บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 424 ทำชั่วอย่างเปิดเผย เจตนาร้ายเต็มเปี่ยม
น้ำเสียงของจูนจิ่วนั้นเย็นชาแหลมคม คนที่คุ้นเคยกับนางต่างรู้ดี ตอนนี้นางอารมณ์ไม่ดีนัก สีหน้าของฝู้หลินซวงไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังมีมองจูนจิ่วด้วยสีหน้าที่สงบและพูดว่า “ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของนาง แต่ข้าจะไม่ขอร้องเจ้า ข้านับถือใจผู้กล้า และเจ้าก็คือคนที่ฉลาดที่สุดในบรรดาผู้กล้า”
“เจ้าคงไม่โง่จนเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ ไม่ว่าเจ้าจะมีแผนการอะไร ข้าก็จะสนับสนุนและช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มใจ”น้ำเสียงของฝู้หลินซวงนั้นเย็นเยือก แต่ฟังออกถึงความจริงใจในคำพูด
เขากับฝู้หลินจ้าน คนหนึ่งเย็นชาคนหนึ่งกระตือรือร้น แต่ที่เหมือนกันคือ พวกเขาชื่นชอบและนับถือผู้กล้า แต่ที่แตกต่างกันก็คงจะเป็น ฝู้หลินจ้านที่แสดงออกว่าชื่นชอบจูนจิ่ว เต็มใจอย่างยิ่งที่อยากจะเป็นเพื่อนกับนาง แต่เขา ด้วยพลังของจูนจิ่ว บวกกับพรสวรรค์และความแข็งแกร่งได้ดึงดูดเขามา หลังจากเป็นเพื่อนกันก็ยิ่งเข้าใจจูนจิ่วมากขึ้น ฝู้หลินซวงจะยืนอยู่ข้างนางอย่างไร้ข้อกังขา
ได้ยินคำพูดของฝู้หลินซวง มุมปากของจูนจิ่วก็เผยรอยยิ้ม
นางยิ้มและกะพริบตา “ฝู้หลินซวง เจ้าจะไม่เสียใจภายหลังกับคำที่เจ้าพูดตลอดไป ข้ากลับไปก่อนล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน ”
“ได้ ”ฝู้หลินซวงพยักหน้า เลือกที่จะเดินไปยังทิศทางตรงข้ามกับจูนจิ่ว
แม้ว่าทุกคนจะอยู่ในลานบ้านเดียวกัน แต่ก็แบ่งชายหญิง ซ้ายขวาสองฝั่ง ที่ฝู้หลินซวงสามารถมองเห็นได้เมื่อครู่ ไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ
จูนจิ่วกลับไปเพิ่งจะผลักประตูออก ก็เห็นก้อนขาวกลมๆพุ่งเข้ามา นางยื่นมือออกไปรับเสี่ยวอู่ได้พอดี
จูนจิ่วประหลาดใจ “ทำไม คิดถึงข้าหรือ”
“โม่อู๋เยว่ดึงขนข้า ”เสี่ยวอู่โมโห ชูหางขึ้นเผยให้เห็นเส้นขนที่หายไปนิดหน่อยตรงปลายหางของมัน จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นมองที่มือของโม่อู๋เยว่ ยังจับขนสีขาวเอาไว้
พอเห็นว่าจูนจิ่วมองเขา โม่อู๋เยว่ยังคงทำหน้านิ่งวางขนนั้นลงบนโต๊ะ
จูนจิ่วพบว่าสีหน้าของโม่อู๋เยว่ขรึมลงไปบ้าง ขณะที่นางกำลังสงสัย โม่อู๋เยว่ก็เอ่ยถามขึ้นกะทันหันว่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เจ้าสนใจฝู้หลินซวงคนนั้นหรือ ”
จูนจิ่ว :……
นางนึกว่าเป็นอะไร โม่อู๋เยว่คงไม่ได้กำลังหึงหรอกนะ
คิดถึงพลังของโม่อู๋เยว่แล้ว เรื่องเมื่อครู่เขาไม่ต้องอยู่ด้วย ก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน แต่บทสนทนาของนางกับฝู้หลินซวงไม่มีอะไรผิดปกตินี่นา ทำไมต้องหึงด้วย จิตใจของบุรุษราวกับเข็มใต้มหาสมุทร
จูนจิ่วอุ้มเสี่ยวอู่เดินไปนั่งลงตรงข้ามกับโม่อู๋เยว่ นางยิ้ม “เป็นเพื่อนกับฝู้หลินซวงนั้นไม่เลว ”หึงจริงๆด้วย
