บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่134 ไม่ว่ายังไงก็ต้องย้อนกลับมาแน่
บทที่134ไม่ว่ายังไงก็ต้องย้อนกลับมาแน่
เพล้ง!
เมื่อเสียงดังขึ้น จูนหยูนเสี่วยจึงรีบหลังไปดู นางเห็นแสงวิบวับนั้นก่อนใครใยแคว้นเทียนโจ้ง เพราะนางอยู่ใกล้กับมันมาก
จูนหยูนเสี่วยได้แต่ตกตะลึง “สิ่งนั้นคืออะไร”
พลังที่แข็งแกร่งและบริสุทธิ์ได้แผ่ไปทั่วทิศ จูนหยูนเสี่วยรู้ได้เลยในทันทีว่า ของล้ำค่าได้ถือกำเนิดแล้ว มันอยู่ทางทะเลสาบ ในตอนนี้จูนหยูนเสี่วยถึงได้เข้าใจว่าจูนจิ่วมาที่นี่เพราะเจ้าสิ่งนี้
ไม่ว่านางจะรู้ได้อย่างไร แต่เมื่อนางอยู่ที่นั่น ของล้ำค่านั้นคงเป็นของนางไปแล้ว เพราะคิดได้ดังนั้นจูนหยูนเสี่วยก็เกิดอาการอิจฉาริษยาขึ้นมา
ทำไมข้าต้องหนีอย่างจนตรอกแบบนี้ แล้วนางจะครอบครองมันได้จริงหรือ
ทั้งแค้นทั้งอิจฉาในเวลาเดียวกัน จูนหยูนเสี่วยแค้นจนอยากจะไปแย่งสิ่งนั้นมาจากมือจูนจิ่ว แต่นางทำได้แต่คิและกำหมัดแน่ เพราะนางกำหมัดแน่นทำให้บาดแผลที่ฝ่ามือ มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
จูนหยูนเสี่วยได้แต่กัดฟันทน “จูนจิ่วเจ้าจำไว้ให้ดี ไม่ช้าก็เร็วข้าจะกลับมาเอาคืน เพราะข้าคือผู้ชนะ” พูดจบนางก็หนีไป เพราะขาของนางบาดเจ็บทำให้วิ่งได้ไม่เร็วนักแต่นางก็กัดฟันทนแล่ไม่หยุดหน้าเดิน
เพราะนางไม่รู้ว่าลูกบอลก้อนดำที่อยู่ในมือของนางจะฆ่าจูนจิ่วได้ไหม พอคิดอยู่นางก็แสยะยิ้มขึ้นมา “จะระเบิดให้นางตายทำไม ให้นางได้รับบาดเจ็บจนสาหัสดีกว่ามิใช่หรือ”
ถ้าเป็นแบบนั้นพวกนางจะได้ไม่มีวันไล่ล่าข้าอีก
แม้จะเป็นความคิดที่ดี แต่ในความเป็นจริงช่างโหดร้าย จูนหยูนเสี่วยได้ยินเสียงบางอย่างจากข้างหลัง เร็วมาก เร็วมากมาก เป็นใครกัน เพราะจูนจิ่วไม่ได้เร็วขนาดนี้
ต้องเป็นคนที่มาจับนางแน่ๆ จูนหยูนเสี่วยร้อนใจมาก เพราะสิ่งนั้นเข้ามาใกล้ทุกที นางจึงรีบสอยเท้าหนีจนถึงน้ำตกนางมองลงไปยังล่างน้ำตก พร้อมกัดฟันแล้วโดดไป
เหลิ่งยวนตามรอยมาถึงน้ำตก ครุ่นคิดสักพัก “โดดลงน้ำไปแล้วหรือ”
เหลิ่งยวนไม่อยากจะเชื่อจึงค้นหารอบๆ น้ำตกจนแน่ใจแล้วว่านางกระโดดลงน้ำไปแล้วจริงๆ
น้ำตกสายนี้เชื่อติดกับแม่น้ำสายหนึ่งซึ่งไหลเชี่ยวมาก ทำให้จูนหยูนเสี่วยโดนน้ำซัดไปไกล ทำให้ร่องรอยของนางหายไปจากตรงนี้
เหลิ่งยวนครุ่นคิด “ข้าควรจะตามแม่น้ำนี้ไป หรือจะกลับไปรายงานก่อนดี แต่ไม่ว่าอย่างไรจูนหยูนเสี่วยนางคงหนีไปได้ไม่ไกลยังไงก็ต้องย้อนกลับมาแน่”
หลังคิดได้แล้ว เหลิ่งยวนจึงหันหลังกลับ
……..
