บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่379 บูชายัญเลือดนาง
บทที่379 บูชายัญเลือดนาง
สีหน้าของหงยิงตอนนี้ ก็เหมือนเห็นผี
ชั่วขณะหนึ่งจูนจิ่วไม่ใช่นักจิตชั้นห้าคนนั้น แต่เป็นคนที่โหดร้ายน่ากลัวกว่านางที่เป็นนักจิตใหญ่ชั้นสอง หงยิงเห็นจูนจิ่วเดินเข้ามา ก็ถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว พอได้สติ หงยิงก็เปลี่ยนจากอับอายเป็นความโกรธจนหน้าบิดเบี้ยว
จ้องไปยังจูนจิ่ว ใบหน้าสวยงามเหลือเพียงความบิดเบี้ยวแบะความโกรธแค้น “วิชามาร”
หงยิงชี้ไปที่จูนจิ่ว “นังคนชั้นต่ำนี่มันวิชามารอะไรกัน”
“เจ้าจะสนใจทำไม สามารถสั่งสอนเจ้าได้ก็พอ”เพิ่งจะพูดจบ จูนจิ่วก็เผยรอยยิ้มเย็นและโหดเหี้ยม ก้าวครั้งเดียวดึงดาบฟันลงไปยังหงยิง หงยิงเห็นดังนี้ ก็ดึงแส้ยาวขึ้นต้านรับอย่างไม่คิดอะไรอีก
สายตาเย็นชาอึมครึม มือของจูนจิ่วที่จับที่ด้ามของดาบป๋ายเย่ นางหมุนเวียนพลังทิพย์อย่างบ้าคลั่ง ด้วยกระแสดึงดูดพลังหินหยกทิพย์ในร่างของเสี่ยวอู่อย่างบ้าคลั่ง ด้วยพลังที่มากมายเหล่านี้ทำให้เส้นลมปราณเกิดอาการจุกจนขยายตัวใหญ่ขึ้น ความเจ็บส่งผ่านไปยังสมอง
แต่ความเจ็บนี้สำหรับจูนจิ่วแล้ว ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น
นางสีหน้าเย็นชาโหดเหี้ยม ถ่ายเทพลังทั้งหมดเข้าสู่ป๋ายเย่ โถมตัวกระโดดขึ้นไป ดาบนี้ของจูนจิ่วยากจะต้านทานได้
ปัง
ป๋ายเย่กับเส้ยาวปะทะกันอีกครั้ง ม่านตาของหงยิ่งค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น มองไปยังจุดที่แส้ยางพันป๋ายเย่เอาไว้อย่างไม่อยากเชื่อ เกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ แค่ช่วงเวลาพริบตาเดียวเท่านั้น เสียงก็ดังมากขึ้น หงยิงสีหน้าขาวซีด
เส้ยาวของนาง ถูกป๋ายเย่ฟันขาดไปแล้ว
แส้ยาวถูกตัดขาดจนหล่นไปที่พื้นเป็นท่อนๆ เพียงพริบตาจูนจิ่วก็อยู่ตรงหน้านางแล้ว ปัง หนึ่งฝ่ามือประทับลงไปที่หน้าอกของหงยิง อ้าปากอาเจียนเลือดออกมา ก่อนหน้านี้หน้าอกเคยถูกเตะแล้ว ตอนนี้ยังถูกฝ่ามือซ้ำอีกทำให้กระดูกซี่โครงหักไปหลายซี่ หงยิงเจ็บจนลุกขึ้นไม่ได้
นิ้วมือสวยงามดุจหยกข้างหนึ่งยื่นมาคว้าคอเสื้อของหงยิงเอาไว้ ลากนางไปไว้ที่แท่นบูชา
หงยินเห็นดังนี้ก็ตกใจมาก “จูนจิ่วเจ้าจะทำอะไร”
“ก็เอาเลือดเจ้าบูชายัญเพื่อผ่านด่านน่ะสิ ”จูนจิ่วน้ำเสียงเย็นชาอำมหิต หงยินได้ยินก็เบิกตากว้าง บูชายัญเลือดนาง
เมื่อก่อนหงยิงอาจจะหัวเราะเยาะจูนจิ่วว่าแค่ฝันไป แต่ตอนนี้ ความจริงอยู่ตรงหน้า หงยิงทั้งแค้นทั้งตกใจ นางคำรามและดิ้นรน“เจ้ากล้าหรือ”
จึก
