บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 357 เสี่ยวอู่ดุขนาดนั้นเชียว
บทที่ 357 เสี่ยวอู่ดุขนาดนั้นเชียว
เห็นจูนจิ่ววางใจให้แมวของตัวเองออกไปเผชิญกับลิงปากนิกอินทรีหางเสือดาวชั้นสาม มู่จิ่งหยวนก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างเป็นห่วง แต่ภาพนั้น ทำให้มู่จิ่งหยวนนิ่งอึ้งไป
ไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้เลยสักนิดเดียว
เสี่ยวอู่สู้กับลิงปากนกอินทรีหางเสือดาวชั้นสาม ไม่เพียงแต่จะไม่เผยความอ่อนแอ กลับมีความดุดันมากกว่าปกติ ร่างสีขาวปราดเปรียวหลบหลีกการโจมตีและลอบกัดของลิงปากอินทรีหางเสือดาว ใช้ความเร็วดุจสายฟ้าเพื่อหลบหลีก ราวกับกำลังปล่อยว่าวอย่างไรอย่างนั้นคอยชักนำลิงปากอินทรีหางเสือดาว
ป้าบ
ลิงปากอินทรีหางเสือดาวโมโหสุดขีด ร้องคำรามขึ้นพร้อมสะบัดหางฟาดลงไป เสี่ยวอู่ไม่เพียงจะไม่หลบ แต่กลับอ้าปากงับเข้าให้ มู่จิ่งหยวนสูดลมหายใจเข้าลึก โหดขนาดนี้ยังเป็นแมวอยู่หรือ
ฉากที่ยิ่งทำให้ตกตะลึงเกิดขึ้นแล้ว เสี่ยวอู่กัดไปคำเดียวก็ทำให้หางของลิงปากอินทรีหางเสือดาวขาดทันที หางขาดแล้ว เจ็บปวดจนลิงปากอินทรีหางเสือดาวร้องไม่หยุด กระโดดโหยงไปมา ลิงปากอินทรีนางเสือดาวคลั่งจนอ้าปากคายพายุหมุนเป็นระลอกใส่เสี่ยวอู่ พายุนี้ยิ่งกว่าการโจมตีเพื่อเอาชีวิตของนักจิตระดับสาม ทางที่พายุพัดผ่านแม้แต่รากของต้นหญ้าก็ถูกถอนออกมา ต้นไม้ใหญ่ก็หักโค่นกลางลำต้น
เสี่ยวอู่เงยหน้าขึ้นอย่างจองหอง ไม่กลัวสักนิด มันยกขาขึ้นตบลงบนพื้นหนักๆ เงาร่างเกือบจะกลายเป็นลูกศรสีขาวแหลมคมที่พุ่งทะลุผ่านพายุไป นอกจากขนที่ถูกพัดจนยุ่งเหยิง ก็ไม่มีบาดแผลอะไรเลยสักนิด
อุ้งเท้ามีกรงเล็บกางออกมา เสี่ยวอู่พุ่งตรงเข้าไปอย่างรวดเร็วอย่างไร้เงาข่วนจนหน้าของลิงปากอินทรีหางเสือดาวเต็มไปด้วยเลือด กรงเล็บสุดท้าย ข่วนจนตาของลิงปากอินทรีหางเสือดาวบอด พอถึงตรงนี้ สถานการณ์ทั้งหมดก็เปลี่ยนไป ลิงปากอินทรีหางเสือดาวได้รับบาดเจ็บจนการตอบสนองช้าลง เสี่ยวอู่ข่วนจนมันกลายเป็นลิงตัวลายไปแล้ว
นี่มันไม่เหมือนกับการต่อสู้อย่างดุเดือดเลือดสาดเลย แต่เหมือนกับกำลังล้อเล่นกับของเล่นอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายเสี่ยวอู่เล่นจนพอใจแล้ว ยกอุ้งเท้าสีขาวดุจหิมะขึ้นตบไปยังลิงปากอินทรีหางเสือดาว ปัง
รูปร่างของลิงปากอินทรีหางเสือดาวใหญ่กว่าเสี่ยวอู่ห้าเท่า แต่กลับถูกเสี่ยวอู่ตบจนปลิวออกไปในครั้งเดียว จนชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่สองต้นหักจึงหยุดลง กระดูกสันหลังของลิงปากอินทรีหางเสือดาวหักทันที ร้องอย่างเจ็บปวดสองเสียงแล้วก็ตายทันที และเสี่ยวอู่ก็ส่ายหาง ยืดเอวด้วยความเกียจคร้านแล้วกลับมาอย่างมีชัย
ป้าบๆๆ ชิงหยู่ปรบมือ “เสี่ยวอู่ยอดเยี่ยมมาก”
มู่จิ่งหยวน เกรงว่าที่เขาเจอจะเป็นแมวปลอม เสี่ยวอู่ดุดันโหดร้ายกว่าเสือเสียอีก
