บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 355 แข่งขันกันอย่างนี้จึงจะมีแรงกระตุ้น
บทที่ 355 แข่งขันกันอย่างนี้จึงจะมีแรงกระตุ้น
ไม่พูดถึงความต่างระหว่างระดับชั้น จูนจิ่วฆ่าผางชิงเยว่เมื่อไหร่ แต่หลังจากตะลึงแล้ว มู่จิ่งหยวนยังไม่ทันได้รอให้จูนจิ่วกับชิงหยู่พูดถึงรายละเอียด เขาก็ได้สติคืนมา หรี่ตาลง สีหน้าของมู่จิ่งหยวนเคร่งขรึมขึ้นมา “ข้ารู้แล้ว ตอนที่มีการแข่งขันทั้งห้าสำนักใช่หรือไม่ ”
“ใช่ ศิษย์พี่มู่ก็รู้จักการแข่งขันทั้งห้าสำนักด้วยหรือ ”ชิงหยู่พยักหน้า จากนั้นก็มองมู่จิ่งหยวนอย่างแปลกใจ มู่จิ่งหยวนรู้ได้อย่างไร
มู่จิ่งหยวน “ข้าย่อมต้องรู้ อีกอย่างยังรู้มากกว่าที่พวกเจ้าคิดอีก อย่าลืมสิว่าข้าเป็นนายน้อยของสำนักศึกษาไท่ชูนะ อาจารย์ได้ให้คนไปตรวจสอบเรื่องสองสำนักสิบแคว้น ข้ารับรู้ทั้งหมด”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี้เอง”
จูนจิ่วไม่ได้พูดเสริมอะไร นางมองมู่จิ่งหยวน แล้วก็เห็นชิงหยู่เหมือนจะคิดได้ทันทีไม่มีวี่แววที่จะคิดมากเลยสักนิด แววตาของจูนจิ่วก็เคร่งขรึมลง นางรู้สึกว่ามู่จิ่งหยวนรู้ตั้งแต่ก่อนจะไปตรวจสอบแล้ว แล้วเขารู้ได้อย่างไรกัน
ครึ่งคืนแรกก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย ครึ่งคืนหลังมู่จิ่งหยวนเฝ้ายามให้จูนจิ่วกับชิงหยู่พักผ่อน
พรุ่งนี้หลังจากเข้าป่าตงผิงแล้ว อยากจะพักผ่อนอย่างสบายๆก็คงยาก
คืนที่หนึ่งผ่านไป แสงอรุณค่อยๆสาดส่อง จูนจิ่วก็ถูกเสี่ยวอู่เลียจนตื่น อย่าว่าแต่เสี่ยวอู่จะใช้แค่ปลายลิ้นอ่อนๆที่ไม่มีหนาม ตอนที่เลียก็ยังให้ความรู้สึกขันยิบๆ ยกมือขึ้นลูบแมว จูนจิ่วลุกขึ้นนั่งแต่มองไม่เห็นมู่จิ่งหยวน
เสี่ยวอู่ส่งเสียงแห่บต่ำเหมียวๆ“เหมียว เจ้านาย มู่จิ่งหยวนถูกลูกศิษย์ของสำนักศึกษาไท่ชูเรียกตัวไปแล้ว ”
เอ๋ จูนจิ่วเลิกคิ้ว เสี่ยวอู่กระโดดออกจากอ้อมอกนาง เอียงหัวกวักมือแมว จูนจิ่วลุกขึ้นเดินตามเสี่ยวอู่ ตรงหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเห็นมู่จิ่งหยวนถูกลูกศิษย์สำนักศึกษาไท่ชูกลุ่มหนึ่งล้อมเอาไว้
นางเงี่ยหูแอบฟัง ไม่แปลกใจที่จะได้ยินเหล่าลูกศิษย์พวกนี้พูดถึงนางกับชิงหยู่ในทางไม่ดี ไม่มีคำพูดดีๆสักคำ ใช้คำศัพท์ที่ฟังแล้วสกปรกที่สุดในการเปรียบเปรยพวกเขา เพื่อให้มู่จิ่งหยวนล้มเลิกความคิดที่จะเป็นกลุ่มเดียวกับพวกเขา จูนจิ่วได้ยินพวกเขาพูดว่า “นายน้อย พวกเขาจะเป็นภาระท่านเสียเปล่า ”
“ใช่แล้ว นายน้อย จูนจิ่วมีวิชามาร ระวังนางอาจจะวางยาควบคุมท่าน นายน้อยอย่าไปเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขาเลย”
“ไม่ผิด เป็นไปได้ว่าตอนนี้นายน้อยอาจจะถูกนางชั้นต่ำนั้นลงมือแล้วก็ได้ จึงได้เข้าร่วมกลุ่มกับนาง ไม่ได้ นายน้อยต้องรีบปฏิเสธพวกเขาเดี๋ยวนี้เลย ต้องออกห่างจากพวกเขา”
