บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 402 เจอกับข้า เจ้าต้องแพ้แน่นอน
ทะเลสาบซีหูในเมืองไท่ชู จูนจิ่วหาบ้านหลังที่เจ้าเมืองไท่ชูจัดหาเอาไว้จนเจอ
ที่นี่เหมือนไม่มีคนอาศัยอยู่นานแล้ว ในลานบ้านเต็มไปด้วยหญ้ารก บนต้นไม้มีเถาวัลย์ห้อยอยู่เต็มไปหมด มีเพียงศาลาที่อยู่ใกล้ทะเลสาบซีหู ถูดเก็บกวาดเป็นพิเศษและยังมีอุปกรณ์ชงชาวางไว้ด้วย เมื่อเห็นดังนี้ ก็รู้สึกซ่าจูเก๋อหุนนั้นทำงานได้ไม่เลว
จูนจิ่วค่อยๆเดินเข้าไป ต้มชาด้วยท่าทีสง่างาม นางเชื่อว่าหากเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูได้รับข่าวจากนางแล้ว ต้องมาแน่นอน ตอนนี้ได้แต่รออย่างอดทน
แต่ว่าขณะที่รอ จูนจิ่วก็คุยกับโม่อู่เยว่อย่างลับๆไปด้วย ก็ไม่ได้ไม่มีทางเลือก นางถามโม่อู๋เยว่ว่าเสี่ยวอู่จะตื่นเมื่อไหร่ ตอนอยู่อย่างนี้ แม้จะทำอะไรก็ได้ตามใจ แต่จูนจิ่วก็ยังคิดถึงเสี่ยวอู่ที่ร่าเริงกระโดดไปมามากกว่า
มุมปากฉีกขึ้นยิ้มชั่วร้ายมีเสน่ห์ น้ำเสียงที่หยอกเย้าส่งเข้าไปในหูของจูนจิ่ว “เสี่ยวอู่ย่อยพลังได้ช้ามาก เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อยากให้มันตื่นขึ้นเร็วๆ ฝึกคู่กับข้าก็เป็นวิธีที่ไม่เลว ”
“ไม่ ข้ากลัวว่าแมวขี้หึงของบ้านข้าตื่นแล้ว จะโกรธจนกระอักเลือด”
จูนจิ่วโต้กลับด้วยน้ำเสียงสบายใจ
น้ำเสียงของโม่อู๋เยว่เปลี่ยนเป็นจนใจ “เห็นทีตำแหน่งของเสี่ยวอู่ในใจเจ้า จะสำคัญกว่าข้า ”
“แน่นอน มาก่อนได้ก่อนรู้หรือไม่ เสี่ยวอู่อยู่กับข้ามาสิบกว่าปี ส่วนท่าน เหมือนจะแค่ปีกว่าๆไม่มีอะไรเทียบได้”โม่อู๋เยว่สะอึก ไม่รู้ควรมีปฏิกิริยาที่หน้าอย่างไร เขาเป็นถึงราชันแห่งความชั่วร้าย แต่ไหนเลยจะคิดว่าวันหนึ่งจะเทียบไม่ได้แม้กระทั่งแมวตัวหนึ่ง
โอ่งน้ำส้มในใจของเขาคว่ำลง โม่อู๋เยว่มองเสี่ยวอู่ที่อยู่ในอ้อมอกด้วยสายตาเย็นชา กำลังคิดว่าจะโยนมันออกไป แต่พอเงยหน้าเห็นแววตาที่คิดถึงของจูนจิ่ว โม่อู๋เยว่ก็สลายความคิดไป
แววตาของเขาวิบวับ น้ำเสียงกดต่ำถามว่า“พูดเช่นนี้ หากจะสู่ขอเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็ต้องให้เสี่ยวอู่ตอบตกลงก่อนหรือ ”
“อืม ”จูนจิ่วยิ้มพยักหน้า ชาติก่อนนางไม่มีญาติพี่น้อง และไม่มีเพื่อนที่เชื่อถือได้ ข้างกายมีเพียงเสี่ยวอู่ เสี่ยวอู่มีความหมายต่อนาง มากกว่าคนในครอบครัว จูนจิ่วที่ตอบโม่อู๋เยว่ไปอย่างนั้นเองไม่คิดเลยว่า คำตอบของนางเหมือนจะทำให้โม่อู๋เยว่เห็นหนทางสว่าง อยากจะให้จูนจิ่วหยอกแล้วรับผิดชอบ แต่ไม่ใช่หยอกแล้วจากไป ก็ต้องเอาเสี่ยวอู่ให้อยู่หมัดก่อน แต่พอก้มหน้ามองเสี่ยวอู่ โม่อู๋เยว่ก็รู้สึกรังเกียจอยู่บ้าง
ภายนอกเป็นแมว แต่แท้จริงแล้วเป็นเสือขาวจะให้จัดการอย่างไร มอบเสื่อที่ทำจากหนังเสือขาวสักโหลหนึ่งเป็นอย่างไร
จูนจิ่ว นี่ท่านจะจัดการเสี่ยวอู่ให้อยู่หมัด หรืออยากจะขู่มันให้ตาย