พอได้ยินคำนี้ของจูนจิ่ว เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของโม่อู๋เยว่เปลี่ยนไป บรรยากาศอันตรายรอบตัวค่อยๆจางลง ปากบางยิ้มชั่วร้าย โม่อู๋เยว่พูดอย่างไม่ค่อยพอใจ “ก็แค่นักจิตใหญ่ชั้นสอง ไม่มีสิทธิ์พอจะเป็นเพื่อนกับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ได้ ”
จูนจิ่วเหมือนถูกพูดโจมตี“ท่านลืมไปหรือเปล่า ว่าข้าก็เพิ่งจะเป็นนักจิตชั้นแปด”
“ด้วยพรสวรรค์ของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ ไม่ต้องใช้เวลาถึงปีก็ไปไกลกว่าพวกเขาได้แล้ว หรือบางทีครึ่งปีก็พอแล้ว”โม่อู๋เยว่พูดพลางมองนาง
จูนจิ่วยักไหล่ นางคบเพื่อนไม่ได้ดูที่พลังฝึกฝน แต่เป็นนิสัยใจคอ คบเพื่อนไม่ใช่คบชายรู้ใจ ไหนเลยจะต้องทำการคัดเลือกอย่างดีขนาดนั้น ทิ้งบทสนทนานี้ไปไม่พูดอีก จูนจิ่วเอ่ยขึ้นว่า
นางถามโม่อู๋เยว่ว่าสามารถช่วยนางตรวจสอบฐานะที่แท้จริงของป้าฟางได้หรือไม่ โม่อู๋เยว่สั่งให้เหลิ่งยวนไปทำงานทันที
ที่จริงไม่ต้องให้จูนจิ่วพูด เขาก็ต้องทำการตรวจสอบอยู่ดี กล้ามาสั่งการเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ของเขา ยื่นมือออกมายาวเกินไปแล้ว
……
วันรุ่งขึ้น เสียงระฆังดังไปทั่วใจกลางลานทะเลสาบ มีสาวใช้ในสำนักศึกษามาถึงที่ และถ่ายทอดคำสั่งว่าให้พวกเขาไปรวมตัวกันที่อาคารตรงกลางสุดของลานกลางทะเลสาบ หน้าอาคารมีลานฝึกยุทธที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง ข้างในถูกสร้างขึ้นเหมือนห้องเรียน
จี้อีหมิงพลางเดินพลางหาว พอเห็นก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก “คงไม่ได้จะให้พวกเราเข้าไปเรียนหรอกนะ ”
“ไม่แน่ใจ ”มู่จิ่งหยวนส่ายหน้า
ที่พวกเขารู้ก็คือ ตำหนักไท่หวงได้มีคำสั่งให้พวกเขาไปเข้าร่วมการทดสอบที่สำนักศึกษาเทียนซู คนที่ผ่านการคัดเลือกจะถูกจัดเป็นหนึ่งกลุ่ม ไปเข้าร่วมการแข่งขันที่ตำหนักไท่หวง
ที่รู้มามีน้อยมาก และพวกเขาก็ไม่ได้สนใจด้วย ที่มีมากกว่านั้นคือการป้องกันแผนร้ายของสำนักศึกษาเทียนซู
จูนจิ่วพบเข้ากับป้าฟางอีกครั้ง นางเดินไปยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคนทั้งหมด ทุกคนต่างจำได้ว่านางคือผู้ดูแลของน้ำพุหลิงซู และเป็นคนของตำหนักไท่หวง จึงได้เงียบลงกะทันหัน มองป้าฟางอย่างประหลาดใจ
ป้าฟางมองไปรอบๆ วิเคราะห์ทุกคน บางทีเพราะที่นี่มีคน ป้าฟางจึงมองจูนจิ่วด้วยสายตาเรียบๆก่อนจะเคลื่อนสายตาไป
นางเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “คนของสำนักศึกษาเทียนซูเล่า ”
“มาแล้ว ข้าก็ถึงนี่แล้วไง ”มีเสียงหยิ่งยโสอวดดีส่งมา ทุกคนหันกลับไปมอง เห็นซิงโล่เฉินกับหงยิง ยังมีลูกศิษย์ที่ไม่ทราบชื่ออีกคน
เห็นซินโล่เฉินก็ขมวดคิ้วชั่วครู่ ป้าฟางน้ำเสียงเข้ม “ซินโล่เฉิน ครั้งหน้าก็มาให้เช้าหน่อย ไม่เช่นนั้นถ้ามาสาย ข้าจะตัดสิทธิ์ของเจ้า ”
