บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่227 อู๋เยว่ผู้รู้ใจ
บทที่227 อู๋เยว่ผู้รู้ใจ
ชิงหยู่นั้นจงใจ แต่ทำไมเขาต้องทำเช่นนี้
จูนจิ่วลูบคาง “ศิษย์พี่ข้าคนนี้นอกจากลึกลับแล้ว ยังไม่เคยปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เลย”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์สามารถฆ่าเขาปิดปาก ก็สิ้นเรื่องสิ้นราวแล้ว”
จูนจิ่วได้ยินดังนั้น เงยหน้าขึ้นมองไปยังโม่อู๋เยว่ บุรุษที่แสนจะมีเสน่ห์ชั่วร้าย หัวคิ้วเผยท่าทีสูงส่งดูผยอง พอสบตาเขากลับพบกับความเย็นชาไร้จิตใจ มีเพียงเวลาที่สบตากับนางเท่านั้น เหมือนระลอกคลื่นในทะเลสาบที่หนาวเย็นและโหดร้ายค่อยๆมลายหายไป
ฆ่าชิงหยู่หรือ
จูนจิ่วส่ายหัว “ไม่ แม้ว่าเขาจะแอบฟังแต่ก็ยังจงใจเตะก้อนหินเตือนข้า เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ศัตรูของข้า ไม่จำเป็นต้องฆ่าเขาปิดปาก และไม่ต้องสนใจเขาด้วย”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์คิดเช่นนั้นจริงหรือ”โม่อู๋เยว่ค่อยๆโน้มตัวมองดูจูนจิ่ว ดวงตาเหมือนน้ำวน ค่อยๆดึงดูดจูนจิ่วเข้าไป
จูนจิ่วพยักหน้า นางหมุนตัวเดินเข้าเรือนไป พร้อมคว้าเมล็ดแตงโมขึ้นมาไว้ในมือหนึ่งกำ “ห่างจากการแข่งขันทั้งห้าสำนักอีกแค่ครึ่งปีเท่านั้น จูนหยูนเสวี่ยได้ทำให้ตัวเองมีเสถียรภาพในการเป็นแม่นายแห่งกองทัพเย่สิงแล้ว ครึ่งปีนี้ คนหลังม่านต้องมีความเคลื่อนไหวแน่”
จูนจิ่วกำลังเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
โม่อู๋เยว่ไม่ได้สนใจไยดีในตัวชิงหยู่นัก เพียงแค่เปรยๆเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาก็ตามหัวข้อสนทนาของจูนจิ่วไป กล่าวว่า “จูนหยูนเสวี่ยทำอะไรที่สำนักเจี้ยนจง”
“เขาทำให้ลูกศิษย์ของเจ้าสำนักเจี้ยนจงเป็นพิการ หักเอ็นมือเท้า ทั้งยังทำลายโฉม เพียงเพราะว่าลับหลังนางสงสัยว่าจูนหยูนเสวี่ยจะใช้วิธีการสกปรก ลูกศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักเจี้ยนจงที่เพิ่งดำรงตำแหน่ง พอดีจูนหยูนเสวี่ยได้ยินเข้า ก็เลยเกิดเรื่องขึ้น”
จูนจิ่วยิ้ม ในตาประกายแววมาดร้ายและเจ้าเล่ห์ นางพูดต่อไปว่า “จูนหยูนเสวี่ยเมื่อก่อนไม่ได้มีนิสัยบ้าบิ่นแบบนี้ กล้าขนาดนี้ ดูเหมือนว่าการใช้พลังจิตชักนำของข้าก็ไม่เลว ดีเกินความคาดหมาย”
โม่อู๋เยว่ “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์คิดจะให้จูนหยูนเสวี่ยกวนน้ำของสำนักเจี้ยนจงให้ขุ่น ได้ยินชื่อทั้งห้าสำนัก กระตุ้นให้คนที่อยู่เบื้องหลังรีบชิงลงมือ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า โม่อู๋เยว่ผู้รู้ใจข้า ก็เป็นเช่นนี้ไม่ผิด เสียดายเหอซ่านพวกเขายังไม่กล้าพอ อีกทั้งกังวลว่าจูนหยูนเสวี่ยจะทำเสียเรื่อง นางแม้จะถูกฆ่าก็ไม่เป็นไร เพียงแค่ตายอย่างมีประโยชน์ก็พอ”
