บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่140 ใครกันที่กล้ารังเกียจเขา จนไล่เขาไป
บทที่140 ใครกันที่กล้ารังเกียจเขา จนไล่เขาไป
จูนจิ่วก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว มองมันด้วยความเย็นชา พรางถาม “เจ้าจะเอเลิดข้าไปทำไมกัน”
ฟ่อฟ่อฟ่อ
“เจ้านาย มันบอกว่ามันไม่สามารถรับน้ำหยกทิพย์โดยตรงได้ จำเป็นจะต้องมีเลือดของมนุษย์มาผสมกันถึงจะรับได้ แต่ทำไมจะต้องเป็นเลือดของเจ้านายด้วย ในเมื่อยังมีทั้งหยูนเฉียว จูนเสี่ยวเหล่ยและกู่ซงอยู่” เสี่ยวอยู่พูดด้วยความไม่พอใจ
มันจึงเผยกรงเล็บออกมา พร้อมจ้องงูเจียวไม่ละสายตา “เจ้านาย เราควรฆ่ามันเลยดีไหม เราจะได้ตันจูละยังไม่ต้องเอาน้ำหยกทิพย์ให้มันด้วย”
“ไม่” จูนจิ่วปฏิเสธ เพราะเมื่อก่อนตอนที่เริ่มวิชาการรักษา นางได้ไปเก็บสมุนไพรในบนป่าเขา พรางก็มีนกตัวหนึ่งนำผลไม้ให้นางกิน นางเห็นว่าไม่มีพิษจึงกินเข้าไป หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่าในป่าเขาลูกนั้นพอกลางคืนมาจะมีหมอกพิษผลไม้ลูกนั้นจึงเป็นยาแก้ถอนพิษ เมื่อได้สติ นางจึงได้ซื้อเขาลูกนั้นมอบให้แก่บรรดาสัตว์ เพื่อที่จะไม่มีใครไปล่าสัตว์ที่นั่นอีก
สัตว์ทั้งหลายมีวิญญาณ และยิ่งเป็นสัตว์ทิพย์ด้วยแล้ว
ครุ่นคิดครู่หนึ่งจูนจิ่วจึงได้ปริปาก “น้ำหยกทิพย์ข้าให้เจ้าได้ แต่เลือดของข้า ข้าเกรงว่าคงให้ไม่ได้”
นางรู้ว่าทำไมงูเจียวถึงต้องการเลือดของนาง เพราะว่านางได้ผ่านการชำระร่างกายให้บริสุทธิ์แล้ว ร่างกายจึงได้แข็งแรงกว่าพวกหยูนเฉียว ยิ่งได้ดื่มน้ำหยกทิพย์เข้าไปด้วยแล้ว ตอนนี้เลือดเนื้อของนางก็ยาจิตวิญญาณ งูเจียวถึงว่าฉลาดและเล่ห์เหลี่ยม รู้จักคนที่ดีที่สุด
งูเจียวได้แต่กระดิกไปมา แลบลิ้นสองสามทีคงรู้แล้วว่านางไม่ยอม เสี่ยวอู่จึงฟังมันพูด “เอาอย่างนี่ ข้าจะให้เลือดมันหยดหนึ่ง”
“เจ้า” จูนจิ่วตกใจ
“เมี้ยวเมี้ยว” เสี่ยวอู่พยักหน้า คิดอยู่ในใจอย่างเงียบ ตัวมันเองเป็นเสือขาว เลือดเพียงหนึ่งหยดก็ฆ่างูเจียวได้แล้ว
คิดอยากจะโจมตีเจ้านายข้า แม้เป็นเพียงเลือดหยกเดียวก็ไม่ได้ เลิกคิดไปได้เลย
หลังจากที่ได้ยินเสี่ยวอู่พูด งูเจียวจึงคิดแล้วคิดอีก แต่สุดท้ายก็ตกลง ในที่สุดจูนจิ่วก็นำน้ำหยกทิพย์ออกมาหนึ่งหยด เสี่ยวอู่เอวก็นำเลือดออกมาหนึ่งหยดมอบให้กับงูเจียว เมื่อตันจูอยู่ในมือ ไอความร้อนก็แผ่ขยายไปทั่วร่างกายทำให้พลังทิพย์นั้นเลื่อนไหวไปมาในร่างกาย
เมื่อมีตันจูอยู่ในมือ ร่างกายก็แปรเปลี่ยน จากนักจิตตอนนี้ก็เป็นโอกาสกลายเป็นนักจิตใหญ่
มองดูงูเจียวที่ได้รับน้ำหยกทิพย์เลือดแล้ว มันก็ก้มหัวเพื่อแสดงความขอบคุณ แล้วก็รีบเลื่อยออกไป พวกหยูนเฉียวจึงพูดกันเบา ๆ ว่า “ไม่แปลกเลยที่มีเรื่องราวว่างูเจียวเคยเป็นมังกรมาก่อน และยังมีคู่อีก ฉลาดจริงเชียว”
