บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 382 เซ่หยิ่งหรือว่าเสี่ยวหยิ่ง
บทที่ 382 เซ่หยิ่งหรือว่าเสี่ยวหยิ่ง
เดิมทีสุสานก็มีบรรยากาศวังเวงเศร้าสร้อย จู่ๆก็เข้าสู่ความหนักอึ้งผิดปกติอย่างกะทันหัน ยิ่งบวกกับความรู้สึกมืดมน เสี่ยวอู่ที่อยู่ในอ้อมอกของจูนจิ่วยังรู้สึกได้ถึงความหนาว ยิ่งขดตัวเองให้เป็นก้อนกลมสีขาวแน่นขึ้น ซุกไปกับอกของจูนจิ่วมากขึ้น
จูนจิ่วมองสีหน้าของญาณสุสาน ไอแห้งๆเสียงหนึ่ง “หากท่านไม่ใช่ แล้วจะทำสัญญาแลกเปลี่ยนทำไม”
“เพราะข้าถูกอ๋องเซ่หยิ่งขังเอาไว้ที่นี่”พูดถึงอ๋องเซ่หยิ่ง น้ำเสียงของญาณสุสานมีความซับซ้อนและเคียดแค้นอยู่หลายส่วน เขาพูดต่อไปว่า “ข้าถูกขังไว้ที่นี่เพื่อเฝ้ามรดกของเขา ขอแค่มรดกมีผู้สืบทอด ข้าก็จะออกไปได้ แต่ก่อนที่ข้าจะออกไป ต้องมีคนพาข้าออกไปเท่านั้น ”
ในสถานการณ์ปกติ เขาทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับผู้รับมรดกก็พอ แต่เขาปฏิเสธที่จะทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับชิงหยู่
ผู้ชายหยาบกระด้างขนาดนั้น ไหนเลยจะดีกว่าหญิงสาวที่สวยงามไร้ที่ติ หากไม่ใช่เพราะถูกใจจูนจิ่วแต่แรกเห็น เขาคงไม่เสียสละตัวเองในการยั่วยวนนาง แม้ว่าแผนจะล้มเหลว ตอนนี้แผนที่สองของเขา ต้องสำเร็จแน่
ญาณสุสานเก็บซ่อนความในใจของตัวเองไว้ เขาพูดกับจูนจิ่วว่า “นอกจากมรดกของอ๋องเซ่หยิ่ง ในสมองข้ายังมีวิชาลับมากมาย เจ้าทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับข้า ขอเพียงหลังทำสัญญาแค่หนึ่งวัน ข้าจะสอนเจ้าทุกวัน เจ้าไม่ต้องสงสัย ข้ามีความรู้ในโลกของราชาทิพย์ สอนเจ้าได้ไม่เลวแน่ ข้ายังขอสัญญาว่า เรียกเมื่อไหร่ก็มาเมื่อนั้น ไม่อู้เด็ดขาด”
ได้ยินดังนี้ จูนจิ่วก็ไม่ได้ตอบตกลงกับญาณสุสานทันที
นางใช้สายตาเย็นจ้องญาณสุสานอย่างชั่งใจ มีวิชาความรู้ในโลกราชาทิพย์ เช่นนั้นก็แสดงว่า ก่อนญาณสุสานเกิดต้องมีพลังของโลกราชาทิพย์ แต่ทำไมเขาจึงถูกอ๋องเซ่หยิ่งขังไว้ที่นี่เพื่อเป็นญาณสุสาน นี่มันเป็นปัญหาที่ยากจะไขได้ จูนจิ่วก็แค่อยากรู้เท่านั้นเอง
ญาณสุสาน “เป็นอย่างไร ยกตัวอย่าง ข้าสามารถสอนวิชาค่ายกลให้เจ้า เหมือนที่พวกเจ้าต่อกรกับมังกรสำริดที่ตำหนักมังกร และก็เหมือนกับด่านมังกรยักษ์สำริด ข้าสอนเจ้าได้หมด”
จูนจิ่วรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่นางยังคงไม่ลดความระแวง จูนจิ่วเอ่ยขึ้นว่า “เงื่อนไขที่ท่านจะทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับข้าคืออะไร คงไม่ง่ายดายแค่การที่จะให้ข้าพาท่านออกจากที่นี่กระมัง ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าอยากจะไปที่ชั้นกลางสามชั้น ขอเพียงเจ้าพาข้าไปที่ชั้นกลางสามชั้น ก็พอแล้ว”
เขาอยากไปที่ชั้นกลางสามชั้น
