บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่229 ข้าจะกินเจ้าก่อน
บทที่229 ข้าจะกินเจ้าก่อน
“ใครกัน”
“โม่อู๋เยว่”
ชิงหยู่??โม่อู๋เยว่คือใคร?ไม่เคยได้ยินชื่อบุคคลนี้มาก่อน
จูนจิ่วสองมือเท้าคาง ยิ้มสดใสให้ชิงหยู่ “ศิษย์พี่ก็คิดซะว่าช่วยเหลือข้า ข้าต้องการเพียงชื่อ ไม่ต้องการอำนาจ อีกทั้งข้ายังสามารถดึงยอดฝีมือมาให้สำนักเทียนอู่จงเปล่าๆโดยไม่ต้องเสียอะไรเลยด้วย ”
เห็นจูนจิ่วยิ้ม ชิงหยู่รู้สึกมึนๆจนหน้าแดง ศิษย์น้องของเขาช่างน่าดูจริงๆ ดาวเจ้าสำนักที่แสนจะอ่อนโยน ใครจะกล้าไม่เห็นดีด้วยได้ พอเหล้าแก้วที่สองกรอกลงไป ชิงหยู่เหมือนเมาแล้ว พยักหน้าและยิ้มอย่างซื่อบื้อ “ก็ได้”
“ขอบคุณศิษย์พี่ ”จูนจิ่วยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มดุจดอกไม้
ในสถานะผู้อาวุโสนอกสำนัก ไม่ต้องผ่านพวกเหอซ่าน ป้ายคำสั่งได้มาอยู่ในมืออย่างง่ายดาย จูนจิ่วนั่งเล่นรอโม่อู๋เยว่กลับมา จากกลางวันจนพลบค่ำ ในที่สุดปีศาจบางตนก็กลับมาในช่วงพลบค่ำ บนร่างยังมีไอน้ำเย็นยะเยือก
เหมือนเขาเพิ่งจะอาบน้ำ ไม่เห็นไอความร้อน เห็นเพียงไอเย็นปกคลุมเป็นเกล็ดน้ำแข็งไปทั่วร่าง ผมและคิ้วสีเงิน นัยน์ตาสีทอง หยดน้ำบนใบหน้าของโม่อู่เยว่ค่อยๆหยดลงบนแผงอกที่เผยอยู่นิดๆ เย้ายวนน่าลิ้มลอง
ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อย เสียงห้าวทุ้ม “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์”
มีบางอย่างบินมาขัดจังหวะการพูดของโม่อู๋เยว่ ยื่นมือออกไปรับ โม่อู๋เยว่ก้มหน้าลงมองแววตาหม่นลงบางส่วน “นี่เป็นป้ายคำสั่งของสำนักเทียนอู่จง”
“ถูกต้อง ในเมื่อข้าเรียกท่านว่าอาจารย์ อาจารย์จะทิ้งศิษย์ไม่เหลียวแลได้อย่างไรกัน เพราะฉะนั้นข้าเป็นอาจารย์อาของสำนักเทียนอู่จง ท่านก็เป็นอาจารย์นอกสำนักของสำนักเทียนอู่จง สอนข้าได้อย่างสง่าผ่าเผย ดีไหมล่ะ” จูนจิ่วกะพริบตาปริบๆ มุมปากมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
มือทั้งสองข้างของนางไขว้อยู่ข้างหลัง ก้าวเท้าไปยังโม่อู๋เยว่ แกล้งพูดอย่างได้ใจว่า “อู๋เยว่ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
จูนจิ่วมองปฏิกิริยาของโม่อู๋เยว่ตาไม่กะพริบ นางเห็นม่านตาของโม่อู๋เยว่หดแน่นขึ้นชั่วขณะ ริมฝีปากที่แสนเย้ายวนนั้นกระตุกขึ้น
เขาทั้งตกใจและดีใจ เพราะในที่สุดนางก็ทำตามที่เขาปรารถนา จากโม่อู๋เยว่เปลี่ยนเป็นเรียกเขาว่าอู๋เยว่
เห็นกิริยาที่เปลี่ยนไปของโม่อู๋เยว่ จูนจิ่วยิ่งแน่ใจว่าที่โม่อู๋เยว่หนีไปนั้นต้องเกี่ยวข้องกับนางโดยตรง การคาดเดานี้ไม่ผิด เพียงชั่วครู่รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งทวีความเจ้าเล่ห์มากขึ้น จูนจิ่วเขย่งปลายเท้าเงยหน้าขึ้นมองโม่อู๋เยว่ นางพูดยิ้มๆว่า “อู๋เยว่ วันนั้นทำไมเจ้าต้องหนีไปกะทันหัน หรือเพราะอาย อู๋เยว่ อู๋เยว่”
นางจงใจทำเสียงน่ากลัว แกล้งเรียกชื่อของโม่อู๋เยว่