หลังจากที่กู่ซงพูด แล้วก็พูดชมจูนจิ่ว “ยินดีด้วยจูนจิ่ว ได้ตันจูอยู่ในมือ ต่อไปก็ไม่ต้องหานักกลั่นยามากลั่นตันจูให้เจ้าแล้ว จะกลายเป็นนักจิตใหญ่คงเป็นเรื่องที่ง่ายดาย”
คนไม่น้อยที่เกิดมาจน แล้วไม่สามารถหาตันจูได้ ได้แต่เพียงเป็นนักจิตตายอยู่ในระดับที่เก้าเท่านั้น แต่จูนจิ่วนั้นอยู่เพียงขั้นสาม ก็ไม่ต้องออกตามหา แต่มีงูเจียวกลับเอามาถวายให้ถึงหน้าบ้าน
ถึงแม้ว่าน้ำหยกทิพย์นั้นล้ำค่า แต่ตันจูล้ำค่ายิ่งกว่า เพราะมันคือหนทางที่จะทำให้กลายเป็นนักจิตใหญ่ โชคชะตานี้ น่าอิจฉาจริง ๆ
กู่ซงได้ก้าวถอยไปเล็กน้อยพรางทำท่าทางถูถู แล้วพูดว่า “หยูนเฉียว จูนเสี่ยวเหล่ย พวกเจ้ามาถูไถ่เร็วเข้า เผื่อความโชคดีของจูนจิ่วจะได้ ตกมาถึงพวกเราบ้าง ไม่แน่อาจจะได้รับคัดเลือกโดยไม่ต้องสอบก็เป็นได้”
“มีเหตุผล” หยูนเฉียวพยักหน้ารับ
จูนเสี่ยวเหล่ยใช้ความเป็นผู้หญิง ถูที่มือของจูนจิ่วโดยตรง ได้เห็นสายตาที่อิจฉาของหยูนเฉียวและกู่ซงก็ตาร้อนขึ้นมา
เมื่อจูนจิ่วได้เห็นดังนั้นทั้งอยากร้องไห้และหัวเราะ เป็นนี่ก็ได้หรือ
เสี่ยวอู่:แต่ความโชคดีของเจ้านายดีจริง ๆ หยกทิพย์หยกทิพย์ก็ได้มาแล้ว แล้วยังได้ตันจูมาครองอีก สุดยอดไปเลย
จูนจิ่วได้แต่ยักคิ้ว โชคหรือ ก็นับว่าไม่เลว
นี่ก็เป็นความโลภเล็ก ๆ เมื่อเก็บข้าวของเสร็จแล้ว พวกนางก็เตรียมจะออกจากเขาปู้หว่งทันที หากไม่รีบออกไปซะตอนนี้ รอให้ผ่านไปสองสามวัน คนพวกนั้นที่หาหยกทิพย์ไม่เจอเกิดบ้าขึ้นไปอีก ถ้าเป็นแบบนั้นคงหนีไม่พ้นแน่ ในตอนนี้พลังของทุกคนก็เลื่อนขั้นแบบก้าวกระโดดไปมาก หากใช้การแปลงกาย แล้วแอบหนีออกไปเงียบ ๆ คงไม่มีใครหาเจอแน่ แต่หากพบเจอเข้า ด้วยสายตาที่คมกริบของจูนจิ่ว ทั้งหยูนเฉียว กู่ซง และจูนเสี่ยวเหล่ย พวกเขาก็จะรีบจัดการโดยทันที พวกเขาทั้งว่องไว รวดเร็ว ไม่นานคงออกไปจากที่นี่ได้
นอกจากว่า…
โม่อู่เยว่ที่ดูพวกเขาจากที่ไกล ๆ ก็ได้พาเหลิ่งยวนตามพวกนางไป
เวลานี้ที่สำนักเทียนโจ้ง
เฟิ่งเซียวกลับมาถึงแล้ว ยังดีที่ยังทันเหอจงนำกล่องข้าวมาเยี่ยมโล้ชิวเห้อ เมื่อเฟิ่งเซียวเห็น ก็ได้ยักคิ้ว อิเห็นมาอวยพรปีใหม่ไก่ คงมาไม่หวังดีแน่
เมื่อคิดถึงคำพูของเหลิ่งยวน เขาจึงหรี่ตาลง พรางสองมือไขว้ไปข้างหลัง ทำท่าทางเหมือนไม่โกรธแล้วก้าวไปข้างหน้า เมื่อเห็นเขาเดินมา เหอจงก็ยืนนิ่งแข็งทื่อ แม้แต่รอยยิ้มของเหอจงก็บิดเบี้ยวไป ดูเหมือนกำลังตกตะลึงอยู่