จูนจิ่วไม่ได้ถามถึงเหตุผลกับญาณสุสาน นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็พยักหน้าเห็นด้วย “ได้”ชั้นกลางสามชั้น นางจะไปแน่นอน แค่ระหว่างทางต้องพาคนไปเพิ่มอีกคน ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร ทำการแลกเปลี่ยน นางคงสามารถฝึกหลายสิ่งที่น่าสนใจได้จากตัวของญาณสุสาน เช่นด่านค่ายกลสำริด ทำให้จูนจิ่วรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก
หลังจากจูนจิ่วพยักหน้าเห็นด้วย ญาณสุสานก็ซาบซึ้งดีใจมาก เขาก็รีบบอกกล่าวถึงขั้นตอนในการทำสัญญาแลกเปลี่ยนทันที
ได้รู้แล้วว่าสัญญาแลกเปลี่ยนนั้นเป็นธรรมแน่นอน อีกอย่างก็คือเงื่อนไขที่พวกเขาเพิ่งพูดไป จูนจิ่วก็ไม่มีความเห็นอื่น เพียงแต่ตอนที่เริ่มทำสัญญาแลกเปลี่ยน ญาณสุสานหยุดลง เขากัดริมฝีปากบางของตัวเอง ใบหน้าสวยงามก็เผยแววสับสนงุนงงอยู่หลายส่วน ญาณสุสานเงยหน้ามองจูนจิ่ว “ข้าไม่มีชื่อ ไม่มีชื่อ สัญญาแลกเปลี่ยนก็ทำไม่ได้”
“ชื่อของท่านล่ะ”
ญาณสุสานนิ่งเงียบไม่ตอบ เขามีชื่อ แต่ไม่สามารถบอกจูนจิ่วได้ ถ้าบอกไป ทุกคนต้องรู้ฐานะที่แท้จริงของเขาแน่ ดวงตาของเขากลอกไปมา มุมปากของญาณสุสานก็หยักขึ้น เขาพูดว่า “จูนจิ่ว เจ้าจะตั้งชื่อให้ข้าได้หรือไม่ ”
“เซ่หยิ่ง”
ญาณสุสานตัวแข็งทื่อ ม่านตาหดลง ทำไม่จึงเรียกเซ่หยิ่ง หรือว่านางจะรู้ฐานะที่แท้จริงของเขา เป็นไปไม่ได้ ญาณสุสานเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว จากความอึ้งกลายเป็นขมวดคิ้วรังเกียจ
เขาส่ายหน้า “เย่หยิ่ง ง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ จริงจังหน่อยได้หรือไม่ ”
“เซ่หยิ่งหรือว่าเสี่ยวหยิ่ง ท่านเลือกเอา”
ญาณสุสานนิ่งคิด เขาเข้าใจแล้ว ไม่ใช่จูนจิ่วมองออกถึงฐานะที่แท้จริงของเขา แต่จูนจิ่วก็ตั้งชื่อตามใจไปอย่างนั้นเอง เอาชื่อที่มีอยู่แล้ว เซ่หยิ่งก็มาจากชื่อของอ๋องเซ่หยิ่ง เสี่ยวหยิ่งยิ่งไม่ต้องพูดเพราะง่ายดายมาก
ลูบใบหน้าตัวเอง ญาณสุสานถอนหายใจ “เช่นนั้นก็ใช้ชื่อเสี่ยวหยิ่งเถอะ”
เรียกเซ่หยิ่ง คนนอกฟังแล้วอาจจะสงสัยเขาก็ได้ เสี่ยวหยิ่งฟังดูง่ายและเหมาะสมดี อีกอย่างในชื่อเขาเดิมทีก็มีคำว่าหยิ่งอยู่แล้ว คิดอีกทีการเรียกขานแบบนี้ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเขากับจูนจิ่วสนิทกันแค่ไหน
เมื่อคิดอย่างนี้ ญาณสุสานหรือก็คือเสี่ยวหยิ่งก็เริ่มมีใจหวั่นไหวขึ้นมา รอยยิ้มแฝงแววแรด เขาส่งสายตาคลุมเครือให้กับจูนจิ่ว “เจ้าเรียกข้าว่าเสี่ยวหยิ่ง เช่นนั้นข้าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวจิ่วดีหรือไม่ ”
“แล้วแต่ท่าน มาทำสัญญาแลกเปลี่ยนกันเถอะ”จูนจิ่วไม่ได้ยอมรับสายตาคลุมเครือของเขา อีกทั้งยังส่งยิ้มเย็นชากลับไปให้