นางให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ ส่วนวิธีการจะเป็นอย่างไรนั้น จูนหยูนเสวี่ยยิ่งทำยิ่งดี
ขณะใช้ความคิด จูนจิ่วชะงักการกระทำ นางเอียงคอมองไปยังโม่อู๋เยว่ หรี่ตา “ทำไมกัน”
โม่อู๋เยว่มองนางตลอด เหมือนจะกลืนกินนางเข้าไป จูนจิ่วแปลกใจ เมื่อสักครู่มีคำพูดคำไหนของนางไม่ถูกต้องหรือ ไม่มีนี่
โม่อู๋เยว่เปิดปากพูด เสียงแหบทุ้มทรงเสน่ห์ “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ มีคำหนึ่งที่เจ้าพูดผิดไป”
“คำไหน”
“โม่อู๋เยว่ผู้รู้ใจข้า เจ้าควรพูดว่า อู๋เยว่ผู้รู้ใจข้า ”โม่อู๋เยว่นั่งอยู่ตรงข้ามกับจูนจิ่ว ตั่งนุ่มมีเพียงโต๊ะเหลี่ยมอันเล็กกั้นอยู่ โม่อู๋เยว่เพียงแค่ก้มหน้า ค่อยๆยันกายขึ้นช่องว่างระหว่างสองคนก็จะร่นสั้นลง
จูนจิ่วเงยหน้า จ้องไปยังดวงตาที่แสนลึกซึ้งคู่นั้น แม้กระทั่งหลังสีหมึกที่ปกปิดอยู่ ก็ยังคงมีเสน่ห์ชวนหลงใหล ดวงตาเหมือนฝิ่น ดึงดูดอย่างเอาชีวิต ทำให้คนไม่สามารถถอนตัวได้
เสียงพูดทีทรงเสน่ห์น่าหลงใหล ค่อยๆหยอกล้อกับหัวใจของจูนจิ่ว พูดช้าๆว่า “อู๋เยว่ เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พูดสิ”
ชื่อโม่อู๋เยว่แท้ๆ ก็ไม่เห็นจะมีอะไร แต่ตอนนี้โม่อู๋เยว่กลับกำลังหยอกล้อนาง ทำให้จูนจิ่วมีความรู้สึกอันตรายหากพูดออกไปจะนำเอาไฟมาเผาตน นางกลัวหรือ แน่นอนว่าไม่
ไม่เพียงแต่จะไม่กลัว ยังไม่ถอยร่น จูนจิ่วกลับยื่นมือไปคว้าคอของโม่อู๋เยว่ ดึงลงมาร่นระยะห่างระหว่างสองคนอีกครั้ง
สองคนใกล้จนลมหายใจปะทะกัน ปากแดงของจูนจิ่วมีรอยยิ้มมาดร้ายเต็มที นางจงใจพูดทีละคำ“โม่อู๋เยว่ อู๋เยว่ ได้ยินชัดเจนหรือยัง”
หยอกนาง ใครกลัวใครกัน
แต่ไม่รู้ตัวว่าคำพูดของนางจะเป็นหินโยนลงทะเลสาบอันสงบ เกิดเป็นเสียงคลื่นน้ำ โม่อู๋เยว่มองนางนิ่งๆ ในระยะที่ใกล้กันเช่นนี้ จูนจิ่วยิ่งมองดวงตาของโม่อู๋เยว่ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ม่านตาสีทองอันแข็งแกร่งพลันกลืนกินสีดำอย่างเอาแต่ใจ ดวงตาเปลี่ยนไป เบ่งบานอยู่ตรงหน้าจูนจิ่วอย่างกำเริบเสิบสาน
จูนจิ่วนิ่งอึ้ง ในสายตานาง ดวงตาของโม่อู่เยว่เหมือนสัตว์ร้าย จ้องมองไปยังเหยื่อ เตรียมพร้อมที่จะจู่โจมอ้าปากกินนางเสีย วิญญาณส่งเสียงเจ็บปวด จูนจิ่วสูดลมหายใจ
“กรุ้งกริ่ง”กระดิ่งที่ข้อมือดังขึ้นอย่างเร่งด่วน โม่อู๋เยว่เหมือนถูกสายฟ้าผลักจูนจิ่วแล้วแวบหายตัวไป
ปัง
จูนจิ่วถูกโม่อู๋เยว่ผลักล้มลงบนตั่ง แผ่นรองนั่งอ่อนนุ่มไม่เจ็บ แต่จูนจิ่วรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
นางอ้าปาก ดวงตาฉายแววมึนงงและสับสน “ก็เรียกชื่อเขาแล้วไง ต้องตอบสนองใหญ่โตขนาดนี้เชียว ”
“เจ้านาย โม่อู่เยว่เป็นบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ เขาถึงกับกล้าผลักท่าน ครั้งหน้าถ้าเขายังกล้ามาอีก ข้าจะข่วนหน้าเขาให้ลายแน่”เสี่ยวอู่โมโหยกเท้าขู่เหมียวๆ คนที่รังแกเจ้านาย ล้วนเป็นคนเลว