ทำไมเขาถึงได้กลับมาเร็วเช่นนี้ เหอจงส่งคนมาต้อนรับเฟิ่งเซียว ถ้าหากไม่ใช่ว่าโล้ชิวเห้อใกล้จะตายแล้วละก็ เขาคงไปเขาปู้หว่งตามหาสมบัติตินั้นไปแล้ว เมื่อรู้ว่าเฟิ่งเซียวไม่อยู่แล้ว ก็รีบมาในทันทีหวังใช้โอกาสที่เขาไม่อยู่ฆ่าโล้ชิวเห้อซะ
แต่เหอจงไม่คาดคิดว่า จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้จะเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ ได้สั่งคนในราชวงศ์อย่างทหารลับมาเฝ้าโล่ชิวเห้อ ไม่ว่าเขาจะตายหรือเป็นก็ไม่ให้เขาเข้าไป
ครั้งนี้ เป็นครั้งที่ห้าที่มา และคิดแผนการฆ่าไว้อย่างดี แต่เฟิ่งดเซียวกลับกลับมาเสียก่อน
ได้แต่เก็บความคิดที่ว่าตัวเองโชคร้ายเอาไว้ พร้อมทั้งเก็บอาการอยากจะสังหารไว้ด้วย พรางยิ้มมองไปทางเฟิ่งเซียว “ไม่ซ่างฮ้อง ท่านมิใช่ไปเขาปู้ห่วงหรือ ทำไมถึงกลับมาเร็วเช่นนี้ หรือว่าท่านได้สมบัตินั้นมาแล้ว”
เฟิ่งเซียวพูดอย่างเย็นชา “แล้วมันกงการอะไรของเจ้า เจ้ามาอยู่ที่ทำไม ไสหัวไป”
โดนท่าทางรังเกียจของเฟิ่งเซียวเข้าไป ทำให้คิดว่าเขาเป็นเจ้าสำนักนี้มาตั้งนาน ทั้งสูงส่งและสง่า ไม่เคยมีใครรังเกียจ ถึงขั้นไล่ออกไปเช่นนี้
แต่คนที่อยู่ตรงหน้าคือเฟิ่งเซียว เขาได้แต่เก็บอาการนั้นเอาไว้ไม่กล้าต่อปากต่อคำ “ไท่ซ่างฮ้อง ข้าเป็นถึงรองเจ้าสำนัก อยากจะเข้าไปเยี่ยมเจ้าสำนักที่ไม่ได้ออกมาจากห้องนานครึ่งเดือนแล้ว ให้ข้าเข้าไปเยี่ยมเขาหน่อยมิได้หรือ ข้าก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน…อ่า”
เพล้ง
หมัดหนึ่งที่เต็มแรงได้ซัดเข้าเบ้าตา เหอจงเจ็บจนร้องออกมา ได้แต่เอามือปิดตาแล้วถอยหลัง ห่อข้าวที่เตรียมมาด้วยก็กระเด็นอยู่ที่พื้น ได้แต่ยืนตัวแข็งนิ่ง “นี่ท่านจะทำอะไร”
“ทำอะไรนะหรือ ข้าอยากจะต่อยเจ้ามานาน บอกให้ไสหัวออกไปเจ้าไม่ออก ก็อย่ามาหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน” เฟิ่งเซียวหันหน้ามาปล่อยหมัดไปอีกรอบ
เขาจำคำของเหลิ่งยวนได้ดี หาจะตี ก็ต้องให้ใช้การไม่ได้เลย เอาให้ลุกจากเตียงไม่ได้เลย ถ้าเป็นเช่นนี้เหอจงจะได้ไม่มีเวลามาวางยาโล่ชิวเห้ออีก ข้าจะได้วางใจไปตามหาเสี่ยวจิ่ว
ครั้งนี้ เฟิ่งเซียวลงมืออย่างโหดเหี้ยม ในระดับที่เหอจงไม่สามารถโต้ตอบกลับได้ ได้แต่เจ็บปวดทรมานแล้วถูไปถูมาตามร่างกาย จนถึงลูกศิษย์หลัวฉีรีบวิ่งเข้ามา เฟิ่งเซียวจึงเตะเหอจงออกไป “รีบพาอาจารย์ของเจ้าไสหัวไป หากยังกล้ากลับมาเหยียบที่นี่อีก น่าดู”
หลัวฉีตกใจจนไม่กล้าทำอะไร ได้แต่พาเหอจงที่ร้องคร่ำควรญออกมาอย่างเจ็บปวดออกไป ศิษย์ที่อยู่ในสำนักก็ต่างยืนงง ทั้งโล่ชิวเห้อและหลานสาวของเขา
เฟิ่งซียวพูด “เจ้าพาศิษย์ในสำนักพร้อมทหารลับไปตรวจสอบดูที่สำนักตันเก๋อ ว่าพวกมันยังมีลูกเล่นอะไรอีกหรือเปล่า” เฟิ่งเซียวจึงก้มลงไปหยิบกล่องข้าวที่ตกอยู่บนพรม