บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 443 หยอกแม่นางจูนอย่างลื่นไหล
นี่ยังไม่ทันได้อยู่ด้วยกัน ยังไม่มีสถานะอะไรเลย ก็คิดจะแย่งถ้วยกินข้าวกับมัน เสี่ยวอู่เป็นตัวแรกที่ไม่เห็นด้วย
มีมือหนึ่งยื่นมาคว้าคอข้างหลังของเสี่ยวอู่ จูนจิ่วจับมันกลับไปกดไว้กับอ้อมอก มุมปากกระตุก จูนจิ่วคำรามเสียงเย็น “ข้าไม่ใช่แม่ครัว อยากให้ข้าทำให้พวกเจ้ากินตลอดชีวิต คิดได้สวยหรูเกินไปแล้ว แม้แต่ข้าวแมวก็ไม่ทำ”
“เหมียวฮือ”ไม่มีข้าวให้กิน เสี่ยวอู่ไม่เข้าใจ
โม่อู๋เยว่ยิ้ม ยกมือขึ้นป้อนผลไม้ให้กับจูนจิ่วคำหนึ่ง เขายิ้มและพูดอย่างชั่วร้ายว่า“ข้าจะทะนุถนอมอย่างดี ขอเพียงเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์บอกมาว่าอยากจะกินอะไร ย่อมต้องมีพ่อครัวมือดีในใต้หล้าแย่งกันเอาใจเจ้า เสี่ยวอู่ก็สามารถสั่งข้าวแมวได้ด้วย ”
“เหมียว”เสี่ยวอู่ถูกชักจูงให้เป็นพวกเดียวกันทันที ลืมเรื่องที่โม่อู๋เยว่เพิ่งบอกว่าจะแย่งข้าวของมัน
ทุกคนที่เห็นฉากนี้ ต่างก็เหมือนพบเจอเรื่องดีๆเข้าแล้ว เหลิ่งยวนพูดกระซิบเบาๆว่า “เห็นหรือยัง เจ้านายข้าหยอกเย้าแม่นางจูนได้ลื่นไหลมาก แม้แต่แมวก็ยังเอาอยู่”
“เขาเป็นอาจารย์ของจูนจิ่วจริงหรือ ”ฝู้หลินจ้านกับเหลิ่งยวนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ทั้งสองต่างจ้องไปที่ชิงหยู่ พูดจบแล้ว ทั้งสองก็หันมาสบตากันเอง
เหลิ่งยวน โอ้โห
ฝู้หลินจ้าน ที่แท้ก็ไม่ใช่อาจารย์กับลูกศิษย์ธรรมดา คนที่จูนจิ่วพูดถึงคนนั้นก็คือเขา เหลือบเห็นสีหน้าของทั้งสองคน ชิงหยู่ได้แต่กุมหน้าไว้เงียบๆ อย่าถามเขา เขาก็แค่นักขับมือใหม่ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่อยากจะพูดอะไรด้วย ลาก่อนมู่จิ่งหยวน ยังคงนิ่งอึ้งไม่ได้สติ
มีเพียงฝู้หลินซวงที่เย็นชาสงบนิ่ง ไร้คลื่นลมใดๆ
เห็นทุกคนกินกันอิ่มพอสมควรแล้ว จูนจิ่วจึงพูดขึ้นว่า “อีกสักครู่จะมีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเกิดขึ้น ข้าแค่จะเตือนพวกเจ้า ตามติดข้าให้ดี อย่าได้แตกแถวเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่สนใจไม่รับผิดชอบ”
รู้สึกได้ถึงความไม่ปกติ ทุกคนต่างนั่งตัวตรงจ้องมองไปทางจูนจิ่ว
จูนจิ่วเอียงคอหันไปมองทางโม่อู๋เยว่ ไม่ต้องให้นางได้เปิดปากพูดก่อน โม่อู๋เยว่ก็ยิ้มชั่วร้าย “ในที่สุดเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็คิดถึงข้าซะที พูดเถอะ เจ้าจะให้ข้าทำอะไร”
จูนจิ่ว “ปิดกั้นพื้นที่สนามสัตว์ทิพย์แอ่งกระทะ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปห้ามให้ผู้ใดเข้าออกได้ จนกระทั่งข้าสั่งให้ปลดการปิดกั้นเท่านั้น ”
“ได้”โม่อู๋เยว่ตอบตกลง เขาทำมือท่าหนึ่ง เหลิ่งยวนรีบยืนขึ้นออกไปจัดการทันที
ได้ยินคำพูดของจูนจิ่ว แล้วมองท่าทีของโม่อู๋เยว่ เหลิ่งยวนจากไป สีหน้าของพวกมู่จิ่งหยวนไม่ได้เปลี่ยนไป ที่จริงคือถูกทำให้ตกใจจนตะลึง ปิดกั้นสนามสัตว์ทิพย์แอ่งกระทะ นี่มันต้องใช้พลังที่แข็งแกร่งขนาดไหน จึงจะสามารถทำได้
ถึงแม้เจ้าสำนักศึกษาทั้งสามรวมตัวกันก็ยังปิดกั้นทั้งหมดไม่ได้ ไม่ให้ผู้ใดเข้าออกได้ แต่โม่อู๋เย่ไม่ได้ลงมือเองด้วยซ้ำ แต่กลับให้ลูกน้องของเขาไปทำ เหลิ่งยวนมีพลังมากแค่ไหนกันเชียว แล้วโม่อู๋เยว่เล่าแข็งแกร่งขนาดไหน
ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ธรรมดา จะเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นแล้ว
มู่จิ่งหยวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ศิษย์น้องจูน เจ้าจะทำเช่นไร”
“ในเมื่อเทียงฉิวได้เตรียมเรื่องให้พวกเราได้ประหลาดใจตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะทำให้พวกเขาประหลาดใจบ้าง เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูส่งคนเข้ามาเท่าไหร่ ข้าก็จะให้พวกเขาตายเท่านั้น”
พูดออกไปแล้ว ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
ไม่เพียงแต่ตกใจในน้ำเสียงแฝงแววสังหารของจูนจิ่ว แต่ยังตกใจที่ได้รู้ว่าเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูได้ส่งคนเข้ามาในนี้ด้วย นอกจากซิงโล่เฉินกับหงยิง ยังจะมีใครอีก แล้วจูนจิ่วรู้ได้อย่างไร
ฝู้หลินซวงปฏิกิริยาเร็วที่สุด พูดตรงประเด็นว่า “ไฟไหม้ที่ถ้ำก็เป็นฝีมือพวกเขาสินะ”
“ใช่”
เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูคิดว่าฟ้ามืดแล้ว พวกเขาคงไม่จากไปไหน อย่างน้อยก็ต้องหยุดพักสักคืน จึงได้ส่งคนมาวางเพลิง แม้จะไม่สามารถฆ่าคนให้ตายได้ แต่ก็ทำให้พวกเขาบาดเจ็บสาหัสได้ โชคดีที่จูนจิ่วมีลางสังหรณ์ก่อน จึงบอกให้พวกเขาออกมา ไม่เช่นนั้นคงยากจะนึกภาพขณะไฟไหม้ถ้ำแล้วต้องติดอยู่ด้านใน จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา
“แต่ว่าจูนจิ่วเจ้าจะให้พวกเขาตายทั้งหมดได้อย่างไร ไปฆ่าพวกเขาหรือ เจ้ารู้หรือว่าพวกเขาอยู่ที่ใด”
“ข้ารู้ แต่ไม่ใช่ข้าที่จะไปฆ่าพวกเขา ยืมดาบฆ่าคนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์”จูนจิ่วยิ้มเย็น สายตามีแววยโสโอหัง
ทุกคนสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง ยืมดาบใครฆ่าคน
พวกเขาเห็นเพียงจูนจิ่วหยิบเอากล่องใบหนึ่งออกมา เอาเมล็ดพันธุ์ขนาดเท่าปลายนิ้วออกมาจากในนั้นหนึ่งเมล็ด จูนจิ่วอธิบายว่า “นี่เป็นเมล็ดพันธุ์ดอกไม้จิตอสูร ตามตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อสัตว์ทิพย์ระดับเก้าตายไปโดยธรรมชาติแล้ว แกนสัตว์ทิพย์ที่ตกอยู่บนพื้นผ่านวันเวลา สามปีจึงจะออกดอกมาหนึ่งดอก ดอกไม้มีชีวิตหนึ่งเดือน หลังจากดอกไม้โรยราแล้วจะทิ้งเมล็ดพันธุ์ไว้หนึ่งเมล็ดเรียกกันว่าดอกไม้จิตอสูร”
เสี่ยวหยิ่งหมอบอยู่ที่แขนเสื้อของชิงหยู่ หรี่ตามองไปยังจูนจิ่ว เมล็ดพันธุ์ดอกไม้จิตอสูรนี้เอาออกมาจากกล่องของล้ำค่าของเขา ตอนนี้เหมือนเขาพอจะรู้แล้วว่าจูนจิ่วต้องการจะทำอะไร
ดอกไม้จิตอสูรสามารถทำให้สัตว์ทิพย์คลุ้มคลั่งได้ ต่ำกว่าระดับเก้า สัตว์ทิพย์ทุกตัวที่ได้กลิ่นดอกไม้จิตอสูร ก็จะดำดิ่งเข้าสู่ความปรารถนาโดยสัญชาตญาณ ขอเพียงพวกมันกินดอกไม้จิตอสูรเข้าไปก็จะสามารถบรรลุได้ ความเย้ายวนนี้ไม่มีสัตว์ทิพย์ตัวไหนสามารถต้านทานได้
จากนั้นจูนจิ่วก็หยิบเอาเครื่องหอมดึงดูดสัตว์ออกมาหนึ่งขวด โยนเมล็ดดอกไม้จิตอสูรเข้าไปในขวด เสียงจ๋อมดังขึ้น เกิดหยดน้ำกระจายเล็กน้อย จากนั้นเมล็ดพันธุ์ก็จมลงไปก้นขวด
