บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ - บทที่ 409
บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ บทที่ 409
ช้าไปแล้วสำหรับเธอในตอนนี้มาเดลีนไม่เหลือเวลาที่จะหยุดเอโลอิสเมื่อเธอโพล่งประโยคนั้นออกไป
อากาศและบรรยากาศรอบตัวนิ่งลงไปพักนึง มาเดลีนมองดูปฏิกิริยาของเจเรมี่จากมุมตา สีหน้าของเขาดูซับซ้อนเหลือเกิน ราวกับว่าเขาเพิ่งได้ยินข่าวที่คาดไม่ถึง กระนั้นเอง เขาดูสงบอยู่
มาเดลีนคิดหนักอยู่สองสามวินาทีก่อนจะทำลายความเงียบพวกนั้นลง “ทั้งสองมอนต์โกเมอรี คิดว่ามาเดลีนเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของพวกคุณอย่างนั้นเหรอ?”
เอโลอิสจ้องเธอ และพูดว่า “แม้ว่าเราจะไม่มีบางอย่างที่เป็นการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัด แต่ความแน่ใจของพวกเรามีมากกว่า 90% ที่ว่ามาเดลีนเป็นลูกสาวของฉัน!”
น้ำเสียงของเธอฟังดูไปในทางบวกและคิดเข้าข้างตัวเองอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยหมอกแห่งความคิดถึงและห่วงหาในขณะที่มองไปที่หน้ามาเดลีน
“วีล่า ตัวเธอเองมีลูกสาว ใช่ไหม?” เอโลอิสถามขึ้นมาทันที
มาเดลีนพยักหน้า “ใช่”
“ตอนนั้นที่ฉันเห็นลูกสาวของเธอที่โรงพยาบาลครั้งแรก ฉันรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อลูกสาวของเธอดูคล้ายกับลูกสาวของฉันมากในตอนที่เธอเกิดมาลืมตาดูโลกครั้งแรก”
“ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมทั้งสองถึงดูคล้ายกัน นั่นเป็นเพราะว่าหน้าตาของคุณแทบจะเป็นคนคนเดียวกันกับมาเดลีนเลย…”
หลังจากได้ฟังเรื่องที่เอโลอิสอธิบายแล้ว มาเดลีนถึงกับอึ้งเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินแบบ
สิ่งที่เอโลอิสพูดเป็นความจริงเมื่อครั้งที่เธอเห็นลิลลี่ในตอนนั้นทำให้เธอเลื่อนลอยไปพักหนึ่ง
มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
‘ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกือบ 30 ปี แต่แม่ของฉันก็ยังจำรูปร่างหน้าตาของฉันได้อย่างชัดเจนเมื่อครั้งที่ฉันยังเป็นทารก’
มีความหวานจาง ๆ ก่อเกิดขึ้นในหัวใจมาเดลีน
ในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมานี่เธออยู่โดยไม่มีพ่อและแม่ ในที่สุดเธอก็ได้รู้ว่าการที่ถูกคนที่รักเธอคิดถึงเป็นยังไง แม้ว่าความรู้สึกนี้จะถูกซ่อนไว้ในมุมลึกที่ไม่มีใครมองเห็นก็ตาม
มาเดลีนกำลังครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ ในขณะที่ได้ยินเฌอนพูดกับเจเรมี่ด้วยน้ำเสียงเชิงขอร้องว่า “เจเรมี่ ฉันรู้ว่านายเองไม่ชอบมาเดลีนมาเสมอ ในสิ่งที่คิดว่าเธอวางแผนเพื่อที่จะบังคับให้นายได้แต่งงานกับเธอ ตอนนี้นายควรรู้ว่ามาเดลีนนั้นบริสุทธิ์แค่ไหนและทุกอย่างเป็นแผนการของเมเรดิธคนเดียวเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น นี่เป็นเวลาสามปีแล้วที่มาเดลีนเสียชีวิต ในตอนนี้…”
