บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่136 เฟิ่งเซียวก็มา
บทที่136 เฟิ่งเซียวก็มา
พวกหยูนเฉียวจึงไม่เกรงใจ หลังจากขอบคุณต่างก็ดื่มน้ำหยกทิพย์เข้าไป แล้วหาที่นั่งสมาธิฝึกพลังจากน้ำหยกทิพย์ แต่เสี่ยวอู่กลับไม่อยากขยับไปไหน กลับเอาชายกระโปรงของจูนจิ่วมาห่มตัวมันไว้ จากนั้นก็นอนขดตัวอย่างสบาย
จูนจิ่วมองดูเสี่ยวอู่อย่างเงียบ สายตาที่แสดงถึงความเอ็นดู ที่นางให้พวกหยูนเฉียวไปลองฤทธิ์ของน้ำหยกทิพย์ก่อนเป็นเพราะหากมีใครพบถ้าแห่งนี้เข้า นางจะได้ออกไปสู้ได้ทันที
หากมีคนมา ก็พร้อมเข้าจู่โจมเลยทันที ต่อให้วิชากู่ซงอยู่เหนือกว่านาง แต่สถานการณ์เช่นนนี้ นางมีความชำนาญควบคุมสถานการณ์ได้ดีกว่า
จูนจิ่วตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะนางไม่เชื่อว่าจะมีที่ใดบนโลกใบนี้ที่ปลอดภัยนอกจากที่ที่นางสามารถควบคุมสถานการณ์นั้นได้
มองดูพวกเขาฝึกพลังจากน้ำหยกทิพย์พรางนางจึงหยิบน้ำหยกทิพย์ของด้วยเอง โดยอาศัยความสว่างจากไข่มุกราตรี สำรวจมัน น้ำหยกทิพย์มีขนาดเล็กมาก ราวกับน้ำค้างที่สุกใส ในตัวของมันเหมือนมีเส้นใยสีทองลอยไปมา
เป็นเพียงหยดน้ำเล็กๆ หากแต่มีฤทธิ์มากว่าหยกทิพย์ทั่วไป อีกทั้งหยกทิพย์หยกทิพย์มันสามารถสร้างน้ำหยกทิพย์ได้ไม่มีวันจบสิ้น จูนจิ่วจึงรู้สึกว่านางควรดีกับเจ้าหยกทิพย์หยกทิพย์สักหน่อย
ในตอนนั้นนางจึงหยิบถุงกระเป๋าใบเล็กออกมาจากกำไล เป็นกระเป๋าที่นางซื้อไว้จากการท่องเที่ยวของนาง มันเป็นถุงกระเป๋าที่ถูกทอขึ้นเป็นสีรุ้ง จูนจิ่วได้น้ำสารอาหารและแร่ธาตุต่างใส่ลงไปในดินด้วย คิดอยู่สักพัก จึงหย่อนหินทิพย์ระดับสองลงไปด้วย
รังของหยกทิพยืหยกทิพย์นั้นพร้อมแล้ว จูนจิ่วจึงนำหยกทิพย์หยกทิพย์ออกมา
หยกทิพย์หยกทิพย์ยังคงรู้สึกน้อยใจอยู่มันจึงขดตัวไม่คลาย ยิ่งจูนจิ่วนำมันออกมามันก็ยิ่งขดตัวแน่นเข้าไปอีก จนถึงตอนจูนจิ่ววางมันลงไปในถุงกระเป๋า เมื่อสัมผัสถึงเนื้อดินที่นุ่ม มันรีบหยั่งราก พอรากของมันถูกเข้ากับหินทิพย์มันก็รู้สึกสบายตัวจนงอกใบขึ้นมาอีกสองใบ
จูนจิ่ว “คงจะพอใจแล้วสินะ”
หยกทิพย์หยกทิพย์ขยับใบไปมาสองสามที และร้องเพลงเบาเบาตอบนาง
จูนจิ่วจึงลูปไล้ไปมาบนใบ นางได้นำกระเป๋าใบเล็กผูกติดข้างเอว ยังไงหยกทิพย์หยกทิพย์ก้ไม่เหมาะที่จะอยู่ในกำไลอยู่แล้ว เอามาผูกติดเอวไว้เป็นเครื่องประดับก็ไม่เร็ว กระเป๋าใบเล็กกว้างพอที่จะซ่อนหยกทิพย์หยกทิพย์ไว้ข้างใน หากไม่เปิดดูเข้าก็ไม่มีวันรู้ว่ามีมันอยู่ที่นี่
หลังจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจึงนั่งสมาธิบ้าง จูนจิ่วใช้เวลาสิบนาทีในการฝึก สามนาทีในการนั่งสมาธิ เจ็ดนาทีกับการใช้หูฟังสิ่งที่จะเกิดขึ้นหน้าถ้ำ หากเกิดอะไรขึ้น จะได้รีบหาทางโต้ตอบทันที