จูนจิ่วมองไปทางทุกคน “ข้าจะเร่งการเติบโตของดอกไม้จิตอสูร เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการแช่ในเครื่องหอมดึงดูดสัตว์ ขอแค่มีรากงอกก็มีคุณสมบัติเทียบเท่าดอกไม้จิตอสูรเบ่งบาน ถึงเวลาก็โยนมันไว้บนร่างของพวกซิงโล่เฉิน พวกเจ้าทายซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ไม่ต้องคิด ภาพนั้นได้ลอยขึ้นปรากฏอยู่ในหัว ทุกคนต่างสั่นสะท้านขึ้นมาพร้อมกัน น่ากลัวมาก
สัตว์ทิพย์ระดับเจ็ดเท่าที่รู้ตอนนี้ได้ตายไปสองตัวแล้ว เหลืออีกห้าตัว ยังไม่แน่ใจว่าในสนามสัตว์ทิพย์แอ่งกระทะนี้ยังมีสัตว์ทิพย์ที่ต่ำกว่าระดับเจ็ดหรือไม่ ถึงตอนนั้นทั้งหมดถูกดึงดูดเข้ามาพร้อมกัน เหมือนกับการเคาะถ้วยส่งสัญญาณได้เวลาอาหารอย่างไม่ต้องสงสัย พวกซิงโล่เฉินต้องระวังตัวหน่อยแล้ว
ฝู้หลินจ้านตบที่หน้าอก พูดกลั้วหัวเราะว่า “ดีนะที่ข้าไม่ได้เป็นศัตรูกับจูนจิ่ว แต่ว่า จูนจิ่วเจ้ารู้ความเคลื่อนไหวของพวกเขาได้อย่างไรกัน ”
หรือว่า เป็นอาจารย์ของจูนจิ่วที่บอกนาง
กำลังคาดเดาอย่างอยากรู้ ก็เห็นจูนจิ่วโบกไม้โบกมือ ก็มีนกกระจอกเหลืองตัวหนึ่งบินมา ร่อนลงตรงปลายนิ้วของจูนจิ่ว สะบัดหิมะที่เกาะอยู่บนตัวทิ้งไป จูนจิ่วพูดว่า “นกน้อยจะพาพวกเราให้หาพวกเขาเจอ”
มหัศจรรย์ ทุกคนต่างเบิกตากว้าง นกน้อยยังสามารถนำทางได้ด้วย
ตอนนี้เหลิ่งยวนกลับมาแล้ว บอกกับจูนจิ่วว่าได้ทำการปิดกั้นเรียบร้อยแล้ว หากไม่มีคำสั่งนาง ไม่ว่าใครก็เข้าออกไม่ได้ แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายรวมถึงเขา และโม่อู๋เยว่กับจูนจิ่ว
ในมือของจูนจิ่วถือขวดเครื่องหอมดึงดูดสัตว์ทิพย์ที่ใส่เมล็ดพันธุ์ดอกไม้จิตอสูร นางยิ้มเย็นอย่างมีเลศนัยและเลือดเย็น “ไปกันเถอะ”
……
ซิงโล่เฉินกับหงยิงกำลังนำหน่วยกล้าตายเทียงฉิว กำหนดเป้าหมายล้อมลงค้นหาไม่หยุด และไล่ตามร่องรอยของพวกจูนจิ่ว
ระหว่างทางพวกเขาเดินทางถ้ำที่ถูกไฟไหม้ และบริเวณที่มีการต่อสู้กับอินทรีหัวเสือดาวสามตา พวกเขามองเห็นร่างที่ขาดวิ่นของอินทรีหัวเสือดาวสามตา ตกตะลึงอยู่นานจึงได้สติกลับมา ใครฆ่าสัตว์ทิพย์ระดับแปด อินทรีหัวเสือดาวสามตา
แต่ไม่ว่าอย่างไรซิงโล่เฉินกับหงยิงก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด ว่าเป็นพวกจูนจิ่วที่ฆ่ามันตาย
ค้นหาอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน ก็ยังไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อย ขณะที่ซิงโล่เฉินกับหงยิงกำลังหงุดหงิดอารมณ์เสีย คิดไม่ถึงว่าจูนจิ่วจะร่อนลงจากฟ้ามาอยู่ตรงหน้าพวกเขา
สวบ
ใบไม้ใบหนึ่งปลิวไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของซิงโล่เฉิน วิธีการนี้ค่อนข้างคุ้นตา เป็นวิธีการที่เขาชอบใช้ที่สุดตอนสร้างภาพ ซิงโล่เฉินรีบเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นจูนจิ่วนั่งอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ตรงข้าม ซิงโล่เฉินก็นิ่งอึ้งไปสักพัก
“จูนจิ่ว”หงยิงร้องตะโกนขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ทุกคน ยังไม่ล้อมนางเอาไว้อีก อย่าให้นางหนีไปได้”
หน่วยกล้าตายของเทียงฉิวกรูกันเข้าไป ล้อมรอบจูนจิ่วกับต้นไม้ใหญ่เอาไว้