บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 415 นางร้ายกาจกว่าปีศาจ
สามารถกลั่นยาทิพย์ใหญ่ได้ คนไหนบ้างที่ไม่ใช่คนแก่หัวหงอก มีประสบการณ์กลั่นยามานับสิบปี นักกลั่นยาพิษเฟยชิงคือคนที่อายุน้อยที่สุดในปัจจุบัน ที่สามารถกลั่นยาทิพย์ใหญ่ได้ ฉะนั้นตำแหน่งจึงไม่ธรรมดา จูนจิ่วอายุน้อยกว่าเฟยชิงมากนัก
ปีศาจ ไม่ นางร้ายกาจกว่าปีศาจ เห็นได้ชัดว่าเป็นวิปริตตัวน้อย
มองสีหน้าทุกคนด้วยรอยยิ้ม มุมปากของจูนจิ่วโค้งขึ้น นางเอ่ยปากเรียกสติของทุกคนคืนมา
“ข้ากลั่นยาเองกับมือ พวกท่านสามารถวางใจในคุณภาพได้ ดีแน่นอน ”
“เจ้าใช้เวลาห้าวันกลั่นยาทิพย์ใหญ่ได้ห้าเม็ด ”เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย มองจูนจิ่วอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เขารู้ว่าผู้อาวุโสใหญ่เชิญนักกลั่นยาพิษเฟยชิงมากลั่นยาทิพย์ใหญ่ให้กับหยุนหนี แต่นั่นก็ใช้เวลาไปครึ่งเดือน จึงกลั่นสำเร็จได้สองเม็ด หนึ่งในสองเม็ดนั้นคุณภาพก็ไม่ดี ไม่สามารถกินได้
แต่จูนจิ่ว ห้าวันห้าเม็ดร้ายกาจขนาดนี้เชียว
จูนจิ่วไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยิ้มอ่อนๆ นางไม่ได้บอกว่านางกลั่นได้ทั้งหมดสิบสามเม็ด
ไม่ต้องคิดก็รู้ หากบอกเรื่องจริงออกไป คนทั้งหมดในห้องนี้คงต้องตกใจจนล้มลงไปกับพื้น เช่นนั้นนางต้องใจดีสักหน่อย ไม่ไปกระตุ้นพวกเขา
สูดลมหายใจเข้า เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูหันไปมองเจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวและถามว่า “เจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียว ยานี้คุณภาพเป็นอย่างไรบ้าง”
ห้าวันห้าเม็ดไม่น่าเชื่อ แม้คุณภาพจะดี เช่นนั้นก็คงจะอยู่ในระดับธรรมดา สำหรับจูนจิ่วที่อายุแค่นี้ ได้คุณภาพธรรมดาก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูคิดอย่างนี้
แต่ว่า เจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวไม่ได้ตอบเขาเป็นเวลานานมาก
ยังมีฝู้หลินจ้านที่ทนไม่ไหวลุกเดินเข้าไป ยื่นหน้าเข้าไปดูตาเบิกกว้าง “มีไอยา เป็นคุณภาพที่ดีที่สุด”
ว่าไงนะ
ทุกคนในห้องต่างมีสีหน้าอึ้งอีกครั้ง สีหน้าที่พวกเขามองจูนจิ่วราวกับกำลังมองภูตผีปีศาจ นักกลั่นยาที่ดีที่สุดในสำนักศึกษาทั้งสามของพวกเขายังไม่สามารถกลั่นยาที่มีไอยาได้ แม้แต่นักกลั่นยาพิษเฟยชิง ตั้งแต่เกิดมาก็เคยกลั่นยาที่มีไอยาพิษได้แค่เม็ดเดียวเท่านั้น เขาก็มีชื่อเสียงได้จากยาเม็ดนี้
แต่ดูจูนจิ่ว ไม่ใช่แค่เม็ดเดียว มีห้าเม็ดทุกเม็ดต่างมีไอยา ยังจะพูดอะไรได้อีก คุกเข่าเรียกลูกพี่ใหญ่เถอะ
ฝู้หลินซวงมองไปทางจูนจิ่ว น้ำเสียงเย็นเยือกของเขายังนับสงบ เขาพูดว่า “วิชากลั่นยาของเจ้า สามารถกล่าวได้ว่าเป็นที่หนึ่งในสามสำนักศึกษาทั้งสาม ”
“จูนจิ่วเจ้าทำได้อย่างไร การกลั่นยานั้นมันยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก ทำไมเจ้าจึงกลั่นออกมาได้อย่างง่ายดายนัก อีกทั้งสีหน้าเจ้ายังคงแดงเรื่อ หายใจปกติ ไม่มีทีท่าเหมือนจะเหนื่อยล้าเลย”ฝู้หลินจ้านใช้ฝ่ามือค้ำคางของตัวเองไว้เพื่อพูดจา