“เฮอะ”ซินโล่เฉินยิ้มเย็น ไม่ได้สนในป้าฟางเลยแม้แต่น้อย เขาก็มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับตำหนักไท่หวง จึงมีนิสัยยโสอวดดี แต่หงยิงกับลูกศิษย์ไม่ทราบชื่อคนนั้นกลับไม่กล้ว และพวกเขาเองก็ขอโทษอย่างขอไปที ไม่ได้มีความจริงใจแม้แต่น้อย
ป้าฟางขมวดคิ้วอีกครั้ง แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก
นางเก็บสายตากลับมา เอ่ยปากพูดกับทุกคนว่า “ข้าเป็นอาจารย์ที่รับผิดชอบพวกเจ้าในครั้งนี้ การทดสอบครั้งนี้เรียกว่าการทดสอบเดือนสิบเอ็ด มีเพียงคนที่ผ่านการคัดเลือกเท่านั้นจึงจะไปแข่งที่ตำหนักไท่หวงได้ ถ้าสามารถไปเข้าร่วมการแข่งขันได้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะพวกเจ้าก็จะได้เตรียมตัวเป็นลูกศิษย์ของตำหนักไท่หวงแน่นอน ”
โลกใบนี้ จริงจังและโหดเหี้ยมต่อการแบ่งชั้นกันอย่างมาก คิดอยากจะประสบความสำเร็จด้วยตนเอง แม้จะยืนอยู่จุดสูงสุดแล้วก็ยังต้องปีขึ้นไปอีก
ไม่ว่าเจ้าจะยินดีหรือไม่ ตำหนักไท่หวงคือหนึ่งเดียวที่จะทำให้พวกเขายืนได้สูงยิ่งกว่า กระทั่งสามารถไปถึงชั้นกลางสามชั้นได้ ฉะนั้น ดวงตาของทุกคนต่างก็แวววาว สีหน้าฉายแววแห่งการรอคอย
น้ำไหลลงที่ต่ำ คนเดินขึ้นบนที่สูง ใครบ้างจะไม่อยากแข็งแกร่งกว่าเดิม
ป้าฟางพูดอีกว่า “พวกเจ้าทั้งหมดเก้าคน สุดท้ายแล้วคนที่เหลือทั้งเก้าคนนี้ต้องอาศัยพลังที่แท้จริงของตัวเองเท่านั้น และข้าจะคอยชี้แนะพวกเจ้า และรับผิดชอบในการทดสอบและตัดสินฝีมือของพวกเจ้า เพื่อจะเก็บคะแนน ”
“ป้าฟาง ”ซิงโล่เฉินตัดบทป้าฟางอย่างเอาแต่ใจ แววตาของเขาจ้องมองไปที่จูนจิ่วอย่างแฝงแววเจตนาร้ายและโหดเหี้ยม เขาพูดว่า “คำพูดโบราณเก่าแก่พวกนี้อย่าเอามาพูดให้เสียเวลาเลย ในเมื่อทุกอย่างต้องพึ่งพาพลังของตนเอง ไม่สู้ให้พวกเราประลองฝีมือกันสักตั้ง”
“ท่านเองก็สามารถดูด้วยตาตัวเองได้ว่าใครมีฝีมือแค่ไหนกัน ที่แย่มาก ก็ในออกจากการแข่งขันไปเลย จะได้ไม่เสียเวลาของผู้อื่น ป้าฟาง ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร ”
ป้าฟางสีหน้าดำคร่ำเคร่ง
ซิงโล่เฉินคนนี้อาศัยสถานะที่คิดว่าไม่ธรรมดาของตัวเอง ไร้มารยาทเกินไปแล้ว
ซิงโล่เฉินไม่รอให้ป้าฟางตอบ เขาชี้นิ้วไปยังจูนจิ่วแล้วยิ้มอย่างโหดเหี้ยมอันตราย เขาพูดว่า “ไม่สู้ให้ข้าประลองกับจูนจิ่วดู ถือเป็นตัวอย่างให้ทุกคนด้วย”
“ศิษย์พี่ซิงความคิดนี้ดีมาก จูนจิ่ว ศิษย์พี่ซิงของข้ายอมลดตัวลงมายินดีสั่งสอนเจ้า เจ้ายังไม่รีบขอบคุณอีกหรือ โอกาสอย่างนี้ช่างหาได้ยากนัก”หงยิงพูดต่อจากซิงโล่เฉิน จ้องจูนจิ่วด้วยรอยยิ้มดุร้ายบิดเบี้ยว
ทำชั่วอย่างเปิดเผย เจตนาร้ายเต็มเปี่ยม
ซิงโล่เฉินยิ้มชั่วร้าย เขาพูดในใจ เขาจะสู้จนจูนจิ่วกระดูกหักเพื่อล้างแค้น ให้นางรู้ว่าการล่วงเกินตนเองนั้นจะมีจุดจบน่าอนาถแค่ไหน ทรมานนาง แต่นี่ก็แค่เริ่มต้นเท่านั้น ทุกวันคืนที่นางยังอยู่ในสำนักศึกษาเทียนซู จะมีฝันร้ายของนางทุกวัน ซิงโล่เฉินพูดว่า “จูนจิ่วเจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะปิดกั้นลดพลังฝึกฝนให้เท่ากับเจ้า ข้านั้นยุติธรรมอยู่แล้ว”