บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 459 อุทิศชีวิตให้เลยเหมียว
ตู๋กูชิงต้องการเฝ้าสังเกตการณ์ ก็ให้เขาทำไป ขอเพียงไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งกับสำนักศึกษาเทียนซู จูนจิ่วก็จะไม่สนใจ ตอนนี้นางมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าต้องทำ
การบรรลุ
ไม่เพียงแต่บรรลุเป็นนักจิตชั้นเก้า นางต้องบรรลุนักจิตใหญ่ให้ได้ภายในครั้งเดียว ยาทิพย์ใหญ่ได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ต้องการเพียงเก็บตัวฝึกฝนเท่านั้น ก่อนทำการเก็บตัว หยูนเฉียวมาหาจูนจิ่วด้วยความเร่งรีบยื่นของบางสิ่งให้กับจูนจิ่ว
“นี่คืออะไร”
“กระดูกสวรรค์สร้างเซียน นี่คือเหตุผลที่ทำให้ข้าสามารถบรรลุได้ในเวลาสั้นๆ ”หยูนเฉียวยิ้ม กะพริบตาปริบๆมองไปยังจูนจิ่ว
เขาสามารถบรรลุจนล้ำหน้าจูนจิ่วไปในระยะเวลาสั้นๆ ช่างเหมือนกับการล่องลอยอยู่ในฝันอย่างไรอย่างนั้น แต่หยูนเฉียวก็สงบจิตใจลงได้อย่างรวดเร็ว เขานั้นฉวยโอกาสจนได้รับประโยชน์มหาศาล แล้วก็ได้รับยาทิพย์ใหญ่ที่จูนจิ่วกลั่นให้ ยังทำให้สามารถบรรลุเป็นนักจิตใหญ่ได้ ถ้าพูดถึงพรสววรค์ เขานั้นยังห่างชั้นจากจูนจิ่วอยู่มากโข
หยูนเฉียวเปิดกล่องออก เผยให้จูนจิ่วได้เห็นถึงเม็ดกลมๆสีขาวนวลราวกับไข่มุกเม็ดหนึ่งที่อยู่ข้างใน
หยูนเฉียวอธิบายว่า “ตอนที่ข้ากลับไป แล้วบังเอิญได้พบสิ่งนี้เข้าที่หลังเขากุยหยวนจง ชื่อของมันคือกระดูกสวรรค์สร้างเซียน เป็นเหมือนยาเซียนที่สามารถเพิ่มพลังได้อย่างก้าวกระโดด ข้ากับกู่ซงแบ่งกันคนละเม็ด เหลืออีกหนึ่งเม็ดเก็บไว้ให้กับแม่นางจูน”
“ข้าได้ยินไท่ซ่างฮ่องพูดกับชิงหยู่แล้ว เจ้าจะไปตำหนักไท่หวง กระดูกสวรรค์สร้างเซียนเม็ดนี้จะช่วยเจ้าได้พอดี แม่นางจูนโปรดวางใจ ข้ากับกู่ซงกินแล้วไม่ได้มีผลข้างเคียงอะไรเกิดขึ้น อีกทั้งเจ้าก็เป็นนักกลั่นยา สามารถตรวจสอบดูก่อนได้ ”
หยูนเฉียวพูด ด้วยท่าทีระมัดระวังอย่างยิ่ง ในสายตามีแววแห่งความคาดหวังว่าจูนจิ่วจะรับมันเอาไว้
ยิ้มบางๆผุดขึ้น จูนจิ่วรับกระดูกสวรรค์สร้างเซียนเอาไว้ไม่ได้ปฏิเสธไป นางพูดว่า “ขอบคุณ”
“ไม่ต้องขอบคุณ เป็นเรื่องสมควรแล้ว ไม่มีแม่นางจูนก็ไม่มีหยูนเฉียว ไม่มีตระกูลหยูน ถ้าไม่ใช่เพราะเกรงว่าแม่นางจูนจะรังเกียจ ข้าอยากจะตอบแทนพระคุณด้วยการ……”หยูนเฉียวพูดจนถึงจุดที่น่าตื่นเต้นที่สุด จู่ๆก็ติดขัดขึ้นมา
ตอนนี้มีเสียงเบาหวิวล่องลอยส่งมาจากที่สูงคำหนึ่ง “อุทิศให้ทั้งชีวิตเหมียว?”