เขาเกรงว่าหากไม่ค้ำที่ใต้คางเอาไว้ คงอึ้งอ้าปากค้างจนคางไปเกยกับพื้น
มู่จิ่งหยวนยิ้มให้กับจูนจิ่ว “หากฝีมือในการกลั่นยาของศิษย์น้องเป็นที่สอง เช่นนั้นคงไม่มีกล้าขึ้นเป็นที่หนึ่ง ข้าถูกมีดแทงทะลุหัวใจ เท้าทั้งสองข้างก้าวเขห้าสู่ยมโลกแล้ว ศิษย์น้องจูนยังสามารถดึงข้ากลับมาได้ นอกจากนางแล้ว โลกนี้ยังมีใครทำได้อีก ”
ร้ายกาจ ปรบมือให้กับลูกพี่ใหญ่ ฝู้หลินจ้านปรบมือจริงๆ
พอได้สติ สายตาของเจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวที่มองจูนจิ่วก็ร้อนผ่าวขึ้น เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูเห็นเข้าก็รู้ว่าเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ เขารีบพูดขึ้นว่า “จูนจิ่วเป็นคนของสำนักศึกษาไท่ชู เจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวท่านตายใจเสียเถอะ”
วิปริตและร้ายกาจเช่นนี้ กุมไว้ให้ดี ใครก็อย่าคิดจะมาแย่งกับสำนักศึกษาไท่ชู
ชั่วขณะนั้น เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูก็มีสีหน้าเมตตาใจดี คิดในใจ ขอเพียงจูนจิ่วไม่ทำลายสำนักศึกษาไท่ชู ไม่ว่านางจะทำอะไรเขาล้วนเห็นด้วย เพราะนี่คือการตอบแทนพรสวรรค์อันร้ายกาจ ย่อมต่างกัน
เห็นความคิดของทุกคนที่ล่องลอยไปไกล จูนจิ่วหรี่ตายิ้ม น้ำเสียงนางเย็นสดใส “เจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียว เจ้าสำนักศึกษาไท่ชู ถ้าว่างแล้วไม่สู้ลองบอกสิว่าจะจัดการกับหยุนหนีอย่างไร”
“หยุนหนี ”ทุกคนในห้องต่างขมวดคิ้ว
จูนจิ่วพูดต่อว่า “ข้าสามารถแน่ใจได้ว่า เทียงฉิวต้องฆ่าหยุนหนีปิดปากแน่ ”
ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของจูนจิ่ว ในเวลาห้าวันมานี้ เพียงพอที่พวกเขาจะตรวจสอบได้ว่า หนังหน้าไฟก็คือหยุนหนีที่คำพูดมีรอยรั่ว บวกกับที่จูนจิ่วได้ทำการฆ่าเหล่า“ลูกศิษย์ตัวปลอมของเทียนอู่จง”ท้ายที่สุดก็ตรวจสอบได้ว่าล้วนเป็นหน่วยกล้าตายของเทียงฉิว
ทำไม่เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูต้องปองร้ายจูนจิ่ว บวกกับหยุนหนีที่ถูกเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูช่วยเอาไว้แล้วส่งกลับมา พวกเขาเห็นแผนชั่วที่กางออกอย่างไร้รูป
เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไม่ให้เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูทำสำเร็จแน่”หยุนหนีถูกเฝ้าอย่างแน่นหนาทุกวัน เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูกับจื่อเซียวจะไม่ยอมให้เทียงฉิวได้ลงมือเด็ดขาด แต่ว่าตอนนี้มีปัญหาที่สำคัญอยู่อย่างหนึ่ง เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูมองไปที่กล่องยาบนมือของเจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียว ก็เกิดความคิดขึ้นทันที
เขาพูดกับจูนจิ่วว่า “จูนจิ่ว ในเมื่อเจ้าชำนาญการกลั่นยา แก้พิษกู่ได้หรือไม่ ”