พวกนางอยู่ในถ้ำแห่งนี้ช่างเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบ แต่กลับที่เขาปู้ห่วงแล้ววุ่นวายยิ่งนัก
ผู้คนที่มาในค่ำคืนนี้ล้วนเป็นผู้สำเร็จวิชาชั้นสูง น้อยสุดคือนักจิตลำดับที่หก แต่รุ่งสาง กลับถูกฆ่าตายอย่างอนาถ หัวละตัวอยู่กับคนละทิศละทาง เลือดนองเต็มพื้น ช่างน่าหดหู่
ปีศาจบ้าที่ไล่ฆ่าผู้คน ก็เริ่มลือออกไปจากที่นี่
ผู้คนมากมายมุ่งมายังที่นี่แห่ง ทำให้ศิษย์จากสำนักเทียนโจ้งน้อยลงไป มากสุดก็คงเป็นคนจากแคว้นไป๋หลีและแคว้นซ่างอี้ พวกเขาเริ่มหาจากใจกลางทะเลสาบ และขยายไปทั่วสารทิศ
ไม่ว่าจะทีไหนๆ ก็เต็มไปทั่วร่างที่ไร้ชีวิต ยิ่งถ้าเป็นผู้ที่รู้จัก ก็ยิ่งน่าสยดสยอง เป็นแต่ผู้ที่มีความสามารถทั้งนั้น แต่ทำไมเพียงพริบตาถึงถูกใครบางคนฆ่าเช่นนี้ แล้วถ้าหากปีศาจร้ายตนนี้เป็นผู้ที่ครอบครองของล้ำค่าขึ้นนั้น พวกเขายังจะแย่งกลับมาได้อีกหรือไม่
หากเทียบกันที่ความสามารถย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าไม่สามารถเอาชนะได้
แต่ผู้ที่ละโมบกลับมีมากขึ้น พวกยอมไม่ได้ที่จะทิ้งที่นี่ไป พวกเขาแบกความหวังที่อาจจะพบเข้าโดยบังเอิญไว้ ราวกับจะได้สมบัติ ด้วยเหตุนี้คนในเขาปู้ห่วงยิ่งอยู่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลงไปเลย
ทั้งโม่อู่เยว่แล้วเหลิ่งยวน ได้ลอยตัวมองผู้คนจากเหนือทะเลสาบ โม่อู่เยว่มองลงด้วยหางตา ในสายตาของเขาคนพวกนี้ก็ไม่ต่างจากสัตว์หรือแมลงตัวเล็กๆ แม้แต่จะมีชีวิตก็ไม่สมควรมี เพียงแต่ความคิดของเขาก็สามารถทำลายทุกอย่างได้แล้ว
ไร้เมตตา เป็นเทพที่ไร้ปรานี แต่กลับสง่า
เหลิ่งยวนพูดออกมาทันที “นายท่าน เฟิ่งเซียวมาแล้ว”
โม่อู่เยว่จึงมองลงไป เห็นเฟิ่งเซียวที่รีบร้อนเดินไปมาไปทั่วทะเลสาบ เมื่อพบศิษย์สำนักเทียนโจ้งคนใด ก็ถามถึงเบาะแสของจูนจิ่ว แต่กลับไม่มีใครรู้เลย
ของเพียงได้ยินว่ามีศพของศิษย์สำนักเทียนโจ้ง นางก็รีบมุ่งไปเลยทันที ทำให้ตอนนี้ปากของนางคงพองไปหมด
โม่อู่เยว่ครุ่นคิดอยู่สักพัก จึงพูด “ไปพานางขึ้นมา”
“ขอรับ”
ข้างล่าง เมื่อศิษย์จากสำนักเทียนโจ้งเห็นเฟิ่งเซียว จึงได้เชิญนางมารวมตัวกับพวกเขา ซึ่งในเวลานี้เฟิ่งเซียวสีหน้าโกรธจัด
“พวกเจ้าทำอะไร ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังตามหาตัวเสี่ยวจิ่วอยู่”
“ไท่ซ่างฮ่อง โปรดอย่าใจร้อน ไม่แน่ว่าศิษย์จากสำนักเราอาจจะรู้ว่าจูนจิ่วอยู่ที่ใด”
ได้ยินดังนั้น เฟิ่งเซียวขมวดคิ้วชั่วครู่ แต่ก็ยินยอมไปรวมกลุ่มกับพวกเขา เมื่อศิษย์สำนักเทียนโจ้งไม่ว่าน้อยใหญ่ ต่างก็เข้ามาคารวะเฟิ่งเซียวเหมือนชีวิตนี้จะหาไม่แล้ว “คารวะไท่ซ่างฮ่อง”