ฟึ่บ
ใบหน้าของหยูนเฉียวแดงขึ้นมาสามารถหยดเป็นเลือดได้ในชั่วพริบตา เขาไม่กล้ามองจูนจิ่ว ฝืนใจประคองตัวเองให้ยืนหลังตรง รีบคำนับอย่างร้อนรน “ไม่รบกวนเวลาเก็บตัวของแม่นางจูนแล้ว ข้าขอตัวก่อน ”
เห็นหยูนเฉียวที่หนีหัวซุกหัวซุนออกไป ร้อนรนจนไม่ทันมองทางไปชนเข้ากับกิ่งไม้ สุดท้ายก็เอามือกุมที่หน้าผาก พลางสุดลมหายใจพลางวิ่งไปอย่างรวดเร็ว จูนจิ่วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองไปบนหลังคาที่มีเสี่ยวอู่กำลังนอนส่ายหางอยู่
ใบหน้าเสี่ยวอู๋ไม่รู้ไม่ชี้ ดวงตาแมวอันสดใสกะพริบปริบๆ “เหมียว ข้าไม่รู้นี่นาว่าเขาจะอายขนาดนี้”
ไม่ใช่อาย แต่เป็นเพราะเสี่ยวอู่พูดตรงกับที่ใจเขาคิดต่างหาก
จูนจิ่วรู้ว่าหยูนเฉียวนั้นหลงรักนาง แต่ไม่เคยตอบสนองมาก่อน ยิ่งไม่เคยไปจิ้มความคิดนั้นให้แตกออกมา เพราะว่ามันไม่จำเป็น เวลาจะบอกกับหยูนเฉียวเองว่าจะเลือกอย่างไรระหว่างอารมณ์กับความรัก
จูนจิ่วหมุนตัวเข้าห้อง โบกมือไปทางเสี่ยวอู่ “ข้าจะเก็บตัวฝึกฝนแล้ว เจ้าอยากทำอะไรก็ไปทำเถอะ”
“เหมียวจะเก็บตัวพร้อมกับเจ้านาย ”เสี่ยวอู่กระโดดลงมาจากบนหลังคา ก้าวเท้าแมวอย่างรวดเร็วเพื่อตามจูนจิ่วไปเก็บตัวด้วยกัน จูนจิ่วเก็บตัวฝึกฝน มันสามารถฝึกฝนวิชาจิตนกฟีนิกส์แดง ซึ่งมีผลดีสำหรับมัน
……
อีกฝั่งหนึ่ง ตู๋กูชิงกลับไปถึงตำหนักไท่หวงแล้ว คนที่เขาพากลับมาด้วย ยังมีหงยิง
ตรงหน้ามีสาวใช้ชุดสีฟ้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหาตู๋กูชิง คุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อคำนับ “ยินดีต้อนรับเจ้าตำหนักกลับคืนสู่ตำหนัก เจ้าตำหนักเมี่ยวยู่เอ๋อขอบังอาจเรียนถามเจ้าตำหนัก บอกเมี่ยวยู่เอ๋อได้หรือไม่ว่าใครเป็นคนฆ่าซิงโล่เฉิน”
“ซิงโล่เฉินระเบิดตัวเองตาย”ตู๋กูชิงมองกวาดสาวใช้ชุดสีฟ้าด้วยสายตาเย่อหยิ่งเย็นชาแวบหนึ่ง
สาวใช้ชุดสีฟ้ากัดฟันแน่น เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจในคำตอบนี้ นางกับซิงโล่เฉินเป็นเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกัน คนหนึ่งอยู่ข้างนอกอีกคนอยู่ข้างในทำงานเพื่อตู๋กูชิง แต่ซิงโล่เฉินดันมาตายอย่างกะทันหัน ทำให้เมี่ยวยู่เอ๋อสะเทือนใจมาก