จูนจิ่วยกมือขึ้นอย่างสง่า ใช้ป๋ายเย่ปักลงไปที่หน้าอกของหงยิงเพื่อตรึงนางไว้กับแท่นบูชา มืออีกข้างก็ใช้โยวยิ่งฟันฉับลงไปตามแขนขาของหงยิง เลือดสดไหลออกมาซึมเข้าไปสู่แท่นบูชา จูนจิ่วยิ้มอย่างเยาะเย้ย “ข้าก็ทำไปแล้ว เจ้าว่าข้ากล้าหรือไม่เล่า”
“อ๊าๆๆๆ จูนจิ่วข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า”หงยิงโกรธจนร้องตะโกนเสียงดังลั่น
แต่ว่าจะดิ้นให้หลุดก็ยังทำไม่ได้ ทำได้เพียงล้มลงไปกับแท่นบูชามองเลือดสดๆที่ไหลออกมาจากร่างของตัวเองด้วยตาปริบๆ นางอยากจะยกหัวขึ้น แต่จูนจิ่วก็กดคอของนางเอาไว้ไม่ให้ขยับ แววตานางเย็นชาอำมหิตจนหงยิงรู้สึกใจสั่น
ฉากนี้ ทำเอาทุกคนต่างสูดลมหายใจ
ตาเกือบจะถลนออกจากเบ้าแล้ว แต่ก็เปลี่ยนแปลงความจริงนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่านี่เป็นฝันบ้าบอคอแตกของพวกเขาหรอกนะ
นักจิตใหญ่ระดับสองคนหนึ่ง กลับถูกนักจิตระดับห้าสั่งสอนเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ยังกดคอเอาไว้ที่แท่นบูชาเพื่อปล่อยให้เลือดไหล อย่าว่าแต่เห็นกับตาเลย พวกเขายังคงถามตัวเองในใจอย่างบ้าคลั่งว่า นี่มันเป็นไปได้อย่างไร
ฝู้หลินจ้าน “นี่มันเรื่องจริงหรือ”
“ข้าก็ไม่เชื่อ แต่นี่คือเรื่องจริง นี่พวกเราจะมองจูนจิ่วบูชาเลือดหงยิงอย่างนี้จริงหรือ”มู่จิ่งหยวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสับสน สีหน้าลำบากใจ
หรือว่าจะไปช่วยหงยิง นอกจากหยุนหนี พวกเขาต่างก็ส่ายหน้า เพชฌฆาตหญิงที่แสนอำมหิตคนนั้น ใครจะไปช่วยนาง ตอนนี้เองฝู้หลินซวงเคลื่อนตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขายกมือไปจับจูนจิ่ว
ฝู้หลินซวงจะช่วงหงยิง
จูนจิ่วเห็นฝู้หลินซวงพุ่งตรงเจ้ามา เห็นเขาจะลงมือกับตนเอง แต่เขาไม่ได้สัมผัสถึงความมาดร้ายในตัวฝู้หลินซวง มีเพียงความร้อนใจส่วนหนึ่งเท่านั้น ขณะที่ฝู้หลินซวงจะจับตัวนางได้แล้ว จูนจิ่วก็ปล่อยมือถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อหลบ
ฝู้หลินซวงน้ำเสียงเย็นชาแข็งกระด้าง “ถอยไป”
อะไรนะ
เสียงปังดังขึ้นหมอกสีเลือดระเบิดออก จูนจิ่วกางม่านกั้นขึ้นทันที อีกทั้งยังครอบคลุมไปถึงฝู้หลินซวงด้วย นางเงยหน้าขึ้นมองหมอกสีเลือด หงยิงที่อยู่บนแท่นบูชาหายไปแล้ว
“เทียนซูมีวิชาลับ คนที่มีสถานะสูงส่งจะเลี้ยงหนอนโลหิตเอาไว้หนึ่งตัว สามารถหนีได้ร้อยลี้ ใช้แค่ครั้งเดียวก็ใช้พลังไปครึ่งชีวิต ไม่ถึงยามคับขันจะไม่นำออกมาใช้”ยากมากที่ฝู้หลินซวงจะพูดยาวขนาดนี้ เขาก้มหน้าอธิบายให้จูนจิ่วฟัง
เมื่อครู่หงยิงใช้วิชาลับนี้ในการหลบหนี หากจูนจิ่วยังจับตัวนางไว้ คงต้องถูกพลังของวิชาลับนี้ทำให้บาดเจ็บแน่
เมื่อรู้ที่มาที่ไปแล้ว จูนจิ่วก็สลายม่านกั้น พยักหน้าขอบคุณฝู้หลินซวง “ขอบคุณ”
“ไม่เป็นไร”