ระหว่างคุยกัน ก็มีลมพัดมา มือที่กำลังเทน้ำชาก็ชะงักเบาๆ ชาส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว นางได้กลิ่นอันตราย เงยหน้าขึ้น จูนจิ่วเห็นใบไม้ที่ร่วงเต็มลานบ้านกำลังปลิวว่อน มีคนมา
ฟิ้ว
มีใบไม่ใบหนึ่งทะลุผ่านอากาศมา อันตรายมากจนเกือบจะบาดหน้าของจูนจิ่ว แล้วก็ไปปักอยู่กับเสาของศาลาอย่างคมกริบ ไม่มีไอสังหาร แต่เป็นความน่าเกรงขาม
คนที่มาเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เจ้าสำนักศึกษาไท่ชู
จึงไม่ได้รู้สึกตกใจเพราะถูกใบไม้ข่มขู่ จูนจิ่วหันไปมองอย่างสงบ
คนที่มาเหยียบใบไม้ที่ร่วงหล่น ระหว่างนิ้วมือยังหนีบใบหยางหลิวเอาไว้หนึ่งใบ เขาเดินเข้ามาใกล้ ในแววตาแฝงรอยยิ้มอันตราย จ้องมองจูนจิ่วอย่างชะล่าใจ
คนคนนี้จูนจิ่วไม่เคยเห็นมาก่อน แต่นางสามารถรู้สึกได้ถึงความอันตรายจากร่างของชายคนนี้ เทียบไม่ได้เลยกับโม่อู๋เยว่ แต่สามารถฆ่านางได้อย่างง่ายดาย เขาเป็นใคร
ฟิ้ว
นิ้วมือดีดออกไป ใบหยางหลิวเปลี่ยนเป็นอาวุธลับที่แหลมคงบินเฉียดใบหน้าของจูนจิ่วไป กระบวนท่าเหมือนกัน เพราะผสมปนเปกับไอสังหารจึงเปลี่ยนเป็นน่ากลัว แต่จูนจิ่วก็ไม่หวั่นไหวกับสิ่งนี้ จูนจิ่วเห็นแล้วก็ยิ้ม “ เจ้าไม่กลัวหรือ เพียงข้าเอียงอีกเล็กน้อย ก็สามารถทำลายโฉมที่งดงามของเจ้าได้แล้ว ”
“เอียงเล็กน้อย ท่านก็ทำร้ายข้าไม่ได้”น้ำเสียงเย็นชา ยโสอวดดี
ได้ยินคำพูดของจูนจิ่ว คิ้วทีเลิกขึ้นของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นหรี่ตาลง เขาหยุดฝีเท้า เค้นยิ้ม
“อวดดีจริงๆ”
จูนจิ่ว “ท่านเป็นใคร ”
ในปากก็ถามว่าชายคนนี้เป็นใคร แต่จูนจิ่วก็ไม่ได้หวังว่าชายคนนี้จะบอกอย่างจริงใจตรงไปตรงมา ระหว่างที่สมองของนางมีแสงวาบผ่าน มีข่าวสารหลายร้อยเรื่องโฉบไปมา จูนจิ่วกำลังวิเคราะห์สถานะของชายคนนี้
ในสำนักศึกษาไท่ชูไม่เคยได้ยินเรื่องของคนอย่างนี้มาก่อน เขาไม่ใช่คนของสำนักศึกษาไท่ชู และก็คงไม่ใช่คนของสำนักศึกษาจื่อเซียวด้วย มีเพียงสำนักศึกษาเทียนซู แต่ในสำนักศึกษาเทียนซูนอกจากหงยิง ยังมีใคร จูนจิ่วรู้จักสำนักศึกษาทั้งสามน้อยไป นางขมวดคิ้วเบาๆ
ชายหนุ่มก็ก้าวเท้าเข้าไปทางจูนจิ่ว ทุกก้าวของเขาทวีความกดดันมากขึ้น เข้าใกล้มากขึ้นราวกับหมาป่าที่หิวกระหาย หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็คงจะตกใจจนฉี่ราดไปนานแล้ว แต่จูนจิ่วยังคงสงบนิ่ง ใบหน้างดงาม มีเพียงคิ้วที่ขมวดขึ้นเล็กน้อยประหลาดใจในสถานะของเขา
เห็นท่าทีของจูนจิ่ว รอยยิ้มที่มุมปากของชายหนุ่มก็ลึกขึ้นอีกหลายส่วน เขาเอ่ยขึ้นว่า “บอกเจ้าก็ได้ ซิงโล่เฉิน คนที่กำลังจะส่งเจ้าไปลงนรก”
“ซิงโล่เฉิน ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
รอยยิ้มที่มุมปากของซิงโล่เฉินแข็งค้าง แววตาของเขาขรึมลงอย่างบ้าคลั่ง “ไม่เคยได้ยิน เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ”ท่าทีเปลี่ยนไป ใบไม้ในสวนที่กำลังปลิวว่อนล้วนชะงักจ่อไปที่จูนจิ่ว ราวกับอาวุธลับที่รอสังหาร