ค่อยๆเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เมี่ยวยู่เอ๋อเผยให้เห็นใบหน้าที่น่าสงสารของตนเอง ถามขึ้นอย่างน้อยใจและน่าสงสารว่า “เจ้าตำหนักบอกกับเมี่ยวยู่เอ๋อได้หรือไม่ว่า ฝังร่างของเขาไว้ที่ใด”
เมี่ยวยู่เอ๋อยังคงมองตู๋กูชิง สายตาแฝงไปด้วยความรักที่ทำให้น่าหวั่นไหว แต่ไหนแต่ไรมาตู๋กูชิงก็ชอบที่จะมองสีหน้าของเมี่ยวยู่เอ๋อที่มีเต็มไปด้วยความรักทั้งที่ฐานะต่ำต้อย แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา ในสมองมีเงาร่างของจูนจิ่วผุดขึ้นมา แววตาของตู๋กูชิงลึกล้ำขึ้นมาเล็กน้อย
เขายกมือขึ้น ชายหนุ่มที่สวมชุดปักสีเงินปรากฏตัวขึ้น เอาขวดโกลในมือวางไว้ตรงหน้าของเมี่ยวยู่เอ๋อ ตู๋กูชิงพูดว่า “นี่เป็นอัฐิของซิงโล่เฉิน แล้วแต่เจ้าจะจัดการ”
“ขอบคุณเจ้าตำหนัก”
ตู๋กูชิงยังพูดอีกว่า “นอกจากนี้ข้าจะไปทำการแก้ไขประวัติของเจ้ากับซิงโล่เฉิน เขาไม่สามารถทำงานให้ข้าได้อีก ตายแล้วก็ไม่สามารถที่จะเกี่ยวข้องจนทำให้ข้าต้องแปดเปื้อนแม้แต่น้อย เข้าใจหรือไม่”
เมี่ยวยู่เอ๋อรีบพยักหน้าทันที “เข้าใจแล้ว”
ซิงโล่เฉินเป็นเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ส่วนตู๋กูชิงคือเจ้านายของนาง เป็นคนที่นางรักสุดใจ เมี่ยวยู่เอ๋อไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะเลือกฝ่ายหลัง ส่วนซิงโล่เฉิน นางจะเขาไว้อย่างดี อีกทั้งยังจะคิดหาวิธีตรวจสอบให้ได้ว่าใครเป็นคนฆ่าเขา แก้แค้นเพื่อเขาก็เท่ากับทำดีที่สุดแล้ว
เมี่ยวยู่เอ๋อกำลังจะถอยออกไป กลับถูกตู๋กูชิงร้องห้ามเอาไว้ ตู๋กูชิงพูดว่า “มีหญิงคนหนึ่งชื่อหงยิง มอบให้เจ้าไปอบรมสั่งสอนให้ดี หลังจากนี้หนึ่งเดือน ข้าต้องการให้นางทำงานร่วมกับเจ้าได้”
“เจ้าค่ะ”เมี่ยวยู่เอ๋อก้มหน้า สายตามีแววอิจฉาริษยาวาบผ่านอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวคนหนึ่ง ข้างกายของเจ้าตำหนักมีหญิงสาวคือนางแค่คนเดียว คนอื่นจะเคียงข้างไม่ได้ทั้งนั้น อบรมสั่งสอนหรือ เมี่ยวยู่เอ๋ออย่างชั่วร้ายเยือกเย็น นางจะทำการอบรมสั่งสอนผู้หญิงที่ชื่อหงยิงคนนี้อย่างดีทีเดียว
เมี่ยวยู่เอ๋อคิดว่าตนเองจะซ่อนอารมณ์ไว้ได้อย่างมิดชิด แต่ไม่รู้เลยว่าทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของตู๋กูชิง แต่นี่เป็นเรื่องที่เขาจงใจ
เงยหน้ามองไปยังทิศทางไกลออกไป ทางนั้นเป็นทิศทางของสำนักศึกษาเทียนซู