จูนจิ่วไม่ได้ตอบกลับเสี่ยวอู่ นางนวดคลึงที่คิ้ว ลุกขึ้นมานั่ง ในสมองยังคงสะท้อนดวงตาของโม่อู๋เยว่คู่นั้น จูนจิ่วค่อยๆขมวดคิ้ว
นางรู้สึกว่า โม่อู๋เยว่มีปัญหาแล้ว
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในใจ จูนจิ่วรีบลุกจากตั่งทันที กำลังจะก้าวเท้าออกไป เงยหน้าเห็นเหลิ่งยวนขวางอยู่หน้าประตูกีดกันนาง จูนจิ่วขมวดคิ้วเย็นชา “เหลิ่งยวน”
“แม่นางจูนมีอะไรจะให้รับใช้หรือ ”เหลิ่งยวนถามอย่างอ่อนโยน แต่คนกลับไม่ถอยห่างออกไปเลยสักนิดยังคงยืนขวางจูนจิ่วอยู่ ดวงตามีแววผิดปกติบางอย่างพาดผ่าน จูนจิ่วเอ่ยขึ้น “โม่อู๋เยว่ล่ะ”
“เจ้านายมีงานต้องจากไปสักพัก แม่นางจูนไม่ต้องเป็นห่วง เจ้านายจะกลับมาในไม่ช้า ถึงตอนนั้นแม่นางจูนมีปัญหาอะไร สามารถถามต่อหน้าเจ้านายได้เลย ”
“เอาเถอะ”รู้ว่าถามเหลิ่งยวนไปก็ไม่ได้คำตอบ จูนจิ่วไม่ถามจะดีกว่า แต่ใจนางกลับรู้สึกแปลกๆ โม่อู๋เยว่มีงานกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าต้องเกี่ยวข้องกับการเรียกขานชื่อโม่อู๋เยว่เมื่อครู่เป็นแน่ จูนจิ่วอดไม่ได้ที่จะก้มหน้ามองกระดิ่ง
ค่อยๆสะบัด กระดิ่งไม่มีเสียงอะไร ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา
ช่างน่าแปลก
สัญชาตญาณบอกนางว่า เสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นเมื่อครู่นั้นเหมือนสัญญาณเตือน บวกกับนางรู้สึกว่าวิญญาณมีความเจ็บปวดเล็กน้อย คิ้วของจูนจิ่วยิ่งขมวดลึก โม่อู๋เยว่เป็นอะไรไป จูนจิ่วไม่เคยสังเกตเห็นเลย ความห่วงใยของตัวเองในตอนนี้ปิดกั้นเรื่องทุกอย่าง ในใจมีเพียงโม่อู๋เยว่คนเดียว
บนภูเขารกร้างในสำนักเทียนอู่จง มีหิมะปกคลุม อากาศหนาวเย็นจนหายใจออกเป็นเกล็ดน้ำแข็ง
โม่อู๋เยว่ยืนอยู่บนยอดเขา ดวงตาสีทองมีแววโกรธรุนแรง เหลิ่งยวนเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง คุกเข่าลงคำนับ “เจ้านาย ขวางแม่นางจูนไว้อย่างราบรื่นแล้ว แต่แม่นางจูนคงสงสัยแล้วเป็นแน่”
โม่อู๋เยว่ไม่มีเสียง
เหลิ่งยวนเงยหน้าขึ้นอย่างระวัง สายตาเป็นห่วงแอบมองโม่อู๋เยว่ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้โม่อู๋เยว่โมโหจนต้องพุ่งออกมากะทันหัน รอจนโม่อู๋เยว่เปิดปากทำลายความเงียบ
เสียงเขาทุ้มต่ำอันตราย ถามเหลิ่งยวน “หากมีคนเรียกชื่อเจ้า เจ้าคิดจะกินนางหรือไม่ ”
“……”เจ้านาย คำถามนี้มันกว้างเกินไปแล้ว
แต่พอคิดครู่หนึ่งก็รู้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับจูนจิ่วแน่ๆ เหลิ่งยวนจึงถามเบาๆว่า“เจ้านาย ข้าสามารถถามท่านได้หรือไม่ว่าท่านหมายถึงกินในด้านไหน ”
“เมื่อครู่ข้าทนไม่ได้กัดวิญญาณของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไปหนึ่งคำ”
“ฟู่