การทำสัญญาแลกเปลี่ยนนั้นง่ายมาก เพียงพวกเขาให้คำมั่นสัญญาพร้อมกัน หลังมือของพวกเขาจะมีสัญลักษณ์ของสัญญาเพิ่มขึ้นมา สว่างวาบแล้วก็หายไป ซึ่งเวลาปกติแล้วจะดูไม่ออก เอื้อประโยชน์ต่อกัน จูนจิ่วรับผิดชอบพาเสี่ยวหยิ่งออกไปจากสุสาน จากนั้นก็พาเขาไปที่ชั้นกลางสามชั้น ส่วนเสี่ยวหยิ่ง นางจะใช้เขาทำอะไรก็ได้ตลอดทาง
หากแยกแยะอย่างละเอียด ถือว่าจูนจิ่วได้เปรียบอยู่
หลังจากทำสัญญาเสร็จ จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นมองชิงหยู่ ชิงหยู่ใช้เวลาไปสามชั่วยาม จึงสืบทอดมรดกสำเร็จ เขาเหมือนจะเข้าใจ หรือจะพูดว่าได้รับประโยชน์ การฝึกฝนราบรื่นจนสามารถบรรจุนักจิตชั้นเก้าได้
จูนจิ่วจับหูของเสี่ยวอู่ ในใจคิดว่าสมควรต้องตั้งใจกลั่นยาทิพย์ใหญ่แล้ว อีกไม่นาน ศิษย์พี่ของเขาต้องใช้ยาทิพย์ใหญ่แล้ว เพื่อบรรลุไปถึงขั้นนักจิตใหญ่ ตอนนี้นางก็ไม่ได้ขาดวัตถุดิบอะไรแล้ว โม่อู๋เยว่มอบตันจูให้ พอที่นางจะกลั่นยาทิพย์ใหญ่ได้สิบกว่าเม็ด
ลองคำนวณดูแล้ว เอากลับไปเตรียมไว้ให้พวกหยูนเฉียวใช้ด้วย นางยังมีเหลือเฟือ
“ศิษย์น้อง”ชิงหยู่ลืมตาขึ้น มุมปากมีรอยยิ้มที่สดใส “ข้าสืบทอดมรดกสำเร็จแล้ว”
“ยินดีกับศิษย์พี่ด้วย ท่านยังบรรลุนักจิตระดับเก้าแล้วด้วย เยี่ยมจริงๆ แต่ว่าศิษย์พี่อย่าลืมมีดเซ่หยิ่ง”จูนจิ่วเดินเข้าไป สายตามองไปที่กล่องข้างกายชิงหยู่ ชิงหยู่รีบลุกขึ้นมาเปิดกล่อง หยิบมีดเซ่หยิ่งออกมา
มีดเซ่หยิ่งไม่ได้ใช้เป็นเวลาร้อยปีแล้ว สีเทาหม่นดูแล้วก็เป็นของเก่าธรรมดา ไม่มีความแวววาวสักนิด
เสี่ยวหยิ่งมองมีดเซ่หยิ่งแล้วก็มีแววรำลึกความหลังอยู่ลึกๆ เขาเอ่ยขึ้น “หยดเลือดเพื่อยอมรับเจ้านาย มีดเซ่หยิ่งจึงจะกลับมามีประกายอีกครั้ง หลังจากมีดเซ่หยิ่งเป็นของเจ้าแล้ว เจ้าต้องดูแลรักษามันดีๆ”
“แน่นอน ข้าจะใช้มีดนี้ปกป้องศิษย์น้อง พาสำนักเทียนอู่จงเดินสู่เส้นทางแห่งความรุ่งเรือง ”ชิงหยู่แววตาลุกโชน ท่าทางแน่วแน่ รับมรดกของอ๋องเซ่หยิ่งแล้ว ในสมองของชิงหยู่มีความรู้เพิ่มขึ้นมหาศาล เขาเข้าใจในโลกใบนี้มากขึ้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ใจที่มุ่งมั่นตั้งแต่แรกเริ่มถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง
มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้น จึงจะสามารถปกป้องคนที่อยากจะปกป้องได้
แต่ก่อนคิดว่ามีเพียงนักจิตใหญ่เท่านั้นเป็นเป้าหมายของชีวิต เพราะเขามีพรสวรรค์ระดับห้าสีเขียวก็เลยขี้เกียจไม่ยอมพัฒนา ขอแค่ไม่โง่ก็ย่อมไปถึงจุดหมายได้ แต่ตอนนี้ ชิงหยู่รู้สึกว่าตัวเองช่างไม่มีอุดมการณ์เอาเสียเลย นักจิตใหญ่จะพอได้อย่างไร เขาต้องเป็นราชาทิพย์
ศิษย์น้องร้ายกาจขนาดนี้ เขาจะคอยเป็นภาระให้กับศิษย์น้องได้อย่างไร
เห็นไฟที่ลุกโชนในดวงตาของชิงหยู่ซึ่งแตกต่างจากปกติ และยังมองเห็นแววตาที่มองตัวเองด้วยความแวววาว จูนจิ่วชะงักมือที่ลูบเสี่ยวอู่ นางได้แต่พึมพำในใจ รู้สึกว่าชิงหยู่ราวกับได้เปิดประตูของโลกใบใหม่ แปลกๆชอบกล