“แม่นางจูนเข้าไปแล้ว” หยูนเฉียวยังคงมึนงงอยู่ จะเข้าไปในแสงนั้นได้จริงๆ หรือ ทั้งกู่ซงและจูนเสี่ยวเหล่ยก็งุนงงเช่นกัน
มีแต่โม่อู่เย่วเท่านั้นที่มองทะลุแสงนั้นเข้าไปข้างใน มองเห็นจูนจิ่วไล่คว้าสิ่งนั้นอยู่ ทำให้โม่อู่เยว่ขมวดคิ้ว นางกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ขณะเดียวกัน ก็ได้ยิ่งเสียงวาบดังมาจากที่ไกลๆ การถือกำเนิดของสิ่งล้ำค่านี้ก็คงเย้ายวนผู้ที่ละโมบโลภมาก
แต่เสียงนั้นยังอีกไกลมาก จูนจิ่วยังมีเวลาตั้งหนึ่งชั่วยาม (เวลาช่วง 7โมงเช้าถึง 9โมงเช้า) มากพออยู่แล้ว
จูนจิ่วไล่จับเจ้าสิ่งนั้นมากกว่าหนึ่งหนึ่งก้านธูป ปกตินางเป็นคนเจ้าเล่ห์มากๆ ยิ่งอยู่ใต้แสงนี้ก็ยิ่งเหมือนปลาได้น้ำ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็จับมันไม่ได้สักที
เหนื่อยจนหอบแล้ว จูนจิ่วท้าวใส่เอวหยุดนิ่ง
หากใช้ความเร็วจับมันไม่ได้ คงต้องใช้ปัญญาแล้ว
จูนจิ่วเอามือกุมท้องแล้วนั่งยองลงไป แสดงสีหน้าที่ทั้งเจ็บปวดและทรมานจนทนไม่ไว้ออกมา มันได้ผล! ในที่สุดเจ้าสิ่งนั้นก็หยุดนิ่งแล้วจึงเข้ามาใกล้ มองดูจนแน่ใจแล้วว่าจูนจิ่วไม่มีแรงไล่จับมันอีกแล้ว
มันหันหลังกลับไป แล้วลอยอยู่รอบๆ จูนจิ่ว และในตอนนั้น จูนจิ่วรีบคว้ามันไว้อย่างเร็ว มันดิ้นสู้สุดชีวิต แต่ก็หนีไม่พ้นน้ำมือของจูนจิ้ว
หลังจากจับมันได้แล้วจึงหลีกออกมาจากแสงวิบวับนั้น พรางท้องฟ้าก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น แสงวิบวับพรางแตกเป็นเสี่ยงๆ กระจายไปทั่วฟ้า คลื่นน้ำต่างค่อยค่อยสงบลง ในตอนนั้นจูนจิ่วจึงมั่นใจว่า สิ่งที่อยู่ในมือของเขาคือหยกกทิพย์อย่างแน่นอน
ก็มีแต่หยกทิพย์อันนี้ที่รูปร่างของมันแปลกประหลาดชอบกล
เมื่อจูนจิ่วกลับเข้าถึงฝั่ง พวกหยูนเฉียวก็รีบมาล้อมรอบนางไว้ยังไม่ได้เข้าใกล้นาง โม่อู่เย่วก็ก้าวเท้ามายืนข้างนั้นด้วย ทั้งสามต่างชะงัก ไม่กล้าขยับ
ดูจากปฏิกิริยาของพวกเขาแล้ว จูนจิ่วยิ่งนึกสงสัย พอกันไปดูโม่อู่เย่วถึงเข้าใจ ที่แท้ก็ตกตะลึงในอนุภาพของเจ้าอัปมงคลนี้
ไม่เพียงสัตว์เล็กกลัว แม้แต่คนก็ยังกลัว คงมีแต่เสี่ยวอู่ที่ไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่ในอกของนาง
“เอาหยกทิพย์มาได้แล้วหรือ”
“ใช่ แต่ข้ารู้สึกว่าหยกทิพย์ชิ้นนี้มันมีอะไรแปลกๆ”
“แปลกอย่างไร”