……
เสี่ยวอู่ได้ยินก็ข่วนเล็บขู่คำราม อดไม่ได้ที่คิดอยากจะพุ่งเข้าไปข่วนให้พวกเขาหน้าลาย
โมโหจนขนลุกชันขึ้น เสี่ยวอู่พูดว่า “น่าโมโหนัก แม้จะรู้ว่าพวกเขาถากคนอื่นใช้เป็นเครื่องมือ แต่ก็ยังน่าโมโหจริงๆ เจ้านายพวกเราต้องให้บทเรียนพวกเขานะ ใส่ร้ายผู้อื่นนั้นต้องชดใช้นะ”
“อืม”จูนจิ่วตอบเรียบๆ นางใช้หลังพิงต้นไม้เอาไว้ กอดอกเลิกคิ้วขึ้น นางแปลกใจในคำตอบของมู่จิ่งหยวนมากกว่า
ฟังเหล่าลูกศิษย์พูดคนละคำสองคำยาวเป็นหางว่าว ที่สุดมู่จิ่งหยวนก็ยกมือขึ้นหยุดพวกเขา เขายืนอย่างสง่า ท่าทีสูงส่งน่าเกรงขาม แต่ตอนนี้ได้ขมวดคิ้วมองเหล่าลูกศิษย์ ใบหน้าเผยแววไม่ชอบใจออกมาอยู่นิดหน่อย
มู่จิ่งหยวนพูดว่า “ข้าย่อมมีวิธีของข้า พวกเจ้าไม่ชอบจูนจิ่วกับชิงหยู่ แล้วมีใครบอกได้ไหมว่าพวกเจ้าสู้พวกเขาได้ หากพวกเจ้าสู้ได้ ข้าก็จะเป็นกลุ่มเดียวกับพวกเจ้า ”
พวกเขาล้วนเป็นคนที่เคยถูกจูนจิ่วกับชิงหยู่สั่งสอนมาแล้ว คิดอยากจะสร้างเรื่องโกหกมู่จิ่งหยวนก่อน แต่บอกได้เลยว่าจุดจบของการโกหกนั้นน่าอนาถนัก ถ้าเกิดว่ามู่จิ่งหยวนให้พวกเขาทดสอบพลังที่แท้จริงของตนตั้งแต่ตอนนี้เล่า
เห็นท่าทีตอบสนองของเหล่าลูกศิษย์ มู่จิ่งหยวนก็สีหน้าเย็นชาลงไปอีก พูดต่อไปว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าดูถูกสถานะของจูนจิ่วกับชิงหยู่ แต่แล้วมันเป็นอย่างไร โลกนี้นั้นวัดกันที่พลังที่แท้จริง เมื่อไหร่ที่แข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายค่อยมาคุยกัน”
“นายน้อยพวกเรา……”
“พอแล้วกลับไปให้หมด ถ้าขืนยังพูดเรื่องที่ทำให้ข้าไม่พอใจ พวกเจ้าจะได้ไปเก็บตัวที่หลังภูเขา”เมื่อพูดคำนี้ออกไป เหล่าลูกศิษย์ก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก รีบวิ่งหนีไปอย่างน่าอนาถ
มองพวกเขาไปไกลแล้ว มู่จิ่งหยวนก็คำรามเสียงเย็น เขาหมุนตัวเงยหน้ามองจูนจิ่ว
อึ้งๆชั่วครู่ก็เผยรอยยิ้มอ่อนๆ ขยิบตา มู่จิ่งหยวนเปิดปากพูดว่า“ได้ยินหมดแล้วสินะ ”
จูนจิ่วพยัหหน้า
มู่จิ่งหยวนเดินไปทางนาง เอ่ยอย่างปลอบใจว่า “บนโลกนี้มีคนที่คอยเยอะเย้ยดูถูกผู้อื่นนั้นมากนัก ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ รอให้เจ้ายิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว ค่อยตบหน้าพวกเขา”
“ข้าไม่เคยใส่ใจสักนิด แต่ว่าข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ อยากขอให้ศิษย์พี่มู่ช่วยให้คำตอบด้วย”
มู่จิ่งหยวน “เรื่องอะไร เจ้าพูดเถอะ”
จูนจิ่วมองมู่จิ่งหยวนด้วยสายตาเรียบเฉย ใบหน้านางเย็นชาไร้ความรู้สึกใดๆ
แต่กลับทำให้มู่จิ่งหยวนรู้สึกอันตรายราวกับจะถูกมองจนทะลุอย่างไรก็ไม่รู้ เขาตื่นเต้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ มีเหงื่อผุดขึ้นที่ฝ่ามือ มู่จิ่งหยวนฟังที่จูนจิ่วพูด
