บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ - บทที่ 299
บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ บทที่ 299
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากในห้องน้ำ เสียงนั้นบ่งบอกว่ากำลังปกป้องเมเรดิธอย่างมาก
สายตาอันเยือกเย็นของเจเรมี่กวาดไปทั่วราวกับพายุน้ำแข็ง “แม่ปล่อยให้เธอเข้ามาเหรอ?”
“มันผิดตรงไหนที่เธอกำลังนอนอยู่บนเตียงนั่น? เธอเป็นคู่หมั้นของแก และทั้งสองคนก็มีแจ็ค เขาสามคนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว! มันผิดตรงไหนที่ครอบครัวจะอยู่ด้วยกัน?”
คุณนายวิทแมนกล่าวอย่างมั่นใจ เจตนาของเธอเพิ่มขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ เธอไม่รู้เลยว่าท่าทีของเจเรมี่เปลี่ยนไป
“หลังจากที่เมเรดิธผ่านเรื่องร้าย ๆ มันเป็นหน้าที่ของแกที่จะปลอบโยนคู่หมั้นและปลอบใจเธอ แกจะใช้เวลาที่มีทั้งวันหมดไปกับนังแม่มดคนนั้นไม่ได้!”
คุณนายวิทแมนตบบ่าเมเรดิธอย่างเห็นอกเห็นใจ ก่อนที่จะใช้สายตาแข็งกร้าวมองไปที่เจเรมี่
“แม่รู้ว่าแกมีความคิดเป็นของตัวเอง เจเรมี่ แต่คราวนี้แกต้องฟังฉัน เพราะฉันเป็นแม่ของแก! เว้นระยะห่างจากผู้หญิงคนนั้นซะ วีล่า ควินน์ เธอไม่ได้มีดีอะไรนอกจากจะเป็นลางร้ายเท่านั้น ไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้เห็นเกี่ยวกับคนทำร้ายเมเรดิธครั้งนี้ได้!”
“แม่เอารูปที่อยู่บนหัวนอนปาลงพื้นหรือเปล่า” เจเรมี่เม้มริมฝีปากขณะสอบถามด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
ทั้งเมเรดิธและคุณนายวิทแมนถึงกับผงะก่อนที่คนหลังจะตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัวว่า “แล้วถ้าฉันให้ใครมารื้อมันทิ้งไปล่ะ? ยัยบ้านั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว ทำไมแกยังแขวนรูปถ่ายของเธอไว้ในบ้านอยู่ได้? มองแล้วอยากจะอาเจียน! แขวนรูปของแกกลับเมเรดิธดีกว่าถ้าแกต้องการแขวนภาพแต่งงานขนาดนั้น!”
คุณนายวิทแมนกอดอก โดยไม่สังเกตว่ามีอากาศเย็นกำลังหมุนวนรอบตัวเธอ
“ฉันบอกแม่บ้านขึ้นมาทำความสะอาดห้องนี้แล้ว ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับยัยบ้านั่นถูกโยนทิ้งไปหมดแล้ว!”
มาถึงตอนนี้ เจเรมี่รีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและเปิดมันออก
และเมื่อเปิดมันออกมาเหลือเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ตัวของมาเดลีนที่เคยสวมขณะมีชีวิตถูกแทนที่ด้วยแบรนด์เนมของเมเรดิธ
เขากำขอบตู้เสื้อผ้าแน่นจนเส้นเลือดโป่งออกมาจากแขนของเขา พายุหิมะเริ่มหมุนวนในดวงตาทันทีที่รู้เมื่อตาของเขาขยายออก ความมืดกำลังกลืนกินตัวเขาเพิ่มมากขึ้น
เสียงแม่ของเขาดังขึ้นด้านหลัง
“โอ้ และเมเรดิธจะอยู่ที่นี่นับจากนี้ ฉันจะบอกสื่อมวลชนว่าสองคนได้แต่งงานกันแล้ว เพราะงั้นควรไปทำความเข้าใจให้นังแม่มดคนั่นรู้ดีกว่าว่าอะไรที่เป็นการดีที่จะบอกให้เธอไสหัวไป!”
