษย์ชั้นในสำนักเป็นของพวกเจ้าแล้ว”
มู่จิ่งหยวนหัยกลับไปมองพวกผู้ดูแล “ผู้ดูแลชั้นนอกสำนักทุกท่าน มีใครมีความเห็นอะไรไหม ?” เขาตั้งใจเงียบไปสักพัก เมื่อพวกผู้ดูแลหวางกำลังจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา เขาก็รีบพูดต่อด้วยรอยยิ้มทันทีว่า : “ถ้าหากใครไม่พอใจ ก็ให้พวกท่านขึ้นไปบนสังเวียน ขอเพียงแค่เอาชนะพวกเขาได้ เรื่องนี้ก็ถือเป็นโมฆะ”
พวกผู้ดูแลชั้นนอกสำนัก : ……
พวกเขาต่างกลัวจนตัวสั่น กระดูกของคนแก่อย่างพวกเขา ใครจะกล้าขึ้นไปต่อสู้กับบ้าดีเดือดพวกนั้นกัน ?
ตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีใครขัดขวาง มู่จิ่งหยวนจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ “ข้า มู่จิ่งหยวน ขอประกาศว่า การแข่งขันลูกศิษยืในวันนี้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ขอแสดงความยินดีกับจูนจิ่วและชิงหยู่ พวกเจ้าได้ผ่านคุณสมบัติที่จะเข้ามาชั้นในสำนัก แต่พวกเจ้าก็จะต้องมีการจัดอันดับที่หนึ่งที่สอง เพราะจะมีรางวัลมอบให้”
เมื่อได้ยิน พวกผู้ดูแลชั้นนอกสำนักก็หูผึ่งขึ้นมา โดยเฉพาะผู้ดูแลหวาง แอบมองทั้งจูนจิ่วและชิงหยู่ไปมา รีบต่อสู้กันเร็วเข้า ! รีบต่อสู้กันเอง ให้เขาได้ดูอะไรสนุกๆ
แต่ทว่า ชิงหยู่กลับเดินเข้าไปหาจูนจิ่วแล้วยิ้ม : “เรื่องนี้ง่ายมาก ศิษย์น้องข้าได้ที่หนึ่ง ส่วนข้าได้ที่สอง !”
หา ? ทุกคนต่างอ้าปากค้าง ยังไม่ทันจะต่อสู้กัน ก็ยอมถอยมาเป็นที่สองเสียแล้ว ? เห็นอยู่ชัดๆ ว่าฝีมือของชิงหยู่เหนือกว่าจูนจิ่ว
ชิงหยู่เห็นปฏิกิริยาของทุกคน เขานึกขำอยู่ในใจ : เจ้าพวกโง่ เขาจะต่อสู้กับศิษย์น้องของเขาเองได้อย่างไร ? ศิษย์น้องมีไว้รักและทะนุถนอม ถ้าหากเขาต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้ชนะกับศิษย์น้องแล้วล่ะก็ นี่จะเรียกว่าเป็นศิษย์พี่แบบไหนกัน ? สมควรแล้วหรือ
จูนจิ้วยิ้ม นางกวักมือ เสี่ยวอู่รีบพุ่งเข้ามาหาด้วยความรวดเร็วแล้วกระโดดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของนาง จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นมองมู่จิ่งหยวน : “รางวัลคืออะไร ?”
“รางวัลก็คือจะได้โอกาสเข้าไปในห้องหนังสือชั้นในสำนักหนึ่งครั้ง คนที่ได้ที่หนึ่งจะได้หินทิพย์ชั้นที่หนึ่งจำนวนสามร้อยก้อน ส่วนคนที่ได้ที่สองจะได้หินทิพย์ชั้นที่หนึ่งจำนวนหนึ่งร้อยก้อน”
มู่จิ่งหยวนกล่าว
จูนจิ่วไม่ได้สนใจหินทิพย์ นางและชิงหยู่ไม่ใช่คนที่ขาดแคลนหินทิพย์ แต่โอกาสที่จะได้เข้าไปในห้องหนังสือนั้น ! จูนจิ่วและชิงหยุ่หันมองหน้ากัน แล้วเก็บงำความคิดเอาไว้ในแววตา สำหรับพวกเขาแล้วนี่ถือเป็นการยื่นอ้อยเข้าปากช้าง เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ! เมื่อเข้าไปในห้องสมุดได้เท่านั้น ถึงจะหาเบาะแสของวิชาฝึกร่างกายชั้นที่สี่เจอ
การแข่งขันลูกศิษย์จบลงเพียงเท่านี้ มู่จิ่งหยวนลงจากสังเวียนแล้วพูดกับทั้งสองคนว่า : “ข้าอยากจะคุยกับพวกเจ้าเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”
พวกเขาออกจากลานฝึกวิทยายุทธ แล้วไปหาศาลาที่ปลอดผู้คน มู่จิ่งหยวนเอ่ยปากถามจูนจิ่วและชิงหยู่ทันทีว่าหายไปไหนมา ทำไมถึงไม่มีใครเห็นเลย ? จนเกือบจะต้องพลาดเรื่องสำคัญอย่างเช่นการแข่งขันลูกศิษย์เช่นนี้ !