เสี่ยวอู่ซบหน้ากับเท้าอยู่บนตั่ง ในตาแมวมีแววปั่นป่วน เจ้านาย ท่านจุดชนวนไฟแล้ว คนที่เสียเปรียบคือท่านนะเหมียว
จูนจิ่วหยอกเย้าเขาอย่างไม่สำรวมกิริยาเช่นนี้ โม่อู๋เยว่ย่อมมีการตอบสนอง ยื่นมือคว้าตัวจูนจิ่วมาอยู่ในอ้อมอก โม่อู๋เยว่ใช้มือขวาค่อยๆเชยคางจูนจิ่วขึ้นให้มองมาที่ตน โม่อู๋เยว่ “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์คิดว่าข้าอายอย่างนั้นหรือ”
“ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ”จูนจิ่วเลิกคิ้มถามเขา
นางถูกโม่อู๋เยว่กอดรัดไว้ในอ้อมอก แต่ไม่มีทีท่าจะอ่อนลงสักนิด กลับยิ่งเปิดปากยิ้มกว้างอย่างไม่เกรงกลัวอะไร แววตาหยอกล้อมองไปที่โม่อู๋เยว่
ดวงตาสีทองหม่นลง โม่อู๋เยว่โน้มตัวก้มหน้า น้ำเสียงของเขาแหบพร่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ ข้าต้องกินวิญญาณของเจ้าแน่ เจ้าไม่กลัวตายหรือ”
“เจ้าจะกินวิญญาณข้า เอาจริงหรือ”จูนจิ่วถามโม่อู๋เยว่ ความจริงนางรู้คำตอบดีอยู่แล้ว วันนั้นวิญญาณของนางรู้สึกถึงความเจ็บปวดสายหนึ่งจริง แต่จูนจิ่วไม่ได้เกิดรู้สึกหวาดกลัวเพราะเหตุนี้ กลับรู้สึกสงสัยว่าโม่อู๋เยว่กินวิญญาณด้วยหรือ
จูนจิ่วเริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจัง โม่อู่เยว่ต้องไม่ใช่มนุษย์แน่ ถ้าอย่างนั้นเขาเป็นอะไร ปีศาจก็เท่ากับสัตว์ประหลาด
ไม่รู้ว่าหากโม่อู๋เยว่ได้รับรู้ความคิดของจูนจิ่วในตอนนี้ จะหัวเราะหรือจนใจกันแน่
“จริงสิ”โม่อู๋เยว่มองจูนจิ่วนิ่งๆ เขาอยากมองการตอบสนองของจูนจิ่วให้ชัดเจน กลัว หรือว่าจะตกใจและโมโห
ก่อนที่เขาจะพบกับจูนจิ่ว ไม่เคยจะเชื่อเรื่องคู่แท้อะไรทำนองนี้ เป็นเพียงคำพูดที่ไม่มีที่มา แต่หลังจากที่ได้พบนาง เริ่มแรกยิ้มอย่างดูถูก คิดจะกลืนกินวิญญาณของจูนจิ่วเพื่อเสริมพละกำลังของตน ตอนนี้ เขากลับหวั่นไหวซะแล้ว
เขายังคงอยากกินจูนจิ่ว แต่ที่อยากกินไม่ใช่วิญญาณของจูนจิ่ว แต่อยากจะกลืนกินนางทั้งตัวไว้ในท้อง ทั้งนอกทั้งในล้วนประทับตราที่เป็นของตัวเขาโม่อู๋เยว่
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจูนจิ่วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เขาก็ไม่ปล่อยนางไป ในตาโม่อู๋เยว่มีแววลึกซึ้ง อยากครอบครองอย่างเอาแต่ใจ มากสุดก็แค่ฆ่าทำลายเพศตรงข้ามที่อยู่ข้างกายเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ให้สิ้นซาก เหลือเพียงแค่เขาที่เป็นตัวเลือกเดียวของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เท่านั้น โม่อู๋เยว่รู้สึกว่าความคิดนี่ไม่เลว
ขณะครุ่นคิด เสื้อตรงหน้าอกก็ถูกคว้าหมับอย่างกะทันหัน โม่อู่เยว่ได้ยินจูนจิ่วพูดยิ้มๆว่า “หากเจ้ากล้ากินวิญญาณข้าละก็ ข้าจะ”
จูนจิ่วก็อ้าปากกัดเข้าที่คอของโม่อู๋เยว่กะทันหัน ตอนนั้นเองโม่อู๋เยว่มีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรวดเร็ว รีบสลายเกราะป้องกันของตนอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด ไม่เช่นนั้นหากกัดถูกการป้องกันของเขา เขานั้นไม่เป็นไรแต่จูนจิ่วจะกระแทกจนเจ็บฟันซะเอง