จูนจิ่ว“ศิษย์พี่มู่ไม่เคยเห็นข้ากับศิษย์พี่มาก่อน แต่เหมือนว่าท่านจะรู้จักพวกข้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะตอนที่เจอกันครั้งแรก ก็เชื่อและช่วยเหลือพวกเราอย่างไร้เงื่อนไข เพราะอะไร”
“หากข้าจะบอกว่าถูกชะตาล่ะ”
จูนจิ่วเลิกคิ้วกอดอก สีหน้าเต็มไปด้วยคำถามว่าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ มู่จิ่งหยวนไอแห้งๆ ช่วยไม่ได้ก็คงต้องพูดความจริงแล้ว
เขาบอกกับจูนจิ่วว่า “เจ้าน่าจะจำฝู้หลินจ้านกับฝู้หลินซวงได้กระมัง พวกเขาเคยเจอเจ้า อีกทั้งกลับมาแล้วยังเอาแต่ชมเจ้าไม่ขาดปาก โดยเฉพาะฝู้หลินจ้าน ข้าไม่เคยเห็นเขาจะเอ่ยชื่อผู้หญิงคนไหนอย่างตื่นเต้นมาก่อน ฉะนั้นก็เลยแปลกใจ พอกลับมาก็เจอเข้ากับพวกเจ้า ”
เรื่องหลังจากนั้น มู่จิ่งหยวนก็ไม่ได้พูดอีก เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะเปรียบเทียบอย่างไร ถึงความรู้สึกแปลกใจที่เจอกันครั้งแรก จากนั้นก็ได้เห็นฝีมือของจูนจิ่วก็ยิ่งชื่นชมเข้าไปใหญ่ บวกกับความรู้สึกดีๆในตอนนี้
เสี่ยวอู่พูดอยู่ในอกของจูนจิ่ว ที่แท้ก็เป็นเพราะฝาแฝดคู่นั้นนี่เอง
จูนจิ่วไม่ได้ลืม เป็นฝาแฝดคู่นั้น เตือนนางให้ระวังสำนักศึกษาทั้งสามจะเอาผิดนาง นางก็ได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว พูดได้เลยว่าคำเตือนของฝาแฝดนั้นมีเหตุผลมาก นางติดหนี้บุญคุณพวกเขา สำหรับมู่จิ่งหยวนที่เปรียบเปรยท่าทีของฝู้หลิงจ้านนั้น นางจะทำเสียว่าไม่ได้ยิน
นางมองมู่จิ่งหยวนเปิดปากพูด“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาไหนกัน ”
“จื่อเซียว ในงานล่าสัตว์ทิพย์ครั้งนี้หากมีวาสนา คงจะได้เจอพวกเขา ”มู่จิ่งหยวนเพิ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงพลุดังขึ้นจากที่ไกลๆ มู่จิ่งหยวนเงยหน้ามองไป เอ่ยขึ้นว่า “รวมตัวแล้ว พวกเราต้องกลับไปแล้ว ”
“อืม”
ตอนที่พวกเขากลับไป ชิงหยู่ตื่นแล้วกำลังเดินตามหาคน เขาเห็นจูนจิ่วกับมู่จิ่งหยวนเดินออกมาพร้อมกันจากป่า สายตาคมดุจดาบเกือบจะฟันมู่จิ่งหยวนเป็นท่อนๆ
ก้าวเท้าก้าวใหญ่ๆเข้าไป ชิงหยู่เบียดเข้าไประหว่างจูนจิ่วกับมู่จิ่งหยวน เขามองจูนจิ่วอย่างจริงจังแล้วถามจูนจิ่ว “ศิษย์น้องเป็นอะไรหรือไม่ ”
จูนจิ่ว “ไม่มีอะไร ไปเถอะ พวกเราไปรวมตัว งานล่าสัตว์ทิพย์จะเริ่มแล้ว ”
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาไท่ชูรวมตัวกัน ผู้อาวุโสรองเป็นผู้ดูแลงานล่าสัตว์ทิพย์ในครั้งนี้ ยืนอยู่บนเวทีสูง ผู้อาวุโสรองเปิดปากพูดถึงกติกาในการล่าสัตว์ทิพย์ให้พวกเขาฟัง กติกามีสามข้อ แต่ละข้อโหดร้ายนัก แค่ได้ยินก็สามารถจินตนาการถึงภาพที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและความโหดร้าย
จูนจิ่วแววตาเย็นชา มุมปากมีรอยยิ้มกระหายเลือด
การแข่งเช่นนี้ จึงจะเรียกว่ามีแรงกระตุ้นน่าตื่นเต้น