บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 334 เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หอมจริงๆ
บทที่ 334 เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หอมจริงๆ
เมื่อกลับถึงห้องตนเอง จูนจิ่วก็รีบอาบน้ำทันที ! จากนั้นจึงหากะละมังให้เสี่ยวอู่หนึ่งใบ เพื่อให้มันอาบน้ำทำความสะอาดขนสีขาวของมันด้วยตัวเอง
จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นมองไปนอกหน้าต่าง ฟ้ามืดสนิทแล้ว มีพระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า จู่ๆ ใจก็เต้น จูนจิ่วหรี่ตาลง ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่พระจันทร์เต็มดวง โม่อู๋เยว่จะหาข้ออ้างเพื่อหลบซ่อนตัว ไม่รู้ว่าทำอะไรกันแน่
นางเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากถาม เพราะยึดหลักที่ว่าความอยากรู้อยากเห็นเป็นหนทางที่นำไปสู่ความตายได้ จูนจิ่วจึงระมัดระวังตัวมาโดยตลอด แต่ความระมัดระวังของนาง ก็ยังหนีไม่พ้นการที่โม่อู๋ เยว่มาเปิดเผยความลับนี้ต่อหน้านางด้วยตัวเอง
ด้านนอกมีการเคลื่อนไหว จูนจิ่วรีบลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่มาพันรอบตัวเอาไว้ จากนั้นจึงค่อยๆ เดินย่องออกไปอย่างเงียบๆ ตรงหน้ามีคนยืนส่ายหน้าอยู่พร้อมกับลมหายใจที่คุ้นเคย ปังปัง ! หัวใจของจูนจิ่วเต็มเร็วขึ้น นางถูกคนคนนั้นกอดเอาไว้ในอ้อมแขน
ออกแรงกอดแน่นจนเหมือนจะดูดนางเข้าไปในกระดูกก็ไม่ปาน จูนจิ่วยกมือขึ้นกดเข้าไปที่จุดฝังเข็มของโม่อู๋เยว่ ถึงทำให้เขายอมคลายแรงที่กอดรัดลงได้เล็กน้อย ทำให้ตนเองสามารถหายใจได้
จูนจิ่วขมวดคิ้ว : “อู๋เยว่ ? โม่อู๋เยว่ ?”
นางเงยหน้าขึ้นด้วยความยากลำบาก เห็นเพียงแค่คางที่สวยงามได้รูปของโม่อู๋เยว่เท่านั้น ผมสีเงินยุ่งเหยิงปล่อยสยายลงมา พาดลงเข้ากับผมสีดำของนางทำให้เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน จูนจิ่วรู้สึกได้ว่าหัวใจของโม่อู๋เยว่นั้นเต้นผิดปกติ ผิวหนังก็ค่อนข้างซีดเซียว เมื่อคิดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่โม่อู๋เยว่มักจะหายไปทุกครั้งในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ก็ทำให้จูนจิ่วใจเต้นรัว
หัวใจเหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะ จูนจิ่วยกมือขึ้นตบลงไปที่หลังของโม่อู๋เยว่ “อู๋เยว่ ท่านไม่สบายหรือเปล่า ? หรือว่าถูกพิษเข้า ? นี่ ท่านพูดหน่อยสิ……”
เสียงพูดหยุดลงอย่างกะทันหัน จูนจิ่วดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง เพราะว่าจู่ๆ โม่อู๋เยว่ก็ก้มหน้าลงมา แล้วอ้าปากกัดเข้าไปที่ไหล่ของนาง อุณหภูมิที่ร้อนถูกส่งผ่านเข้ามา ฟันกัดทะลุลงไปในชั้นผิวหนัง ทำให้รู้สึกเหมือนกับโดนไฟฟ้าช็อต
เหมียว !
เมื่อเสี่ยวอู่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็ปีนขึ้นมาจากกะละมัง เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ก็รีบยกมือขึ้นมาปิดตาทันที จากนั้นจึงส่งเสียงร้องเหมียวๆ ไม่หยุด วิ่งเร็วเข้า !
มันกระโดดออกมาจากหน้าต่าง แล้วสะบัดน้ำที่ติดอยู่บนขนออก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเหลิ่งยวนกำลังนั่งยองๆ อยู่ที่ประตูลานอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี เสี่ยวอู่รีบย่างเท้าไปหาทันที “เหมียว ?”
“เสี่ยวอู่ ทำไมเจ้าถึงออกมาข้างนอกล่ะ ? คงไม่ใช่ว่าเจ้านายของเจ้าไล่เจ้าออกมาหรอกนะ ? เจ้านายทำอะไรอยู่ข้างใน แม่นางจูนไม่เป็นไรใช่ไหม ?”
เหลิ่งยวนแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
เสี่ยวอู่เบือนหน้าหนีไม่ได้สนใจ พวกเขาทำเรื่องน่าอาย ทำไมเหลิ่งยวนจะต้องโศกเศร้าเสียใจเช่นนี้ด้วย คงจะไม่ได้ชอบโม่อู๋เยว่หรอกนะ ?”