กัดแรงๆไปหนึ่งครั้ง ไม่เห็นเลือดแต่มีรอยฟันฝังลึกเป็นวง หลังจากที่ปล่อยคอก็คำรามเสียงเย็นว่า “ข้าจะกินเจ้าก่อน”
“ได้”โม่อู๋เยว่ตอบเสียงต่ำ ริมฝีปากบางยิ้มอย่างมีเสน่ห์ ถูกเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ “กิน”ก็ไม่เลว เขากำไรแล้ว
เมื่อความจริงเปิดเผย ทั้งสองก็กลับมาเข้ากันได้ดีเหมือนในรูปแบบก่อนหน้านี้ มีเพียงเสี่ยวอู่ที่ถูกภาพบาดตาจนเกือบบอด เหมือนถูกยัดอาหารสุนัขอย่างบ้าคลั่ง นอกจากนี้แล้ว โม่อู่เยว่ยังมีสถานะเพิ่มขึ้นเป็นผู้อาวุโสนอกสำนัก อาศัยนามนี้ ก็สามารถปรากฏตัวยืนเคียงข้างกายจูนจิ่วได้อย่างสง่าผ่าเผย
สำนักเทียนอู่จงจู่ๆก็มีผู้อาวุโสนอกสำนักโผล่มาหนึ่งคน ดึงดูดความประหลาดใจจากเหล่าผู้อาวุโสและลูกศิษย์ทั้งหลายมามุงดู ตามจูนจิ่วไปน้ำตกหิน เมื่อทุกคนได้เห็นโม่อู๋เยว่ ในพริบตาทุกคนต่างจำนนต่อความงามดุจปีศาจจำแลงของโม่อู๋เยว่
เหมือนที่ผู้อาวุโสโจวเตี๋ยกล่าวว่า “ทีนี้ใครจะกล้าเทียบกับเรา มีโม่อู๋เยว่และจูนจิ่วอยู่ ในสำนักเทียนอู่จงใครจะกล้ายกยอตัวเองว่างามเป็นที่หนึ่ง”
แต่นั้นเป็นต้นมา ขณะที่สำนักเทียนอู่จงนอกจากจะมีข่าวเรื่องการได้รับจูนจิ่วผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมระดับเจ็ดสีม่วงแล้ว ยังล่ำลือกันถึงบุรุษอาวุโสที่งามที่สุดในโลกคนหนึ่งแพร่ออกไปอีกด้วย แน่นอน ไม่มีใครเชื่อ คิดว่าสำนักเทียนอู่จงนั้นกุเรื่องพูดเกินจริง เพื่อให้ตนเองดูดี มีใครไม่รู้บ้างว่าสำนักเทียนอู่จงล้วนมีแต่พวกหยาบกร้าน
เมื่อพวกชิงหยู่รู้ก็ไม่ได้โกรธอะไร กลับยิ่งเฝ้ารอการแข่งขันทั้งห้าสำนักที่จะมาถึง เมื่อถึงตอนนั้นต่อหน้าพวกเขา ตบหน้าพวกเขาให้ดังเพี๊ยะๆจึงจะสะใจ สำนักเทียนอู่จงจะโอ้อวดไปให้ถึงชั้นฟ้า ใครก็อย่าได้คิดขวางกั้น
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวติดปีก เพียงพริบตาก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว จูนจิ่วบรรลุนักจิตชั้นสี่อย่างเงียบๆได้อย่างราบรื่น ตอนนี้เองที่สำนักเทียนอู่จงเริ่มคึกคักขึ้นมาบ้าง กลุ่มผู้เข้าร่วมแข่งขันอีกสี่สำนักเริ่มทยอยออกเดินทาง ในเมืองนอกเขตสำนักเทียนอู่จง ยิ่งมีผู้คนที่ต้องการมาดูการแข่งขันหลั่งไหลเข้ามามากมายไม่ขาดสาย
วันนี้ จูนจิ่วได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากหยูนจ้งจิ่น หลังจากที่นางอ่านจบ เงยหน้าขึ้นมองไปทางโม่อู๋เยว่ “หยูนจ้งจิ่นจัดงานประมูลมาถึงสำนักเทียนอู่จงแล้ว จะไปดูด้วยกันหรือไม่ ”
“ดี”โม่อู๋เยว่พยักหน้า เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จะไป เขาย่อมไปด้วย
“พอดีเลย หยูนเฉียวกับจูนเสี่ยวเหล่ยพวกเขาก็ใกล้จะถึงสำนักเทียนอู่จงแล้ว สามารถพบปะไปด้วยเลย เพียงพริบตาก็ผ่านไปครึ่งปี ไม่รู้ว่าการฝึกฝนพัฒนาขึ้นบ้างหรือยัง