เมื่อเขาพูดมาถึงตอนนี้ ฌอนกำลังสะอึกแต่เขายังคงพูดต่อ “เจเรมี่ เราสอคนไม่มีสิทธิ์กล่าวหานายเลย เรามาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะเห็นว่านายสามารถช่วยเราได้เพราะครั้งหนึ่งนายเคยแต่งงานกับมาเดลีน
“แม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสได้พบกับลูกสาวของเราอีกครั้งในชีวิตนี้ แต่เราหวังว่าเธอจะรับรู้ได้ว่าเธอเองมีบรรพบุรุษและมีตัวตนแทนการเป็นผีไร้ญาติที่ไม่มีครอบครัว…”
ขณะที่เขาพูดแบบนี้ เอโลอิสอดไม่ได้ที่จะหันหน้าหนีและเอามือปิดหน้าร้องไห้
มาเดลีนดึงทิชชู่ออกมาสองแผ่นยื่นให้เอโลอิส
เธอเหลือบมองเจเรมี่ที่ยังนั่งเงียบและเลิกคิ้วขึ้นอย่างเศร้าโศก
“นายท่านมอนต์โกเมอรี และนายหญิงมอนต์โกเมอรี ฉันเกรงว่าเจเรมี่จะช่วยไม่ได้”
คำพูดง่าย ๆ ที่ออกมาจากปากของมาเดลีน ทำให้ความคาดหวังของเอโลอิสและฌอนแตกสลาย
“ก่อนที่ฉันจะตกลงแต่งงานกับเขา ฉันได้ให้คนเข้าไปเก็บกวาดข้าวของมาเดลีนออกไปหมดแล้ว มันไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ หากคุณต้องการทดสอบความสัมพันธ์ ฉันเกรงว่ามันจะไม่มีอะไรที่เป็นผล”
แสงแห่งความหวังภายในดวงตาของทั้งสองได้ลดหรี่ลง
ทุกอย่างไม่ได้จบลงแค่นั้น เอโลอิสไม่ยอมแพ้ ดวงตาของเธอกลับมาแข็งกระด้างอีกครั้ง
“แม้ว่าเราจะตรวจหาความเป็นพ่อแม่ไม่ได้ ถ้าฉันยังลังเลอยู่อีกในตอนนี้ ฉันเองไม่คู่ควรที่จะเป็นแม่ของเธอ”
เอโลอิสพยายามอย่างหนักหน่วงที่จะระงับความเศร้าของตัวเองเอาไว้ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ขอบคุณ วีล่าและเจเรมี่ เราขอโทษที่รบกวนพวกคุณ”
หลังจากขอบคุณพวกเขาอย่างสุภาพแล้ว เธอกับฌอนได้พากันเดินออกไป
ภายในสำนักงานขนาดใหญ่แห่งนี้เงียบลง
เป็นเวลาเดียวกันกับที่หัวใจมาเดลีนได้ว่างเปล่าเช่นกัน
เธอกรีดยิ้มเสแสร้งออกมาในขณะที่หันไปมองเจเรมี่ที่กำลังหลับตาราวกับว่าเขากำลังคิดพิจารณาบางอย่าง คิ้วที่เหมือนดาบของเขากำลังถูเข้าหากันแน่น
“เจเรมี่ คุณเป็นอะไรไป? คุณตกใจเพราะรู้ว่ามาเดลีนเป็นลูกสาวของตระกูลมอนต์โกเมอรีใช่ไหม?”
เจเรมี่ลืมตาสีดำสนิทที่ดูมืดมิดของเขาขึ้นมาอย่างค่อย ๆ ก่อนจะใช้สายตาของตัวเองจับจ้องไปที่ดวงตาทั้งสองข้างที่สวยงาม ที่กำลังเบ่งบานด้วยรอยยิ้มของมาเดลีน ทำให้เขาต้องยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“สิ่งพวกนี้ไม่สำคัญสำหรับผมอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญสำหรับผมในตอนนี้ก็คือคุณ”
‘ไม่สำคัญ? ใช่ คนอย่างฉันมันเคยสำคัญอะไรกับนายตอนไหนกัน?’ มาเดลีนเย้ยอยู่ภายในใจแต่ก็ยังแสดงทีท่าอ่อนหวานออกมา “อย่าโกหกฉันสิ ฉันจริงจังกับเรื่องนี้”
“ผมเองก็จริงจังกับสิ่งที่พูดและการกระทำเช่นกัน” เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอ น้ำเสียงของเขาฟังดูนุ่มนวลราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