“ใช่ เจ้าดูนี่” จูนจิ่วแบมือออก เจ้าสิ่งที่อยู่ข้างในเตรียมจะหนีทันที แต่กลับถูกจูนจิ่วใช้สองมือจับมันเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
หยูนเฉียวกู่ซงได้ชะเง้อมามองหยกทิพย์ ยิ่งมองก็ยิ่งชะงัก
กู่ซงม้วนผมที่ยุ่งๆ ของเขา มองสุดลูกตา “นี่เป็นหยกทิพย์จริงๆ หรือ ทำรูปร่างมันเหมือนกับใบหญ้าเลยละ”
“ยิ่งเหมือนกับใบไม้ พวกเจ้าดูมีทั้งสองใบเชียว” หยูนเฉียวพูดพรางชี้ไปที่หยกทิพย์
“แต่มันไม่มีกิ่งไม้ เพราะใบไม้มันจะมีก้านเหมือนต้นหญ้า ท่านพี่จิ่ว นี่ใช่หยกทิพย์จริงๆ หรือ”
สิ่งที่อยู่ในมือของจูนจิ่วเล็กเท่ามือของเด็ก รูปร่างขาวใส มีรูปทรงวงรีคล้ายใบไม้อยู่สองวง อีกทั้งยังดิ้นไม่หยุด
เหมือนก้านหญ้าเล็กและยังมีรากฝอยเล็กอีกสองข้าง
จู่นจิวเคยนึกภาพของหยกทิพย์ แต่ไม่คิดว่ามันจะมีรูปร่างที่เป็นเช่นนี้
โม่อู่เยว่ขมวดคิ้วสองข้าง แล้วพูดว่า “นี้เป็นหยกทิพย์ แต่เป็นหยกทิพย์ที่กลายพันธ์ุมันคือ หยกทิพย์หยกทิพย์”
“ใช่แล้ว หยกทิพย์หยกทิพย์ไม่เหมือนกับหยกทิพย์ธรรมดาทั่วไป หยกทิพย์ธรรมดาเมื่อใช่แล้วฤทธิ์ของมันก็จะหมดไป แต่หากเป็นหยกทิพย์หยกทิพย์แล้วละแค่ค่อยเลี้ยงดูมัน มันจะมีน้ำหยกทิพย์ออกมาใช้ได้ตลอด”
โม่อู่เยว่พรางเอามือไปแตะหยกทิพย์หยกทิพย์ แต่ดูท่ามันจะกลัวเขา
มันกลัวจนตัวสั่นจนมีน้ำแวววาวไหลออกมาจากใบ ใช่ นั้นคือน้ำหยกทิพย์
โม่อู่เยว่เอามือลองหยดน้ำนั้นไปใส่ไว้ในอีกฝั่งของจูนจิ่ว อยู่ในอุ้มมือของจูนจิ่วเป็นน้ำที่เย็นสบาย แต่กลับร้อนผ่าวเมื่ออยู่ในมือของโม่อู่เยว่
เพรางร้องออกมาด้วยเสียงหลง “นี้คือน้ำหยกทิพย์ ในหนึ่งหยด มันมีอานุภาพพลังบริสุทธิ์มากกว่าน้ำหยกทิพย์ธรรมดา เสี่ยวจิ่วเออร์เจ้าช่างโชคดีจริงๆ ได้ครอบหยกทิพย์กลายพันธ์ุที่หมื่นปีถึงจะปรากฏออกมาเป็นหยกทิพย์หยกทิพย์”
หยกทิพย์ใช้เวลาไม่กี่ร้อยปีก็ปรากฏขึ้นแล้ว แต่หากเป็นหยกทิพย์หยกทิพย์ต้องใช้เวลานานแสนนาน ในระหว่างที่มันกำลังเปลี่ยนเป็นหยกทิพย์หยกทิพย์ พอถึงครึ่งข้าง ก็อาจจะกลายเป็นเพียงหยกทิพย์ ไม่สามารถกลายเป็นหยกทิพย์หยกทิพย์ตามธรรมชาติได้
แต่นี้คือหยกทิพย์หยกทิพย์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้มันมาครอบครอง ก็เหมือนได้หยกทิพย์ที่ไม่วันสลาย จูนจิ่วจึงเก็บน้ำหยกทิพย์ และใช้ริมฝีปากทูไปเบาๆ “ดูท่าแล้วข้าช่างมีโชคจริงๆ หยกทิพย์ก็เอามาได้แล้ว เราก็จะต้องรีบออกไปจากที่นี่”