ตู๋กูชิงก้มหน้าลงอีกครั้ง นิ้วมือค่อยๆสัมผัสกับกลีบดอกกุหลาบดอกหนึ่ง มุมปากมีรอยยิ้มที่อ่อนโยน “จูนจิ่ว จูนจิ่ว เดิมทีแค่คิดอยากจะฆ่าเจ้าซะ เพื่อให้ได้กุญแจเวลาในมือของเจ้ามา แต่ไม่คิดเลยว่าตัวเจ้าจะโดดเด่นเช่นนี้ ไม่เสียแรงที่เกิดเป็นลูกสาวของม่านตง”
“เก็บเจ้าไว้ย่อมมีประโยชน์กว่าฆ่าเจ้ามากนัก ขอเพียงสามารถกำเจ้าไว้ในมือ ไม่เพียงแต่จะสามารถบรรลุไปยังแดนราชาทิพย์ ไม่แน่ข้าอาจจะสามารถใช้งานเจ้า เพื่อปูทางไปยังชั้นกลางสามชั้นได้สำเร็จ คิดว่า ครอบครัวนั้นคงอยากจะรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเจ้าเป็นแน่ ฮ่าๆๆๆ”
มือของตู๋กูชิงบีบกระชับอย่างแรง บีบจนดอกกุหลาบแหลกละเอียด เขาหัวเราะเสียงดังด้วยความอันตรายและโหดเหี้ยม ไม่เห็นถึงความอ่อนโยนก่อนหน้านี้เลยสักนิดเดียว
ที่เขาต้องจากมา ก็เพราะกำลังใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ
เขารู้ว่าจูนจิ่วนั้นมีเลศนัยและฉลาด แต่ในสายตาของตู๋กูชิง แม้จูนจิ่วจะฉลาดเป็นกรดและเย็นชาแค่ไหน ก็ยังคงเป็นแค่เด็กสาวที่ยังไม่ได้ปักปิ่นปักผม จูนจิ่ว หนีไม่พ้นมือเขาแน่ ก็เหมือนกับการที่แย่งชิงอำนาจในตำหนักไท่หวงมาได้ จูนจิ่วก็จะถูกเขาทำให้ได้มาเช่นกัน
ตู๋กูชิงเอ่ยปากสั่งการลงไปว่า “สั่งให้คนที่เฝ้าสังเกตการณ์สำนักศึกษาเทียนซูส่งข่าวทันทีทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องของจูนจิ่ว นางทำอะไรบ้าง หรือพูดอะไรข้าต้องได้รู้ทั้งหมด”
“เจ้าตำหนักโปรดอภัย ข้าน้อยกำลังจะรายงานพอดี คนของพวกเราถูกพบเข้าแล้ว ไม่สามารถเข้าสู่สำนักศึกษาเทียนซูได้แม้แต่ก้าวเดียว”ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นคุกเข่าลง รายงานด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว
ตู๋กูชิงไม่ได้ด่าว่าเขาไร้ประโยชน์ แต่กลับยิ้มมุมปากอย่างลึกล้ำมากขึ้น “เห็นทีจูนจิ่วจะยอดเยี่ยมและร้ายกาจกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก แต่เป็นอย่างนี้ก็ยิ่งดี ค่อยมีสิทธิ์ให้ข้ารู้สึกอยากจะเสียเวลาด้วย ค่อยๆเล่นไปกับนาง เข้าไม่ได้ก็เฝ้าดูอยู่ข้างนอก นอกจากนางจะมาที่ตำหนักไท่หวง ห้ามไปที่อื่นๆเด็ดขาด”
“เช่นนั้นถ้าหากนางแข็งข้อจากไปเล่า”
“เช่นนั้นก็สร้างเรื่องขึ้นในสำนักศึกษาเทียนซู ให้นางจากไปไหนไม่ได้”ตู๋กูชิงพูดด้วยรอยยิ้ม