จูนจิ่วมองกวาดอย่างเรียบๆ เอ่ยเสียงเย็นๆ “ท่านมีชื่อเสียงมากหรือ”
“แน่นอน ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาทั้งสามไม่มีใครไม่หวาดกลัวข้า แต่เจ้าไม่รู้จัก ข้าจะให้อภัยเจ้าครั้งหนึ่ง เพราะเจ้ามาที่สำนักศึกษาทั้งสามได้ไม่นานนัก เหมือนจะไม่กี่เดือนเท่านั้น ”
ซิงโล่เฉินเอ่ยพลางยิ้มเย็น
เหลือบมองเขา จูนจิ่วได้ข้อสรุปว่า
ชายที่หยิ่งทะนงในตัวเองคนนี้ และยังมองตัวเองสูงส่งกว่าใคร อันตราย และยากจะคาดเดาได้
ซิงโล่เฉินพูดต่อไปว่า “จูนจิ่ว คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้ายังจะกล้าเข้ามาในเมืองไท่ชู แล้วยังจะพบเจ้าสำนักไท่ชูอีก ข้าชื่นชมในความกล้าหาญในการรนหาที่ตายของเจ้าจริงๆ ฉะนั้นข้าคิดว่าจะให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง ให้เจ้าได้เห็นความร้ายกาจของข้า”
จูนจิ่ว คนคนนี้ไม่สบายหรือเปล่า
เห็นซิงโล่เฉินก้าวเข้ามาตรงหน้านาง ยื่นมือเหมือนจะจับผมนาง จูนจิ่วก็ถอยหลังเว้นระยะห่าง “โอกาสอะไรของท่าน ”
“ข้าให้เจ้าเลือกสองทาง ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ข้าจะปล่อยเจ้าไป อีกหนึ่งชั่วยามข้าจะมาจับเจ้า หาข้าจับเจ้าได้ เจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย และก่อนตายยังต้องหฤหรรษ์กับวิธีทรมานต่างๆของศิษย์น้องข้า หงยิงเจ้าน่าจะจำได้ นางยังคิดถึงเจ้าไม่สร่าง อยากจะลองวิธีทรมานต่างๆนานากับเจ้า ”
ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่ของหงยิง
สีหน้าจูนจิ่วไร้ความรู้สึก “ทางเลือกที่สองเล่า ”
“หลังจากนี้หนึ่งชั่วยามหากข้าจับตัวเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นก็ยินดีด้วย เจ้าชนะโอกาสที่จะมีชีวิตรอดต่อไป แต่คงเป็นไปไม่ได้ ”ซิงโล่เฉินยิ้มเย็น เชิดคางขึ้นอย่างหยิ่งยโส
ไม่เคยมีใครหนีไปจากเงื้อมมือเขาได้ ที่เขาพูดขึ้นมา ก็แค่ชอบล้อเล่นกับชีวิตคน มองสีหน้าตอนที่พวกเขาดิ้นรนเอาตัวรอด มันช่างน่าสนุกเสียนี่กระไร
จูนจิ่วเพิ่งบทวิเคราะห์ให้ซิงโล่เฉินอีกสองข้อ วิปริตบวกกับหลงตัวเอง แน่นอนว่าหากไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน คงไม่เข้าสำนักเดียวกัน หงยิงเป็นเพชฌฆาตหญิงที่อำมหิต ศิษย์พี่ของนางก็เป็นคนวิปริตและหลงตัวเอง
ยกปากยิ้มเย็น จูนจิ่วมองไปทางซิงโล่เฉิน “ซิงโล่เฉิน ท่านเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้หรือไม่ ”
“ไม่เคย”
“ออ เช่นนั้นเจอกันครั้งหน้า ท่านช่วยบอกข้าด้วยว่ารสชาติของความพ่ายแพ้เป็นอย่างไร หากลืมแล้วก็ไม่เป็นไร เจอเข้ากับข้าท่านคงต้องแพ้อีกหลายครั้งแน่”จูนจิ่วก้าวเท้าเกินอ้อมซิงโล่เฉินไป
ซิงโล่เฉินเค้นยิ้มไม่ชอบใจ ไม่เอาคำพูดของจูนจิ่วมาใส่ใจ เขาหมุ่นตัวจ้องเงหลังจูนจิ่วเขม็ง “เริ่มนับเวลาหนึ่งชั่วยาม สาวงามตัวน้อยรีบหนีเอาตัวรอดเถอะ”