จูนจิ่วพูดว่า : “พวกเราได้ยินมาว่า ถ้าหากต้องการเข้าร่วมการแข่งขันลูกศิษย์จะต้องทำภารกิจชิ้นหนึ่งให้สำเร็จเสียก่อน แต่เมื่อเห็นอาการที่ศิษย์พี่มู่แสดงออกมาแล้วนั้น คิดว่าการเข้าร่วมการแข่งขันลูกศิษย์คงไม่จำเป็นจะต้องใช้หญ้าสวนยิงใช่หรือไม่ ?” จูนจิ่วแสร้งทำเป็นไม่รู้ แล้วถามมู่จิ่งหยวนด้วยท่าทีประหลาดใจ
นางส่งสายตาให้ชิงหยู่เอ่ยปากถามต่อ : “ดูๆ ไปแล้วเกรงว่าข้ากับศิษย์น้องจะติดกับของคนอื่นเข้าให้แล้ว แต่ก็ยังดีที่พวกเรากลับมาทันเวลา ไม่เช่นนั้นข้าคงจะฆ่าคนที่กล้าตลบหลังพวกเราอย่างแน่นอน !”
มู่จิ่งหยวน : “ใครกัน ? ใครใช้ให้พวกเจ้าไป ?”
หน้าของเขาแสดงออกถึงความไม่พอใจ ทำปากบึ้งตึง ในแววตาของมู่จิ่งหยวนเต็มไปด้วยความโกรธ กำกล่องไม้สนที่อยู่ในมือเอาไว้แน่น เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ !
ใครกัน ? ทำไมจะต้องโจมตีจูนจิ่วกับชิงหยู่ด้วย พวกเขาอยู่ในสำนักไท่ชูไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหน !
มู่จิ่งหยวนหายใจเข้าลึก พยายามสงบสตือารมณ์แล้วกลับมาเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์เหมือนเดิม มีท่าทางที่ดูสูงส่งและสง่างาม แต่เมื่อเอ่ยปากพูดน้ำเสียงยังคงแสดงออกถึงความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย “พูดมาเถอะ ข้าจะไม่บอกคนอื่นหรอก แต่ข้าจะแอบสืบหาความจริงเพื่อให้ความยุติธรรมแก่พวกเจ้า !”
“คนที่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้ ศิษย์พี่มู่เดาไม่ออกเลยหรือ ?” จูนจิ่วไม่ตอบแต่ย้อนถาม ทำให้มู่จิ่งหยวนนิ่งไปทันที
จูนจิ่วแสยะยิ้มแล้วพูดว่า : “ศิษย์พี่มู่จะสืบหรือไม่สืบก็ไม่เป็นไร เพราะความแค้นครั้งนี้ ข้ากับศิษย์พี่จะต้องล้างแค้นอย่างแน่นอน ถ้าหากศิษย์พี่มู่ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเราขอตัวกลับไปพักก่อน” ควบม้ากลับมาจากภูเขาหนานโดยไม่ได้หยุดพักเลย ทำให้จูนจิ่วเองก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว
ชิงหยู่รู้สึกเป็นห่วง เขาหันไปมองมู่จิ่งหยวนด้วยสายตาที่เย็นชา
มู่จิ่งหยวนเอ่ยปากพูด : “พวกเจ้า ข้าเข้าใจแล้ว หญ้าสวนยิงคือสิ่งที่พวกเข้าได้รับ จงกลับไปที่พักของพวกเจ้า พวกเจ้ามีเวลาพักผ่อนและเก็บข้าวของสามวัน หลังจากสามวันผ่านพ้นไป ข้าจะไปรับพวกเจ้าเข้าชั้นในสำนักด้วยตัวเอง”
เรื่องเช่นนี้จริงๆ แล้วไม่ควรจะให้นายน้อยผู้สูงศักดิ์อย่างเขาเป็นคนจัดการ แต่มู่จิ่งหยวนอยากที่จะชดเชยให้พวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือรู้สึกไม่ไว้วางใจและไม่ต้องการให้ผู้อื่นสบโอกาส สิ่งที่จูนจิ่วพูดเมื่อครู่ ทำให้เขารู้สึกตกใจมากจริงๆ !
จูนจิ่วอุ้มเสี่ยวอู่ขึ้นมา แล้วหันไปพยักหน้าให้มู่จิ่งหยวน จากนั้นนางและชิงหยู่จึงเดินจากไป
เดินห่างออกไปสักระยะ ชิงหยู่ก็พูดขึ้นว่า : “ดูๆ ไปแล้วมู่จิ่งหยวนคนนี้น่าจะไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง”
“เขาเป็นคนดีจริง