“ไท่ซ่างฮ้องคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งในสำนัก อีกทั้งยังอยู่ในระดับที่เจ็ด มีไท่ซ่างฮ้องอยู่ที่นี่ ใครหน้าไหนก็ไม่กล้ามาระรานพวกเราอีก”
“คงไม่ใช่กระมัง สมบัติ อะไรนั้น เราในที่นี้ยังไม่เคยเห็น ไม่ใช่เพราะว่ามีพวกเรามาฝึกวิชาที่เขาปู้หว่งนี่หรือ คนพวกนั้นถึงได้คิดว่าเรารู้เห็นเหตุการณ์ในครั้ง ถึงได้มีคนลักพาศิษย์น้อยใหญ่บางคนจากสำนักไป จนถึงตอนก็ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
เฟิ่งเซียวได้ยินดังนั้น ก็นิ่งไปในทันที
คำนี้ยังคงดังก้องอยู่ในหัวเฟิ่งเซียว “เพราะพวกเขามาฝึกวิชาที่เขานี้ จึงถูกจับตัวไปอย่างนั้นหรือ เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ฤๅ”
เสี่ยวจิ่ว
เฟิ่งเซียวยิ่งใจเสียเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่ว่าเสี่ยวจิ่วก็ถูกพวกมันจับตัวไปแล้ว อีกทั่งคนที่อยู่ที่นี่ก็มีแต่พวกยอดฝีมือ เสี่ยวจิ่วจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่
เมื่อเห็นอาจารย์ท่านหันตัวกลับไป “ไท่ซ่างฮ้องนี่ท่าน…”
เฟิ่งเซียวรีบคว้าคอเสื้อของชายผู้ที่พูดขึ้นมาเรื่องเมื่อกี้ขึ้น แล้วมองด้วยสายตาดุดัน “พูด ว่าเจ้ามีเบาะแสของเสี่ยวจิ่วหรือไม่ หากเจ้ากล้าโกหกข้า ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้ง”
“อย่า ไท่ซ่างฮ้องได้โปรดเมตตา ข้าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับจูนจิ่ว เมื่อมาถึงผู้คนก็แตกตื่นกันแล้ว ข้าไม่รู้ว่านางอยู่ที่ใด”
“ไสหัวไป” เฟิ่งเซียวโกรธมาก จึงโยนชายผู้นั้นกระเด็น
ในเวลานั้นเอง ก็มีมือปริศนามาจับที่บ่าของนาง นางที่โกรธจนใกล้จะระเบิด รีบสวนมือหมายจะจับตัวเขา แต่กลับจับตัวไม่ได้ เฟิ่งเซียวจึงหันหัวกลับ หมายจะสวนหมัดกลับไปอีกที และแน่นอนว่า หมัดนั้นไม่โดนตัวเขา
ในที่สุดนางจึงหันกลับทั้งตัว ถึงได้รู้ว่าคนที่นางโจมตีกลับนั้นคือใคร นางนิ่งไปสักพัก “เหลิ่งยวน”
นิ่งไปสักพัก นางก็มีปฏิกิริยาขึ้นมา เหลิ่งยวนคือคนที่โม่อู่เยว่ให้เป็นผู้ดูแลจูนจิ่ว เขาจะต้องมาพร้อมกับจูนจิ่วและร็เบาะแสเกี่ยวกับจูนจิ่วแน่ๆ เฟิ่งเซียวกำลังจะเปิดปากถาม แต่สายตาของเหลิ่งยวนกลับเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง
เหลิ่งยวนยิ้มน้อย “ไท่ซ่างฮ้อง เชิญมากับข้า”
“ได้ ได้” เฟิ่งเซียวไม่รอช้า รีบตามเหลิ่งยวนไปในทันที ในระหว่างมาง เหลิ่งยวนจึงบอกนางว่าจูนจิ่วปลอดภัยดี ได้ยินดังนั้นเฟิ่งเซียวถอนหายใจออกมาด้วยความสะบายใจ แล้วรีบถามกลับไป “แล้วนางอยู่ที่ไหน”