“หยุนหนีถูกพิษกู่หรือ”จูนจิ่วฉลาด ได้ยินก็รู้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับหยุนหนีแน่ๆ เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูพยักหน้า บอกกับนางว่าหยุนหนีถูกพิษกู่ หลังถูกจับแล้วก็ไม่สามารถอ้าปากพูดได้ นี่ไม่เอื้อต่อการสอบสวนของพวกเขาเลย
จูนจิ่วตอบตกลงทันที นางจะไปดูหยุนหนีด้วยตนเอง
หลังจากทุกคนแยกย้ายจากการพบกันในครั้งนี้ ชิงหยู่ยังคงอยู่ในเรือน จูนจิ่วได้เอากล่องยาเล็กๆออกมาจากช่องว่างของกำไลข้อมือ ยื่นให้กับชิงหยู่และพูดว่า“ศิษย์พี่ได้เวลาที่เหมาะสมแล้ว สามารถใช้ยาทิพย์ใหญ่เพื่อบรรลุนักจิตใหญ่ได้แล้ว ”
“ได้ ขอบคุณศิษย์น้อง”แล้วชิงหยู่ก็ยิ้มหยอกล้อ“ข้านับว่าเข้าใจความคิดของพวกฝู้หลินจ้านแล้ว ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้านับว่าดียิ่งนัก ข้ามองออกตั้งแต่แวบแรก การเอาตัวเจ้ากลับมาที่สำนักเทียนอู่จงเป็นเรื่องฉลาดที่สุดที่ข้าตัดสินใจทำในชีวิตนี้ ”
“ฟู่”จูนจิ่วถูกหยอกจนหัวเราะออกมา
คิ้วโค้งขึ้น จูนจิ่วมองชิงหยู่ยิ้มๆ “สามารถเข้าร่วมกับเทียนอู่จง เป็นวาสนาของข้า ”ก่อนจะเข้าร่วมสำนักเทียนอู่จง จูนจิ่วไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการเข้าสู่ครอบครัวใหญ่นั้นจะมีความสุขขนาดนี้ ไม่มีความหลอกลวง ไม่มีคนปากหวานก้นเปรี้ยวทะเลาะกัน เป็นอาจารย์อา เป็นดาวสำนัก นางถูกคนในสำนักเทียนอู่จงเทิดทูนยิ่งกว่าสิ่งใด ประคองไว้ในมือ มิตรภาพนี้ จูนจิ่วจะไม่มีวันลืมตลอดไป
หากมีใครคนหนึ่งได้ดี แล้วคนรอบข้างก็พลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย สำนักเทียนอู่จงต้องเป็นตัวเลือกแรกของจูนจิ่วแน่นอน
นางพูดต่อว่า “ข้ายังมียาทิพย์ใหญ่อีกมาก ศิษย์พี่ พวกเราหาเวลาไปพบพวกเขากันเถอะ”
“ได้ แต่ต้องหลบสำนักศึกษาทั้งสาม โดยเฉพาะเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู ”ชิงหยู่กล่าวอย่างเครื่องขรึมรอบคอบ
ครั้งนี้คนของเทียงฉิวไม่สามารถจับลูกศิษย์ของสำนักเทียนอู่จงมาข่มขู่พวกเขาได้ ล้วนเป็นเพราะพวกเขาได้วางแผนอย่างดีก่อนเดินทางมา หากยังไม่สามารถจัดการกับเทียงฉิวได้ จะไม่ให้สำนักเทียงอู่จงเปิดเผยตรงหน้าเด็ดขาด นี่เป็นภัยร้ายแรงที่สุดของเทียนอู่จง และไม่เป็นประโยชน์ต่อศิษย์น้องด้วย
จูนจิ่ว “อืม ข้าจะไปดูหยุนหนีก่อนว่าเป็นอย่างไร จากนั้นค่อยติดต่อกับพวกอาวุโสเหอ”
จูนจิ่วพูด แววตาเคร่งขรึมเย็นชาลง การเผชิญกับอุปสรรคใหญ่อย่างเทียงฉิว จะอาศัยแค่นางคนเดียวไม่ได้ ได้เวลาที่เย่ส้าต้องเคลื่อนไหวแล้ว มุ่งเข้าสู่สำนักศึกษาทั้งสาม เย่ส้าไม่จำเป็นต้องมีรากฐาน เหยียบเทียงฉิวเพื่อขึ้นรับตำแหน่งได้พอดี
แววชั่วร้ายปรากฏ ชิงหยู่ถูกทำให้ตกใจจนตัวสั่น สายตาจ้องอยู่ที่จูนจิ่ว แล้วเขาก็กลับมาหนักแน่นได้อีกครั้ง
มองจูนจิ่วอย่างจริงจัง ชิงหยู่ยกมือขึ้นวางบนไหล่ของจูนจิ่ว “ศิษย์น้อง ไม่ว่าลมฝนจะพัดหรือว่าฟ้าจะถล่มดินทลาย ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า……”สายตามองเห็นใครบางคร ชิงหยู่รีบดึงมือออก ปากค่อยพูดคำที่เหลือว่า “ตลอดไป”
เหลือบเห็นสีหน้าของชิงหยู่ จูนจิ่วหมุนตัว