บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 431 หนึ่งคนหนึ่งแมวขี้หึง
ยาเสริมจิตลิ่วเริ่น ยาพละกำลัง ยาสมดุลเป็นต้น ยาชั้นดีทั้งสิบเม็ด ผ่านกรรมวิธีการกลั่นที่ซับซ้อน พูดกันว่าแม้แต่ปรมาจารย์กลั่นยายังสามารถกลั่นได้แค่หนึ่งในสิบเม็ดนี้ ก็นับว่าร้ายกาจมากแล้ว นี่เป็นการรวบรวมมาอย่างจงใจของป้าฟาง เพื่อจะทำให้จูนจิ่วล้มเหลว
แต่นางคงคิดไม่ถึงว่า จูนจิ่วนั้นวิปริตอย่างเหลือเชื่อ ถึงขั้นทำให้ขนหัวลุกได้
นางไม่เพียงแต่สามารถกลั่นออกมาทั้งหมด นางยังใช้เวลาเพียงแค่สิบห้าวันเท่านั้น เดิมทีต้องใช้เวลาถึงยี่สิบสามยี่สิบสี่วัน แต่เตาฟ้าดินเพรียวปราดทำให้จูนจิ่วรู้สึกประทับใจมาก ทำให้นางร่นเวลาไปได้เยอะ
ยาเม็ดสุดท้ายคือยาอายุวัฒนะจิ่วหยางกลั่นออกมาสำเร็จแล้ว จูนจิ่วเก็บเตาฟ้าดินเพรียวปราด ดับไฟที่ก่อขึ้นมาจากหินทิพย์ จากนั้นก็เก็บวัตถุดิบและเครื่องมือที่ไม่ได้ใช้อย่างช้าๆ
ทำทั้งหมดเสร็จแล้ว ก็เสียเวลาของจูนจิ่วไปอีกหนึ่งชั่วยาม นางทำเสร็จแล้ว โน้มตัวไปข้างหลังนอนอยู่บนขนปุกปุยของเสี่ยวอู่ ในขนที่อ่อนนุ่ม เสี่ยวอู่ยื่นหัวเข้ามา ท่าทีสนิทสนมแล้วก็สะกิดจูนจิ่วเบาๆ “เจ้านายลำบากแล้ว เจ้านายยอดเยี่ยมที่สุด”
“ข้ารู้ฝีมือวิชาแพทย์ของตัวเองดีที่สุด ที่ยอดเยี่ยมนั้นไม่ใช่ข้า แต่เป็นเตาฟ้าดินเพรียวปราดใบนี้ ”จูนจิ่วยกมือขึ้น สองตามองไปยังเตากลั่นยาที่มีขนาดเล็กกะทัดรัดทั้งยังเบาดุจไร้น้ำหนักด้วยตาแวววาว ถ้าไม่ได้ใช้ด้วยตนเอง จูนจิ่วก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าเตาฟ้าดินเพรียวปราดจะน่าใช้ขนาดนี้
ไม่เพียงแต่จะสะสมความร้อนได้เร็วยังให้ความร้อนสม่ำเสมอ ถ่ายทอดพลังของหินทิพย์ได้สมดุล การสกัดความบริสุทธิ์ของตัวสมุนไพรยิ่งไม่ต้องให้นางต้องเสียเวลาทำ เตาฟ้าดินเพรียวปราดสามารถยกระดับเองได้ จูนจิ่วแทบจะสงสัยว่า เตาฟ้าดินเพรียวปราดนี้ได้รับการเบิกเนตรแล้วใช่หรือไม่
มองจูนจิ่วที่ดูจะชื่นชอบ เตาฟ้าดินเพรียวปราดมาก เสี่ยวอู่ก็หึงขึ้นมาทันที
เขาใช้แรงสะกิดจูนจิ่ว ทำให้จูนจิ่วเขยิบจากบริเวณทรวงอกไปอยู่ที่หน้าท้อง ยังใช้หางม้วนตัวของจูนจิ่วเอาไว้ไม่ให้หนี แววตาของเสี่ยวอู่มีแววน่าสงสารน้อยใจฉายอยู่ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า เสี่ยวอู่ร้องเหมียวๆ
“มันดีกว่าเหมียวๆหรือ”
“หึงหรือ ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าเสี่ยวอู่ดีที่สุดแล้ว ข้ารักเสี่ยวอู่ของข้ามากที่สุดเลย ”จูนจิ่วรีบหันไปปลอบเสี่ยวอู่ทันที
นางไม่ทันเห็น เตาฟ้าดินเพรียวปราดหล่นลงที่พื้นแล้วเกิดการสั่นเล็กน้อย ราวกับไม่ค่อยพอใจในคำพูดของจูนจิ่ว แต่การเคลื่อนไหวนั้นไร้เสียงดึงดูดให้คนสนใจได้ ก็ถูกพลังที่ไร้ตัวตนกดทับเอาไว้
เตาฟ้าดินเพรียวปราดรีบเปลี่ยนจากการเปล่งประกายแสง กลายเป็นของตายอย่างสิ้นเชิง เพราะเขารับรู้ได้ถึงไอสังหาร
