บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ - บทที่ 643
บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ บทที่ 643
เสียงวินส์ตันนั่นเอง
เมเดลีนรีบหันมาอีกด้านและยืนหลบอยู่หลังกำแพง
เมื่อก้มต่ำลง เธอเห็นแจ็คสันยืนทำตาปริบ ๆ อยู่ข้าง ๆ พลางมองดูเธอด้วยดวงตากลมโต ใสซื่อ และบริสุทธิ์อย่างนึกสงสัย เมเดลีนพลันรู้สึกราวกับว่ากำลังทำอะไรผิด จากนั้นแก้มของเธอเริ่มร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย
“แม่ครับ กำลังทำอะไรอยู่? ทำไมไม่เข้าไปหาพ่อล่ะครับ?” เด็กน้อยเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา
แก้มสีขาวนวลเริ่มแต่งแต้มด้วยสีแดงเลือดฝาด “แม่คิดว่าพ่อของลูกคงจะยังไม่ตื่น แม่เลยไม่อยากเข้าไปกวนน่ะ”
“ทำไมล่ะครับ?” แจ็คสันกะพริบตาถี่ ๆ เพราะว่าเด็กน้อยไม่เข้าใจที่แม่ตนบอก
เมเดลีนย่อตัวลงพลางยิ้ม และลูบหัวของแจ็คสันอย่างรักใคร่ “แจ็ค ลูกยังเด็กมากและมีอีกหลายอย่างที่ลูกยังไม่เข้าใจ ตอนนี้แม่เริ่มเหนื่อยขึ้นมานิดหน่อย และอยากไปนอนพักต่อ ลูกเข้าไปเจอพ่อได้ แต่ถือว่าแม่ขอนะ อย่าบอกพ่อว่าแม่มาหานะ”
เด็กน้อยคลายความงุนงงและพยักหน้าอย่างว่าง่าย
เมเดลีนเดินกลับไปที่ห้องและนอนลงบนเตียงอย่างเงียบ ๆ
เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่เจเรมี่ติดอยู่ในกองเพลิงและไม่มีเสียงตอบรับออกมาจากเขา เธอรู้สึกได้ถึงความสั่นกลัวที่เกาะกินหัวใจ
หลังจากที่เจเรมี่รู้สึกตัว คอของเขาแห้งผากและมองไม่เห็นอะไรลยนอกจากความมืดมิด เขายื่นมือออกมาด้านหน้า และมือของเขากลับไม่สามารถสัมผัสสิ่งใดได้เลย
เมื่อเห็นว่าอาการของลูกชายไม่ดี วินส์ตันรับวิ่งไปเรียกหมอมาตรวจสอบ ถึงกระนั้น สิ่งแรกที่เจเรมี่ถามถึงคืออาการของเมเดลีน
“ลินนี่เป็นไงบ้างครับ? เธอปลอดภัยแล้วใช่ไหม?” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา แหบแห้ง และอ่อนแอ
“เมเดลีนไม่เป็นอะไรแล้วลูก อย่าเป็นห่วงเลย
เจเรมี่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มที่มีความสุขออกมา อย่างไรก็ตาม…
เขายกมือซ้ายขึ้นอีกและลืมตามองเป็นเวลานาน ตอนนั้นเขามองไม่เห็นสิ่งใดเลย
เขาหัวเราะเยาะกับตัวเองอย่างใจเย็น
คุณหมอมาถึงและตรวจดูอาการของเจเรมี่อีกครั้ง
เจเรมี่บอกอาการกับหมอว่าทัศนวิสัยของเขาพร่ามัวและมองไม่เห็นสิ่งใดเลย คุณหมอรีบทำการทดสอบและตรวจดูอาการอีกครั้งอย่างถี่ก้วน ปรากฏว่าม่านตาของเจเรมี่ได้รับความเสียหายจากควันไฟมากเกินไป นั่นหมายความว่าตอนนี้เขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอด
กรรมตามสนองแล้วสินะ?
เจเรมี่ยังยิ้มอยู่ และในที่สุดเขาก็เข้าใจความสับสนและความสิ้นหวังที่เมเดลีนเคยสัมผัสแล้ว
เมื่อรู้ว่าเมเดลีนรักษาตัวอยู่วอร์ดข้าง ๆ เจเรมี่ตัดสินใจออกจากโรงพยาบาลโดยไว
“อย่าบอกเมเดลีนว่าผมตาบอดนะครับ” เขากำชับทุกคนที่รู้อาการของเขาเพราะว่าไม่อยากจะสร้างปัญหาอไรให้เมเดลีนอีก
เขาไม่หลงเหลือความรู้สึกเสียใจอีกแล้ว ในตอนที่เธอยื่นมือออกมาช่วยเขาในช่วงเวลานาทีชีวิตแบบนั้น
เพราะว่าอย่างน้อย เขารู้ว่าเมเดลีนไม่ได้เกลียดจนอยากให้ตายไปให้พ้น ๆ
สำหรับเขา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เมเดลีนผล็อยหลับไปตลอดทั้งบ่ายนั้น และเมื่อเธอตื่นขึ้น ก็เห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว
เธอลุกออกจากเตียงในทันที และก้าวเท้าอย่างระวังเพื่อไม่ให้อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าทรุดหนักกว่าเดิม เธอเดินไปยังวอร์ดที่เจเรมี่พักอยู่
เธอต้องการที่จะดูอาการเขาและค่อยออกจากโรงพยาบาล แต่กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องเขาเลย
มีพยาบาลคนหนึ่งเดินผ่านมา เธอจึงรีบเดินตรงไปเรียกเขา “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคนไข้ห้องนี้ไปไหนเหรอคะ?”
พยาบาลคนนั้นมองไปที่ห้องนั้น ยิ้มและตอบคำถามเธอ “อ๋อ คนไข้คนนี้ออกจากโรงพยาบาลไปเมื่อไม่นานนี้เองค่ะ”
ออกไปแล้ว?
เมเดลีนประหลาดใจ
การที่เขาออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว ก็หมายความว่าอาการบาดเจ็บไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น
เธอครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง และสัมผัสได้ถึงสายลมแห่งความเปล่าเปลี่ยวพัดอยู่ในจิตใจอีกครั้ง
เขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่กลับออกไปโดยไม่ทักทายอะไรเธอเลย
ริมฝีปากเธอกระตุกยิ้มเล็ก ๆ
‘เอวลีน เขาปล่อยวางจากเธอแล้วนะ
‘ทำไมเธอถึงปล่อยวางจากเขาไม่ได้เสียทีล่ะ?
‘ทำไมเธอถึงปล่อยวางจากชายคนนี้ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยอยากจะให้เธอหายไปไม่ได้เสียที?
‘เลิกโง่ได้แล้วนะ’
เอโลอิสเห็นเจเรมี่ออกไปทางชั้นล่างก่อนที่จะเดินกลับขึ้นมา เธอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเมเดลีนยื่นอยู่ที่ประตูวอร์ดในสภาพที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เธอรีบเดินไปหา “เอวลีน”
เมเดลีนเรียกสติตัวเองกลับมาในทันใด เมื่อเห็นว่าเอโลอิสเดินเข้ามาหา เธอเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจเรมี่ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอคะ?”
“จ้ะ เขา…เขาเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลเมื่อกี้นี้เอง”