ก่อนอื่นนี่คือนิยามที่ให้กับเสี่ยวอู่ที่ดุดัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงออดอ้อนเข้าหูมา
“เหมียว”ก้มมองดู มู่จิ่งหยวนมุมปากกระตุก เมื่อครู่ยังเป็นแมวที่ดุร้ายโหดเหี้ยมอยู่เลย ตอนนี้กลับเดินไปอ้อนจูนจิ่วคอยเลียแข้งเลียขา กระทั่งล้มตัวลงหงายท้องขาวๆขึ้นเพื่อขอให้ลูบท้อง
นี่เจ้าเป็นแมวที่ดุขนาดนี้ ยังมียางอายหรือไม่
ได้รับการลูบท้องจากจูนจิ่ว ก็หรี่ตาลงอย่างสบายอกสบายใจ ยางอายคืออะไร สำคัญกว่าความเอ็นดูจากเจ้านายหรือ
มู่จิ่งหยวนมองจูนจิ่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ศิษย์น้องจูน เสี่ยวอู่คงไม่ใช่แมวธรรมดากระมัง”
“อืม”จูนจิ่วตอบรับ มู่จิ่งหยวนอึ้ง เสี่ยวอู่ก็นิ่งไป คนแรกคือไม่คิดว่าจูนจิ่วจะยอมรับ ส่วนตัวหลังนั้นกลัวจนเกร็งใช้กรงเล็บเกาะมือของจูนจิ่วไว้แน่นไม่ปล่อยเกรงว่าการปลอมตัวของตัวเองจะถูกเปิดเผย
ลูบหัวแมวหนึ่งที จูนจิ่วพูดว่า “เสี่ยวอู่น่าจะเป็นแมวที่แตกต่างจากแมวทั่วไป ไม่ใช่สัตว์ทิพย์ แต่พลังการต่อสู้ไม่น้อยกว่าสัตว์ทิพย์ บางทีบรรพบุรุษของมันอาจมีสายเลือดร้ายกาจของสัตว์ทิพย์ก็ได้”
มู่จิ่งหยวน “ฮ่าๆๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
แม้ว่าจะยิ้ม มู่จิ่งหยวนก็ยังรู้สึกเจ็บปวดใจ ใบหน้าก็มีแววตื่นตกใจอยู่บ้าง เมื่อครู่เขายังกังวลอยู่เลยว่าเสี่ยวอู่จะถูกลิงปากอินทรีหางเสือดาวตีตาย ตอนนี้รู้สึกเจ็บชาที่หน้ามาก แต่นี่ไม่โทษเขา ใครจะไปรู้ว่าแมวสีขาวปุกปุยดุจหิมะนี้ จะดุร้ายโหดเหี้ยมขนาดนี้
ขณะเดียวกันก็ทำให้มู่จิ่งหยวนรู้สึกสงสัยในโลกใบนี้
เหมียว เสี่ยวอู่ผ่อนกรงเล็บตัวอ่อนลง ทำเอาแมวตกใจแทบตาย เสี่ยวอู่กลับไม่รู้ตัวเลยว่ามันได้เปิดเผยตัวจริงตั้งนานแล้ว แต่ที่จูนจิ่วอธิบายไปตอนนี้ก็เพื่อทำให้มู่จิ่งหยวนสับสนเท่านั้นเอง เทียบกับเมื่อก่อน พลังการต่อสู้ของเสี่ยวอู่เพิ่มขึ้นมามาก นางต้องหาเหตุผลที่ฟังขึ้นในการอธิบาย เพื่อป้องกันไม่ให้เขาคิดไม่ดีกับเสี่ยวอู่
ตอนนี้เองที่ชิงหยู่กลับมาจากการจัดการกับร่างของลิงปากอินทรีหางเสือดาว เขาแอบส่งสายตาให้กับทั้งสองคน ชิงหยู่ส่งเสียงไปว่า “มีคนสะกดรอยตาม”
คนที่ตามอยู่ข้างหลังนั้นเชี่ยวชาญเรื่องสะกดรอยมาก สะกดรอยไม่ปกติ ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่รับรู้ แต่เมื่อครู่เสี่ยวอู่ฆ่าลิงปากอินทรีหางเสือดาวทำให้เขาตกใจ ฉะนั้นจึงทำให้เปิดเผยจนชิงหยู่จับได้ เป็นใครสะกดรอยตาม จูนจิ่วไม่ต้องเดาก็นึกออก เห็นมู่จิ่งหยวนขมวดคิ้ว หมุนตัวจะไปจับตัวคนที่สะกดรอยตาม จูนจิ่วเอ่ยขึ้น “อย่าเพิ่งสนใจเขา ให้เขาตามอยู่ข้างหลัง ดูสิว่าเขามีจุดประสงค์อะไร”
“อย่าเพิ่งสนใจ”
“อืม”จูนจิ่วพยักหน้า งานล่าสัตว์ทิพย์เริ่มแล้ว ไปตามจับตอนนี้ก็เหมือนแหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่สู้เลี้ยงไว้อย่างนี้อีกหน่อย นางคิดว่ารอให้ถึงเวลาที่สมควรแล้วค่อยถอนรากถอนโคน