ขณะเดียวกันพวกมู่จิ่งหยวนก็พุ่งตัวเข้ามา คำพูดของฝู้หลินซวงพวกเขาต่างก็ได้ยิน ฝู้หลินจ้านสีหน้าตกตะลึง “ข้ายังคิดว่าวิชาลับนี้จะเป็นแค่การกุเรื่องขึ้น เพื่อหลอกคนอื่น ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ข้าไม่เป็นไร ”จูนจิ่วพูดขึ้นก่อน เพื่อตัดบทคำถามเป็นห่วงของพวกชิงหยู่ที่จะตามมา นางเงยหน้ามองไปยังแท่นบูชา ขมวดคิ้วเล็กน้อย ครั้งนี้หงยิงหนีไปได้ นางเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าหงยิงจะมีวิชาลับช่วยชีวิตอย่างนี้ด้วย
ชิงหยู่พูดว่า “ศิษย์น้อง เจ้าบีบจนหงยิงแพ้ภัยตัวเองจนต้องใช้วิชาลับเพื่อหลบหนี เจ้าร้ายกาจมากแล้ว ศิษย์พี่ชื่นชมเจ้ามาก”ชิงหยู่กำลังปลอบใจจูนจิ่วไม่ให้โกรธ วันนี้อีกนิดเดียวก็จะฆ่าหงยิงได้แล้ว ครั้งหน้าต้องฆ่านางสำเร็จแน่
จูนจิ่วกระตุกมุมปาก สายตาเย็นชา “นางหนีได้ครั้งเดียว ใช่ว่าจะหนีได้ตลอดไป”
แม้ว่ากลโกงที่ใช้จะไม่ได้มีทุกครั้ง แต่นางจะเพิ่มพลังของตัวเอง ไม่ใช่กลโกงอีก เพื่อจะฆ่าหงยิงให้ได้ จูนจิ่วเพิ่งจะคิดได้ถึงตรงนี้ ก็ได้ยินเสียงล่องลอยส่งผ่านมา
เขาพูดว่า “ยินดีด้วยเจ้าผ่านด่านแล้ว สามารถเข้าสู่ใจกลางสุสานอ๋องเซ่หยิ่งได้ และเป็นผู้ได้รับมรดกของอ๋องเซ่หยิ่ง ”
ตามติดเสียงกังวานที่ดังขึ้น ก็มีไอหมอกที่มารูปร่างเป็นคนยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ภายในม่านหมอก ดวงตาคู่หนึ่งมองไปที่จูนจิ่ว พูดต่อว่า “แม้ว่าคนที่ถูกบูชาเลือดจะหนีไปกลางคัน แต่เลือดที่ไหลออกมาพอดีเลย ฉะนั้นก็ยินดีกับเจ้าด้วย”
เขายกมือขึ้น แท่นบูชาก็เปลี่ยนร่าง ข้างบนมีเลือดของหงยิงไหลวน ทำให้ยันต์สว่างขึ้นทีละตัว สุดท้ายแท่นบูชาก็กลายเป็นประตูบานหนึ่ง
ญาณสุสาน “เดินเข้าไป เจ้าก็จะได้รับมรดกของอ๋องเซ่หยิ่ง”
“แล้วข้าล่ะ”เสียงตื่นเต้นของหยุนหนีดังขึ้น นางวิ่งไปตรงหน้าญาณสุสาน
“ข้าก็ฆ่าคนไปหนึ่งคน ตามหลักแล้วข้าก็ผ่านด่านเข้าไปได้”
ลูกศิษย์สามคน ฝู้หลินจ้านกับฝู้หลินซวงต่างฆ่าคนละหนึ่งคน มู่จิ่งหยวนปล่อยคนสุดท้ายไป แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกหยุนหนีกำจัดไป หยุนหนีก็มีความโลภอยากได้มรดก ฉะนั้นนางจะไม่ปล่อยโอกาสใดๆก็ตามไปเด็ดขาด
แต่ว่าญาณสุสานก็แค่เหลือบมองเขาแวบเดียวเท่านั้น เอ่ยอย่างรังเกียจว่า “วางไว้บนแท่นบูชาจึงจะนับว่าบูชาเลือด ฆ่าคนไม่นับ”
หยุนหนีสีหน้าขาวซีดทันที ที่แท้นางเสียงแรงไปตั้งมากมาย สุดท้ายก็สูญเปล่า
“เอาล่ะ เจ้ารีบเข้าไปเถอะ นอกจากมรดกของอ๋องเซ่หยิ่ง ยังมีสมบัติที่อ๋องเซ่หยิ่งทิ้งเอาวไ เจ้าไม่อยากได้หรือ รีบเข้าไปเถอะ ”ญาณสุสานเก็บสายตา แล้วมองไปที่จูนจิ่วเร่งเร้าไม่หยุด จูนจิ่วมองญาณสุสานแวบหนึ่ง ก้าวเท้าเข้าไปยังประตูบานนั้น