มีปีศาจที่มาด้วยความหึงหวงอีกคนหนึ่ง ตอนแรกก็หึงเตาฟ้าดินเพรียวปราด ของที่เขาส่งมาให้ ทำไมจึงไม่เข้าข้างเขา จากนั้นก็หึงเสี่ยวอู่ รักเสี่ยวอู่ที่สุด แล้วเขาเล่า
หนังและขนของเสี่ยอู๋หนา จงไม่รู้สึกหนาว มีไอเย็นที่ไม่รู้ที่มา มันก็คิดว่าเป็นเพราะอุณหภูมิที่ต่ำลงเพราะดับไฟ เสี่ยวอู่เอาแต่ออดอ้อนออเซาะจูนจิ่ว “เจ้านายกลั่นยาเสร็จแล้ว พวกเราจะออกไปเมื่อไหร่”
“รออีกหน่อย ”
จูนจิ่วคิวด่าจะฝึกฝนอย่างสงบอยู่ที่นี่สักห้าหกวันค่อยออกไป ไม่เช่นนั้น สิบห้าวันกลั่นยาสิบเม็ดสำเร็จ มันเหลือเชื่อเกินไป
ที่นี่คือสำนักศึกษาเทียนซู ทั้งในที่แจ้งที่ลับต่างก็มีศัตรูชั่วร้ายคอยจ้องมองอยู่ จูนจิ่วไม่อยากจะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้วต่อสู้กันขึ้น เก็บปลายดาบไว้ก่อนชั่วคราว เฝ้ารอการมาของเย่ส้าอย่างใจเย็น
สองวันก่อนเขาได้รับจดหมายจากเย่ส้า ขบวนนักจิตใหญ่ของนางส่วนหนึ่งได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว ไม่ช้าจะเร่งมาถึงสำนักศึกษาทั้งสาม จูนจิ่วเลือกสนามรบในสำนักศึกษาเทียนซู ก่อนลงมือนางยังต้องคิดวางแผนดีๆอีกครั้ง
หลับตานั่งขัดสมาธิ ในใจของจูนจิ่วคิดแต่เรื่องนี้
พริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าวันแล้ว จูนจิ่วตัดสินใจจะออกไป ตอนที่นางเปิดประตู ใบหน้าของคนที่เฝ้าประตูรู้สึกประหลาดใจ หนึ่งในนั้นถือว่ายังมีกิริยาดีพูดขึ้นว่า “ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเลย ”
“ข้าทำเสร็จแล้ว ออกไปก่อนได้หรือไม่ ”
อะไรนะ
จูนจิ่วสำเร็จก่อนเวลาที่กำหนด
คนที่เฝ้าประตูใบหน้าเต็มไปด้วยความมึนงง ตอนที่ได้สติจะตอบกลับไป จูนจิ่วก็ได้พาเสี่ยวอู๋จากไปไกลแล้ว พวกเขาได้แต่มองหน้ากัน “รีบแจ้งป้าฟางเร็วเข้า”
“อย่า ไปรายงานศิษย์พี่ซิงก่อน ”
……
ที่ๆจูนจิ่วใช้เก็บตัวเพื่อกลั่นยานั้นห่างจากสวนใจกลางทะเลสาบไม่ไกลนัก ตอนที่นางกับเสี่ยวอู่กลับไปถึง พวกชิงหยู่ยังไม่กลับมา จูนจิ่วไม่อยากไปพบป้าฟางที่ชั้นเรียน จึงได้ไปเดินเล่นที่ข้างทะเลสาบ
ระหว่างเดิน จูนจิ่วก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นฝู้หลินจ้านถือตะกร้าเดินมา
พลางเดินพลางพึมพำว่า “กุ้งที่นี่อร่อยที่สุด จับไปสักหน่อย ย่างเป็นมื้อดึก ต้องอร่อยมากแน่ๆ”
“กุ้งอะไร”จูนจิ่วพูดออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้ฝู้หลินจ้านสะดุ้งตกใจ
เงยหน้ามองเห็นเป็นจูนจิ่ว ฝู้หลินจ้านจากอาการระแวงก็กลายเป็นรอยยิ้มสดใส เขาเกาที่ท้ายทอยพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นจูนจิ่วเจ้านั่นเอง เป็นกุ้งอวี่หลินมใต้ทะเลสาบนี้ ตัวขาวใสราวกับหยกสวยงามมาก และแน่นอนว่าก็อร่อยมากด้วยฮ่าฮ่า”