อีกอย่างที่นี่ยังเป็นรอบนอกของป่าตงผิง จัดการไปหนึ่งคนก็ง่ายที่จะมีคนต่อไปสะกดรอยตามอีก ไม่สู้เข้าสู่ป่าลึกในป่าตงผิงแล้ว พื้นที่มีความเสี่ยง สัตว์ทิพย์มีมาก คิดอยากจะสะกดรอยตามก็ยาก จึงจะสามารถจัดการได้ในคราเดียว จูนจิ่วบอกความคิดของตนเองกับทั้งสองคน ไม่แปลกใจ ทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้
ไม่สนใจคนสะกดรอย พวกเขาเดินหน้าต่อไป
ตลอดทางก็เจอกับสัตว์ทิพย์ อ่อนหน่อยก็ให้เสี่ยวอู่จัดการ ที่ร้ายกาจก็ให้พวกจูนจิ่วเขาเวียนกันจัดการ แม้ว่าในกลุ่มจะมีแค่สามคนกับหนึ่งแมว แต่ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างมู่จิ่งหยวน นักจิตใหญ่ชั้นสอง ถัดมาคือชิงหยู่นักจิตชั้นแปด และจูนจิ่วนักจิตชั้นสี่ แล้วยังมีแมวผิดปกติอีกตัวหนึ่ง ตลอดทางที่พวกเขาเดินผ่านเจออะไรขวางหน้าก็ฆ่าให้เรียบ เลือดสาดกระจาย หลายครั้งที่ทำให้คนสะกดรอยตามตกใจจนเผยตัวออกมาอยู่หลายครั้ง
เขายังคิดว่าโชคดีที่หลายครั้งนี้ยังไม่ถูกจับได้ แต่ไม่รู้เลยว่าพวกจูนจิ่วเขารอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
หลังจากผ่านไปสามวัน พวกเขาฝีเท้าเร็วสุดได้เข้าสู่จุดที่ลึกที่สุดในฝ่าตงผิงแล้ว จูนจิ่วกับชิงหยู่ มู่จิ่งหยวนต่างสบตาส่งสัญญาณแก่กัน ได้เวลาจัดการกับหางน้อยๆที่ติดตามมาแล้ว
ขณะที่คนสะกดรอยกำลังจดจ่ออยู่กับการมองพวกจูนจิ่วร่วมมือกันฆ่าสัตว์ทิพย์ระดับหกตัวหนึ่ง ก็รู้สึกตาลายกะทันหัน ทันใดนั้นตรงนั้นก็เหลือเพียงมู่จิ่งหยวนคนเดียว คนสะกดรอยตระหนกในใจ หัวใจเต้นแรงร้องขึ้นว่าไม่ดีแล้ว เขาได้ยินเสียงเย็นส่งมาจากลำคอของจูนจิ่ว เย็นเข้ากระดูก “กำลังหาพวกเข้าหรือ”
จึก
ไม่กล้าหันกลับไป ผู้สะกดรอยตามวิ่งตรงไปข้างหน้า ยังไม่ทันก้าวได้สองก้าว ชิงหยู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ายกขาขึ้นหนึ่งข้างเตะไปที่หน้าอกเขาหนึ่งที
เสียงดังปัง คนที่สะกดรอยตามร้องอย่างอนาถกลิ้งไปมาหลายรอบก่อนจะหยุดลง ยังไม่ทันได้ลุกขึ้น เสี่ยวอู่ก็กระโดดขึ้นไปอยู่บนอก อุ้งเท้ามีกรงเล็บกางออกมาก เสี่ยวอู่ยกกรงเล็บวางไว้บนลูกตาของคนที่สะกดรอยตาม ขอแค่เข้าใกล้อีกนิดเดียว ก็สามารถทิ่มให้ตาบอดได้แล้ว
คนสะกดรอยตามตกใจจนตัวสั่น ไม่กล้าขยับเขยื้อน เขาเคยได้เห็นความดุดันของเสี่ยวอู่มากับตาแล้ว
มู่จิ่งหยวนตอนนี้ก็จัดการกับสัตว์ทิพย์ระดับหกเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามเดินเข้ามาล้อมคนที่สะกดรอยตามเอาไว้ จูนจิ่วมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “บอกมา ใครใช้ให้เจ้ามา ”นางได้เดาไว้แล้วว่าเบื้องหลังคือใคร แต่นางไม่จำเป็นต้องพูด ให้คนสะกดรอยตามพูดออกมาเองกับปาก จะทำให้มู่จิ่งหยวนเลิกสงสัยมากกว่าให้นางพูดออกไปเอง
คนสะกดรอยตามลังเลอยู่สักครู่ กรงเล็บของเสี่ยวอู่เข้าใกล้อีกนิด คนสะกดรอยตามตัวสั่นรีบเปิดปากพูดว่า “ข้าพูดแล้ว ข้าพูดแล้ว ”