ปัง
เจเรมี่กระแทกประตูตู้เสื้อผ้า ทำให้ทั้งเมเรดิธและแม่ของเขาสะดุ้งเฮือก ทั้งสองแทบจะกระโดดตามเสียง
“เธอไม่ใช่คนที่ต้องไสหัวไปเกี่ยวกับเรื่องนี้” น้ำเสียงหนักอันแหลมคมของเจเรมี่เสียดแทงเข้าไปในแก้วหูของทั้งคุณนายวิทแมนและเมเรดิธราวกับน้ำแข็งแรมคม
ในฐานะของคนเป็นแม่ คุณนายวิทแมนพูดขึ้นอย่างไม่พอใจหลังจากนั้นไม่นาน “นี่แกกำลังพูดอะไรออกมา เจเรมี่? มีความหมายอะไรในนั้นซ่อนอยู่? ฉันเป็นแม่ของแกนะ—”
“ถ้าบอกให้คนที่นำของที่ถูกโยนออกไปจากห้องนี้กลับมาคุณก็ยังจะเป็นแม่ของ เจเรมี่ วิทแมน ต่อไป หรือว่าจะหยุดคิดไปได้เลยว่าผมจะเรียกคุณว่าแม่อีกต่อไป”
“… ”
คุณนายวิทแมนตกตะลึงและในดวงตาเธอมีแต่ความไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ตอนนั้นเองที่เธอรับรู้ได้ว่าสายตาของเจเรมี่กำลังทะลุทะลวงน้ำแข็งก็แผ่ออกมาเป็นรังสี ดวงตาของเขามืดมนและสิ้นหวังราวกับว่าเขาอยู่ห่างจากการควักหัวใจของเธอออกมาจากอกเพียงแค่นิดเดียว!
เมื่อสูญเสียความมั่นใจที่เคยมี เธอพูดออกมาอย่างตะกุตะกะด้วยสีหน้าและท่าทางของเธอคลั่งและรู้สึกพ่ายแพ้แค่ไหน “เจ – เจเรมี่ แม่ทำสิ่งนี้ก็เพื่อเป็นผลดีกับแก แกไม่เห็นหรือไงว่าเมเรดิธ บาดเจ็บขนาดไหน—”
“แม่จะต้องเอาทุกอย่างกลับมาคืนที่เดิมก่อนที่ผมจะกลับบ้านคืนนี้ หรือไม่งั้นแม่จะต้องแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหว” เจเรมี่ไม่สนใจในสิ่งที่คุณนายวิทแมนพูด เขาหันหลังเดินจากไปโดยปล่อยให้คุณนายวิทแมนและเมเรดิธจ้องหน้ากันด้วยสายตาขึ้นลงไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก
เจเรมี่รีบออกไป เพราะเขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถระงับความโกรธที่มีไม่ได้อีกแล้ว
เขาโทรศัพท์หาวีล่าในขณะที่อยู่บนถนน
เขาเรียกร้องอย่างเจ้ากี้เจ้าการในช่วงที่สายโทรศัพท์ได้เชื่อมกับเธอแล้ว “ผมรู้สึกร้อนรนตอนนี้ มาอยู่เป็นเพื่อนผม ผมจะไปถึงตึกอพาร์ตเมนต์ของคุณในอีกสักครู่นะ”
เขาวางสายก่อนที่มาเดลีนจะมีโอกาสปฏิเสธเขา จากนั้นเขาก็ปิดโทรศัพท์ทันที
และเพื่อเป็นหลักประกันที่มาเดลีนจะไม่มีโอกาสโทรกลับมาปฏิเสธเขา
เจเรมี่มาถึงล็อบบี้ของอพาร์ตเมนต์ของมาเดลีน ดวงตาของเขาสบเข้ากับเธอ และเขารู้สึกได้ถึงเปลวไฟในตัวได้ลดลงสงบทันทีเมื่อเจอเธอ
การปรากฏตัวของเธอทำให้เขาเห็นภาพลวงตาว่ามาเดลียยังมีชีวิตอยู่ดี — แม้ว่าเสียงในใจของเขาจะเตือนเขาอย่างชัดเจนว่ามาเดลีนจากเขาไปแล้วก็ตาม