ชู่ ! จู่ๆ เหลิ่งยวนก็ตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล มีความรู้สึกขมขื่นเกิดขึ้นในใจทันที เขาเหลือบไปมองเสี่ยวอู่ จากนั้นจึงหันกลับไปแล้วหยิบม้วนหนังสือหยกขึ้นมาเพื่อขอความช่วยเหลือ
เหลิ่งยวนรู้สึกหมดสิ้นหนทาง “ทำอย่างไรดี ? ยินหัน ตอนนี้เจ้านายอยู่ร่วมกับแม่นางจูนแล้ว !”
อีกฝั่งหนึ่งของม้วนหนังสือหยก ยินหันเหลือมองพระจันทร์เต็มดวงที่แขวนอยู่บนท้องฟ้า แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเยือกเย็นและไม่สะทกสะท้าน : “ขวางเจ้านายเอาไว้”
“เจ้าเอาจริงหรือ ? หากข้าเข้าไปตอนนี้ จะต้องถูกเจ้านายฉีกออกเป็นชิ้นๆ แน่”
“……”ยินหันพูดอะไรไม่ออก
พลังที่ดุร้ายรุนแรงเช่นนั้น แค่นักจิตตัวเล็กๆ อย่างจูนจิ่วไม่มีทางรับมือได้ไหวอย่างแน่นอน จะต้องถูกแรงของเจ้านายฉีกออกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน แต่ถ้าเข้าไปขวาง ชีวิตน้อยๆ ของเหลิ่งยวนดูท่าคงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงที่ฟังดูร้อนรนจนไม่รู้จะทำเช่นไรดีของเหลิ่งยวนดังออกมาจากอีกฝั่งของม้วนหนังสือหยก ยินหันก็เอ่ยปากพูดขึ้น
เขาพูดว่า : “ให้เชื่อมั่นในการควบคุมตนเองของเจ้านาย จากนั้นก็ให้ตีตัวเองให้สลบเสีย”
“ทำไมจะต้องตีตัวเองให้สลบด้วย ?” เหลิ่งยวนงง
ยินหัน:”เดาเองสิ” เมื่อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาจบ เขาก็ปิดม้วนหนังสือหยกอย่างไร้เยื่อใย จากนั้นยินหันก็ไม่ยอมเปิดอีก
ทำให้เหลิ่งยวนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของม้วนหนังสือหยกทำอะไรไม่ถูก เดาเอาเอง ? ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมา เหลิ่งยวนเข้าใจในทันที ความหมายของยินหันก็คือหากเขาตีตัวเองให้สลบ จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไร ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปแล้ว ! เป็นข้อเสนอที่ดี ทำเช่นนี้ดีที่สุด กลับไปจะต้องขอบคุณยินหันสักครั้ง
ดังนั้นเสี่ยวอู่จึงเห็นเหลิ่งยวนจู่ๆ ก็ยกมือขึ้นไปกดที่คอของตนเองด้วยความดีใจ จากนั้นเขาก็ทรุดลงแล้วหมดสติไป ใบหน้าของเสี่ยวอู่เต็มไปด้วยคำถาม โม่อู๋เยว่ ลูกน้องของเจ้าผิดปกติหรือเปล่า ?
……
ภายในห้อง จูนจิ่วแขนขาอ่อนแรง คว้าเสื้อของโม่อู๋เยว่เอาไว้ถึงจะสามารถยืนอยู่ได้โดยไม่ล้ม นางกัดฟันแน่น “โม่อู๋เยว่ ท่านกัดข้าทำไม !”
“เสี่ยวจิ้วเอ๋อร์ ข้าหิว”
“ท่านหิวก็เลยกัดข้า ?” จูนจิ่วหัวเราะ “ข้าไม่ใช่อาหารสักหน่อย ท่านคายข้าเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า ! ได้ยินไหม ?”
โม่อู๋เยว่ยอมปล่อยอย่างเชื่อฟัง เขาก้มหน้าลงไปดมที่คอของจูนจิ่ว จากนั้นจึงกระซิบที่ข้างหูของจูนจิ่วด้วยเสียงที่แหบพร่า : “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เจ้าช่างหอมจริงๆ ~~ข้าอยากจะกินเจ้า”
จ๊วบ !
จูนจิ่วหน้าแดงจนเป็นลูกแอปเปิล กัดฟันจนเสียงดังกรอบแกรบ ใจเย็นๆ ! โม่อู๋เยว่หน้ามืดตามัว หมอเทวดาอย่างจูนจิ่วจะถูกจัดการง่ายๆ ได้อย่างไร
จูนจิ่วใช้มือดึงเสื้อของโม่อู๋เยว่เอาไว้ จากนั้นจึงหยิบเข็มเงินออกมาจากช่องลับในสร้อยมือ แล้วจิ้มลงไปบนจุดฝังเข็มของโม่อู๋เยว่ แต่ดูเหมือนว่านี่จะไม่ได้ผล โม่อู๋เยว่วางหัวของเขาลงไปบนไหล่ของนาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่น้อยใจว่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เจ้าเอาเข็มมาทิ่มข้า ไม่ได้ ข้าจะต้องทิ่มกลับ !”