“แต่ว่าในทะเลสาบมีค่ายกล หลิงซวงไม่ให้ข้ามาจับ ฉะนั้นข้าจึงต้องแอบมา จูนจิ่วเจ้าอย่าบอกกับหลิงซวงเด็ดขาด ข้าปวดหัวเวลาที่เขาโกรธแล้วเอาแต่จ้องข้าด้วยสายตาเย็นๆ กลางคืนก็ไม่ได้นอนดีๆ รอให้ข้าย่างเสร็จแล้ว ข้าจะแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งดีหรือไม่”ฝู้หลินจ้านยักคิ้วหลิ่วตาให้จูนจิ่ว
จูนจิ่วยังไม่ทันได้พูดอะไร เสี่ยวอู่ก็อดไม่ไหวแล้ว
น้ำลายมันไหลยืด กอดขาของจูนจิ่วเอาไว้พยักหน้าให้กับฝู้หลินจ้านไม่หยุด ฝู้หลินจ้านเห็นแล้ว น่ารักจนทำให้เลือดกำเดาจะไหล แต่ยังไงเขาก็ต้องได้ความเห็นชอบจากจูนจิ่ว
“เหมียว ”ร้องเหมียวๆอย่างออดอ้อน เสียงร้องลากยาวไม่หยุด
จูนจิ่วยิ้ม “ได้”
ฝู้หลินจ้านจับกุ้งอวี่หลินอยู่สักพัก จึงหันกลับมาอย่างกะทันหันราวกับเพิ่งได้สติจ้องมองไปทางจูนจิ่ว เขานิ่งอึ้ง “จูนจิ่วทำไมเจ้าออกมาแล้ว นี่ยังไม่ถึงเวลาหนึ่งเดือนนี่นา ”
“กลั่นยาเสร็จก็กลับ”จูนจิ่วยิ้ม
“ร้ายกาจ”
ตะลึงจนตาค้าง เป็นนายกว่าฝู้หลินจ้านจะเอ่ยสองคำนั้นออกมาได้ เขาไม่สงสัยว่าจูนจิ่วจะหลอกเขา ที่คนอื่นทำไม่ได้นั้นเพราะเป็นคนอื่น จูนจิ่วนั้นเป็นปีศาจ วิปริตเหนือธรรมชาติอย่างเหลือเชื่อ มีเพียงสิ่งที่นางไม่ทำ ไม่มีสิ่งที่นางทำไม่ได้
ฝู้หลินจ้านเอ่ยเบาๆว่า “จูนจิ่ว เจ้าคือคนหนึ่งที่ข้ารู้สึกชื่นชมที่สุดในตอนนี้ ”
“เช่นนั้นท่านก็รักษามันไว้ต่อไป ต่อไป ข้าก็จะยังคงเป็นคนที่ท่านชื่นชมที่สุดเช่นกัน และไม่ใช่หนึ่งในหลายคนด้วย”
“ดี ”ปรบมือให้ลูกพี่ใหญ่
ดูฝู้หลินจ้านจับกุ้ง จูนจิ่วก็รอจนรู้สึกไร้สาระ จึงได้แต่คุยกับฝู้หลินจ้านขึ้นมา ไม่รู้ทำไม พูดไปพูดมาหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป
จูนจิ่วพูดว่า “ฝู้หลินจ้าน หากมีสาวงามดุจเทพธิดามาหลงรักเจ้า ทุ่มเทให้เจ้าทั้งใจ อีกทั้งยังช่วยเจ้าทุกเรื่อง ปกป้องเจ้า และยังเป็นคนที่เข้าใจเจ้ามากที่สุดในโลก เจ้าจะรักนางหรือไม่ ”
ดวงตาของฝู้หลินจ้านเบิกกว้างทันที ตาเป็นประกายหยาดเยิ้มมองไปทางจูนจิ่ว มุมปากมีรอยยิ้มโง่ๆผุดขึ้น
จูนจิ่วมุมปากกระตุก “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ”
ฝู้หลินจ้านรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฝันดีได้ไม่กี่วินาทีก็ต้องกลับสู่ความเป็นจริงเสียแล้ว น่าเสียใจจริงๆ แต่ฝู้หลินจ้านก็คิดทบทวนอย่างจริงจังอยู่สักครู่ ตอบจูนจิ่วไปว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าข้ามีสาวงามที่ดีต่อข้าขนาดนี้ ถ้าข้ายังไม่รู้จักรักษาเอาไว้ เช่นนั้นไม่เท่ากับเป็นคนโง่หรอกหรือ ”
น่าจะ คงจะเป็นคนโง่ จูนจิ่ว :……
จูนจิ่วเสริมขึ้นว่า “แต่พวกเจ้ารู้จักกันไม่นาน และเข้าใจกันและกันไม่มากนัก”
“นางเข้าใจข้าก็พอแล้ว หากคลาดจากนางแล้วคงไม่มีอีก อย่างไรเสียก็รีบอยู่ด้วยกันให้เร็วที่สุด”ฝู้หลินจ้านยิ่งฟังก็เหมือนตัวเองกำลังถูกให้ความหวัง แต่ยังพูดไม่ออกถึงเหตุผล เหมือนมันมีอะไรทะแม่งๆอยู่ ทำไมจูนจิ่วถึงได้ถามเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน