บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 442 หอมมาก อร่อยมาก
อินทรีหัวเสือดาวสามตาตายแล้ว
ป้าฟางไม่อยากจะเชื่อ นิ่งอึ้งอยู่นานกว่าจะหันไปทางเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูและพูดว่า “อินทรีหัวเสือดาวสามตาตายแล้ว”
นางเป็นคนจับอินทรีหัวเสือดาวสามตามาเอง นางโรยสิ่งที่สามารถสะกดรอยตามได้บนร่างของอินทรีหัวเสือดาวสามตา เพื่อป้องกันหากกระจกน้ำถูกพบเห็นเข้า นางยังสามารถรู้ตำแหน่งที่อยู่ของอินทรีหัวเสือดาวสามตาได้ และสามารถไปช่วยจูนจิ่วได้ทัน
และแล้ว กระจกน้ำที่ซ่อนอยู่บนที่ครอบผมของจี้อีหมิงก็ถูกจูนจิ่วค้นพบ และทำลายทิ้งกับมือ แต่ตอนนี้ ความรู้สึกที่เชื่อมโยงกันบอกนางว่า สัตว์ทิพย์ระดับแปดอินทรีหัวเสือดาวสามตาได้ตายแล้ว สัตว์ทิพย์ที่มีพลังเทียบเท่านักจิตใหญ่ชั้นห้า ใครสามารถฆ่ามันได้
ปฏิกิริยาแรกของป้าฟางคือ ร้อนใจและกังวล “เจ้าสำนักศึกษาเทียนซู หรือว่าสัตว์ทิพย์ในสนามสัตว์ทิพย์แอ่งกระทะนั้นไม่ได้ถูกจัดการไปทั้งหมด ยังมีสัตว์ทิพย์ที่ร้ายกาจกว่าหลงเหลืออยู่ หรือว่ามีนักจิตใหญ่อยู่ข้างใน ”
“เป็นไปไม่ได้ ”เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูยิ่งตะลึงกว่า เขาปฏิเสธออกไปอย่างแน่ใจยิ่งนัก
ป้าฟางได้แต่ขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนตัวเองจะลืมอะไรบางอย่างไป นางถามขึ้น“เพราะอะไร”
เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูไม่สามารถพูดออกไปได้ว่า เพื่อที่เขาจะจับตัวจูนจิ่วให้ได้ เขาได้ทำการตรวจสอบสัตว์ทิพย์ทั้งหมดในสนามสัตว์ทิพย์แอ่งกระทะแล้ว ข้างในนอกจากหน่วยกล้าตายของเทียงฉิว เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนอื่น สัตว์ทิพย์ที่ร้ายกาจ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็คิดไม่ออก ใครกันที่ฆ่าอินทรีหัวเสือดาวสามตา เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูแสร้งยิ้ม และพูดว่า “เพราะว่าข้าได้สำรวจตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว และได้ลงมือทำเอง ไม่มีข้อผิดพลาดแน่ ตอนนี้อินทรีหัวเสือดาวสามตาก็ได้ตายไปแล้ว อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าจะไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิตของพวกเขาอีกมิใช่หรือ”
ป้าฟางรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็เป็นความประหลาดใจที่พูดไม่ออก
นางเม้มมุมปาก กำหมัดเบาๆแล้วคลายออก ป้าฟางพยักหน้า“ท่านพูดถูก เช่นนั้นก็คงต้องรอให้พวกเขาจับสัตว์ทิพย์ออกมาแล้ว”
น้ำเสียงของป้าฟางขรึมลงเล็กน้อย ครั้งนี้ นางแพ้อีกแล้ว ด้วยความฉลาดของจูนจิ่ว ความสามารถและโชค นางต้องจับสัตว์ทิพย์ระดับเจ็ดได้แน่ ป้าฟางทั้งรู้สึกดีใจและปวดหัว ดีใจที่จูนจิ่วยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้ ปวดหัวที่ตัวเองพ่ายแพ้ แล้วต้องคิดหาวิธีการใหม่อีกแล้ว
นางหลุบตาลงปิดบังแววตาครุ่นคิดเอาไว้ ป้าฟางอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ถ้าหากนางพูดความจริงกับจูนจิ่ว จูนจิ่วจะจากไปอย่างเชื่อฟัง ไม่ ไม่ได้ นางรับปากกับม่านตงแล้วว่าจะไม่พูด แม้จะเป็นลูกสาวนางก็พูดไม่ได้
ป้าฟางที่เข้าสู่ห้วงความคิด ไม่ทันได้สังเกตเห็นเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูที่แอบปล่อยนกพิราบสื่อสารออกไป
นกพิราบที่บินอยู่ท่ามกลางหิมะขาวในฤดูหนาว อำพรางร่างสีขาวของมันได้เป็นอย่างดี บินตรงไปยังสนามสัตว์ทิพย์แอ่งกระทะ เก็บปีกร่อนลงตรงกลางฝ่ามือของซิงโล่เฉินที่ยกขึ้นรอ หงยิงรีบเข้าไปดู “ศิษย์พี่ซิง ในจดหมายว่าอย่างไรบ้าง”
“ท่านผู้เฒ่าให้เราลงมือได้แล้ว”ซิงโล่เฉินปล่อยนกพิราบบินไป จากนั้นก็ทำลายจดหมาย เงยหน้ามองหงยิง ยิ้มอย่างยโสชั่วร้าย “ไปเถอะ ได้เวลากระชับวงล้อม ต้อนเหยื่อเข้ากรงขังแล้ว”
“ดีเลย ”หงยิงปรบมือ มุมปากโค้งขึ้น ทั้งดีใจและโหดเหี้ยม
ซิงโล่เฉินหมุนตัว มองไปทางด้านหลังของพวกเขามีหน่วยกล้าตายของเทียนฉิวนับร้อยอยู่ด้วย หน่วยกล้าตายสองคนตรงหน้าเขากางแผนที่ออก ข้างบนนั้นวาดแผนที่ของสนามสัตว์ทิพย์แอ่งกระทะไว้อย่างละเอียด
ซิงโล่เฉินยืนอยู่หน้าแผนที่ เอ่ยขึ้นว่า “นอกสนามสัตว์ทิพย์ให้วางตัวหน่วยกล้าตายเทียงฉิวไว้ให้เต็ม พวกจูนจิ่วหนีไม่พ้นแน่ พวกเราก็แค่เริ่มต้นจากจุดที่เกิดไฟไหม้ กระจายการค้นหาเป็นวงกว้างออกไป อากาศหนาวขนาดนี้ บนพื้นเป็นแผ่นน้ำแข็งบางๆ พวกเขาไปได้ไม่ไกลหรอก”
“ออกเดินทางหงยิงออกคำสั่ง
……
ในป่าของสนามสัตว์ทิพย์แอ่งกระทะ ยอดไม้ที่แน่นหนาไม่ได้รับผลกระทบจากอากาศหนาว ยังคงกางใบบดบังหิมะส่วนใหญ่ที่โปรยปรายลงมา ก่อไฟขึ้นข้างล่างต้นไม้ บนพื้นปูพรมหนานุ่ม
ทุกคนต่างนั่งล้อมวงกัน น้ำลายไหลยืดยาว สายตาที่เปล่งประกายแวววาวจ้องมองอาหารเลิศรสที่อยู่ตรงหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะจูนจิ่วให้พวกเขารอก่อน เกรงว่าคงถูกแย่งกินจนไม่เหลือนานแล้ว
ฝู้หลินจ้านเช็ดน้ำลาย ถามอย่างน่าสงสารว่า “จูนจิ่ว พวกเราต้องรอใครอีก คงไม่ใช่ซิงโล่เฉินกับหงยิงกระมัง ”เพิ่งจะพูดชื่อของสองคนนั้นออกไป ฝู้หลินจ้านก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้านขึ้นมา แค่คิดก็รู้สึกปวดหัวแล้ว
แต่ว่าในสนามสัตว์ทิพย์แอ่งกระทะนี้ นอกจากเขาสองคนแล้วยังมีใคร
ปากแดงของจูนจิ่วโค้งขึ้น ยิ้มอย่างมีความสุข “มาแล้ว”
ใคร
เพิ่งจะบอกว่าให้รอ แต่มาถึงเร็วขนาดนี้เชียว เป็นใครกัน
โดยเฉพาะเห็นแววตาที่แฝงรอยยิ้มคู่นั้นของจูนจิ่ว พวกเขามีความรู้สึกว่าแววตานั้นเปล่งประกายส่องสว่างมาก ก็ทำให้ยิ่งประหลาดใจว่าเป็นใครกันแน่ พอเงยหน้ามองคนที่มา ตอนนี้ตาของพวกเขาจะบอดเพราะลำแสงเปล่งประกายนั้นจริงๆ
ให้ตายเถอะ เป็นบุรุษ ที่งดงามมาก
“อู๋เยว่เข้ามานั่งสิ ลองชิมเนื้ออินทรีหัวเสือดาวสามตาที่ข้าทำขึ้นเป็นอาหารต่างๆดู”จูนจิ่วยิ้มพลางตบไปยังที่นั่งข้างตนเอง ชิงหยู่ก็ขยับตัวออกไปเพื่อให้มีช่องว่างที่ใหญ่ขึ้น มีเพียงเสี่ยวอู่ที่ไม่พอใจ นอนหมอบอยู่ที่ขาของจูนจิ่วแสดงความเป็นเจ้าของ
รอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากของโม่อู๋เยว่ยิ่งลึกล้ำขึ้นหลายส่วน “ได้”
โม่อู๋เยว่นั่งลงแล้ว แต่ทุกคนยังไม่ได้สติกลับมา จนกระทั่งเหลิ่งยวนค่อยๆเบียดตัวเขาไปนั่งแทรกระหว่างชิงหยู่กับมู่จิ่งหยวนอย่างเงียบๆ ไอแห้งๆหนึ่งเสียง“คือว่า ขยับที่ให้บ้างได้หรือไม่”
แม้ว่างข้างกายของโม่อู๋เยว่กับจูนจิ่วยังมีที่ว่าง แต่เขาไม่ได้มีตาไม่มีแวว ไปนั่งกินอาหารจากความรักของเจ้านายยังต้องทนสายตาที่ปล่อยลำแสงแห่งความตายด้วย ไปเบียดกับพวกชิงหยู่เสียยังจะดีกว่า ไม่เพียงปลอดภัยยังจะอบอุ่นอีกด้วย
ขยับเว้นที่ให้เหลิ่งยวนนั่งอย่างไร้เสียง ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่กล้าจ้องมองโม่อู๋เยว่ ไม่ใช่เพราะพลังอำนาจของโม่อู๋เยว่ ตอนนี้เขาที่นั่งอยู่ข้างจูนจิ่วเช่นนั้นจึงจะเรียกว่าคู่รักสมัครสมาน แต่ว่าหน้าตาช่างงดงามเกินไป ทำเอาพวกเขากลายเป็นเศษอะไรสักอย่างไปแล้ว
ผ่านไปชั่วครู่ฝู้หลินซวงจึงถามขึ้นว่า “เขาคือ”
“ขอแนะนำ อาจารย์ข้าโม่อู๋เยว่ อีกครู่ข้าต้องให้เขาช่วยเหลือ ฉะนั้นต้องติดสินบนด้วยของกินให้เขาก่อน ”จูนจิ่วยิ้ม เอ่ยอย่างมีเลศนัย แล้วมองไปยังทุกคนและพูดว่า “เอาล่ะกินเถอะ กินแล้วจะได้ทำงานต่อ”
ทุกคน:??
ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัย แต่พอได้ยินว่าเริ่มกินได้ ก็รีบทิ้งความสงสัยทั้งหมดไว้ข้างหลัง มือไวตาไวรีบคว้าอาหารเลิศรสที่ตนเล็งไว้ว่าอยากกิน
จูนจิ่วหยิบเอาเนื้อกระดูกอินทรีหม่าล่าขึ้นมาหนึ่งชิ้น นี่เป็นเนื้อซี่โครง มีมันผสมเนื้อลงตัว ย่างออกมาได้หอมมาก นางเพิ่งจะแทะได้นิดเดียว เห็นโม่อู๋เยว่เอาแต่มองตนเอง ก็เลิกคิ้วพูดว่า “ชิมดู”
โม่อู๋เยว่ไม่ได้พูดอะไร เขาก้มหน้าเข้าใกล้ จูนจิ่วนิ่งอึ้ง เห็นโม่อู๋เยว่กำข้อมือของนางเอาไว้ แล้วก็ชิมเนื้อซี่โครงอินทรีย่างหม่าล่าที่อยู่ในมือนาง
พอกลืนผ่านลำคอลงไป ก็มีรอยยิ้มหยอกเย้าส่งผ่านมา คลอเคลียอยู่ที่ข้างหูของจูนจิ่ว
โม่อู๋เยว่พูดว่า “หอมมาก อร่อยมาก”
ปลายหูของจูนจิ่วแดงขึ้นเล็กน้อย สายตามองข้ามไปด้านหลังของโม่อู๋เยว่ นางเอ่ยขึ้นว่า “เนื้อของสัตว์ทิพย์แฝงพลังปราณ กินเยอะไม่ดี แต่ว่าท่านมีพลังฝึกฝนสูงส่ง น่าจะไม่กระทบอะไร ถ้าท่านชอบก็กินอย่างสบายใจเถอะ”
นี่มันเป็นการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
โม่อู๋เยว่ยิ้มบางๆ พูดพลางยิ้มร้าย“ถ้าข้าชอบ เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จะทำให้ข้ากินตลอดชีวิตหรือไม่ ”
จูนจิ่ว:……
ทุกคนที่ต่างกำลังกินอยู่ต่างก็ตัวแข็งทื่อ สายตามีแววมึนงงสงสัยขึ้นพร้อมกัน นี่พวกเขาเป็นส่วนเกินหรือไม่
“ฝันไปเถอะ”เสี่ยวอู่ฟังต่อไม่ไหวแล้ว กระโดดเข้าไปตะกุยที่อกของโม่อู๋เยว่“ตลอดชีวิต เจ้านายจะทำแค่อาหารแมวให้แมวกิน ของท่านไม่มี ”