จูนจิ่ว : “? ?”
หลังจากนั้นจูนจิ่วก็พอจะเข้าใจแล้วว่าที่โม่อู๋เยว่พูดว่าจะต้องแทงกลับนั้นหมายถึงอะไร ห่างกันเพียงแค่ผ้าขนหนูกั้นผืนเดียว การสัมผัสถึงความผิดปกติได้อย่างชัดเจน ทำให้ใบหน้าของจูนจิ่วเหมือนถูกทาด้วยสีแดงทีละชั้นๆ จนสุดท้ายติ่งหูก็กลายเป็นสีแดงจนดูเหมือนกับจะมีเลือดไหลออกมา
“โม่อู๋เยว่ !” จูนจิ่วยื่นมือออกไปเพื่อที่จะจับไหล่ของโม่อู๋เยว่เอาไว้ เพื่อจะผลักเอาออกไป แต่มือยังไม่ทันจะได้สัมผัสกับไหล่ของโม่อู๋เยว่ ก็กลับสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างที่มีลักษณะแข็งคล้ายโลหะเสียก่อน มันคืออะไร ? จูนจิ่วผงะไป
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงของโม่อู๋เยว่เข้ามากระซิบข้างหูด้วยความน้อยใจ จู่ๆ โม่อู๋เยว่ก็ปล่อยนาง จากนั้นถึงถอยหลังไปสองก้าวแล้วคุกเข่าลง
เมื่ออยู่ห่างออกไป จูนจิ่วยิ่งมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น บนหลังของโม่อู๋เยว่ มีของที่ดูลึกลับบางอย่างพาดผ่านบริเวณไหล่ทั้งสองข้างของเขา เหมือนจะเป็นทองแต่ไม่ใช่ทอง บอกไม่ถูกว่าเป็นวัสดุชนิดใด แต่ของทั้งสองเช่นนี้ทำให้โม่อู๋เยว่ต้องทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ใบหน้าเริ่มซีดเผือด มีเหงื่อไหลอาบไปทั่วหน้าผาก
จูนจิ่วขมวดคิ้ว แล้วเดินเข้าไปช้อนคางของโม่อู๋เยว่ขึ้นมา แล้วมองเข้าไปในดวงตาสีทองคู่นั้น มองไม่เห็นวิญญาณชั่วร้ายเมื่อกับครั้งที่ผ่านๆ มา มีเพียงแต่ความโกรธแค้นและกระหายเลือดเท่านั้น แต่เมื่อมองเห็นจูนจิ่ว จู่ๆ แววตาคู่นั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา
โม่อู๋เยว่คว้าข้อมือของจูนจิ่วเอาไว้ “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์”
“ข้าอยู่นี่ ท่านต้องบอกข้าก่อนว่าที่ท่านเป็นแบบนี้เพราะของสองอย่างที่อยู่บนหลังท่านใช่ไหม ? ข้าจะช่วยท่านได้อย่างไรท่านถึงจะดีขึ้น ?”
แววตาอันแหลมคมของจูนจิ่วสามารถสังเกตเห็นได้ทันทีว่า ของสองสิ่งที่ต่างหากที่เป็นตัวการ ! เป็นเพราะพวกมันที่ทำให้โม่อู๋เยว่ต้องคอยหลบหน้านางทุกครั้งที่พระจันทร์เต็มดวง
ทำไมวันนี้โม่อู๋เยว่ถึงไม่หลบซ่อนตัว มิหนำซ้ำยังมาหานางอีก จูนจิ่วไม่รู้ นางรู้เพียงว่านางอยากจะช่วยโม่อู๋เยว่
ข้อมือของนางถูกกำไว้แน่น โม่อู๋เยว่ออกแรงดึงจูนจิ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน แล้วพูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า : “เช่นนั้นก็ดี เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ ให้ข้ากอดเจ้าเอาไว้ก็พอแล้ว ช่างหอมจริงๆ” โม่อู๋เยว่สูดดมไปมารอบคอของจูนจิ่ว ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
มีเพียงจูนจิ่วที่ทำสีหน้าเบื่อหน่าย มือที่กางออกไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดี
เมื่อครู่……ดูเหมือนว่าผ้าขนหนูของนางจะหล่นลงไปแล้ว ถึงแม้ตอนนี้โม่อู๋เยว่จะร้อนไปทั้งตัวจนนางไม่มีทางหนาวได้ แต่ทว่า จูนจิ่วก็สูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วพูดว่า : “อู๋เยว่ ท่านปล่อยข้าให้ข้าใส่เสื้อผ้าก่อนได้ไหม ?”
“ไม่ปล่อย”