บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ - บทที่ 660
บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ บทที่ 660
เฟลิซิตี้ชะงักไปเมื่อได้ยินคำเรียกนั้น แต่เธอรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของเจเรมี่ในทันที
“เจเรมี่” เธอเรียกชื่อของเจเรมี่ออกพร้อมรอยยิ้มและเดินมายืนเขียงข้างเขา เธอหันไปมองเมเดลีนซึ่งตอนนี้ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าวิลล่า “มีผู้หญิงยืนอยู่ตรงประตูน่ะค่ะ เธอมาคุณเหรอคะ?”
“ผมไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้น” คำตอบของเจเรมี่ชัดเจน
เมเดลีนจูงมือแจ็คสันเดินออกไป “แจ็ค ไปกันเถอะลูก”
“แต่ว่าพ่อเขา…”
“เป็นเด็กดีนะลูก” เธอเกลี้ยงกล่อมเด็กน้อยด้วยรอยยิ้ม แต่เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงฝืนยิ้มออกไปแบบนั้น
เฟลิซิตี้จ้องมองแผ่นหลังของเมเดลีนด้วยความเกลียดชังและรังเกียจ เธอไม่ยอมละลายตาเลยจนกระทั่งเจเรมี่เดินเบี่ยงตัวออกไป เธอถึงยอมละสายตาจากเมเดลีน
“คุณวิทแมนคะ คุณรู้จักผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงประตูจริง ๆ ไม่ใช่เหรอคะ?
“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือนะ คุณวอล์คเกอร์” เจเรมี่ไม่ตอบคำถามของเฟลิซิตี้ เขาเพียงแค่ขอบคุณเธอ “ผมไม่ค่อยมีอารมณ์ที่จะทำการรักษาวันนี้ ดังนั้นคุณกลับเลยก็ได้ครับ”
หลังพูดจบ เขาจึงเดินเข้าไปในบ้าน เมื่อเผชิญหน้ากับเมเดลีนเมื่อสักครู่นี้ ตอนนี้เขาไม่ได้มีอิสระหรือความสบายใจอยู่อีกต่อไปแล้ว
เฟลิซิตี้ไม่ต้องการที่จะแสดงท่าทีที่รุนแรงออกไปเพราะว่าไม่ต้องการให้เจเรมี่ไม่สบายใจ
อย่างไรก็ตาม เธอรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่เห็นเมเดลีนปรากฏตัวที่นี่ ตอนนี้เมเดลีนน่าจะขึ้นเครื่องบินเดินทางไปเมืองเอฟไม่ใช่เหรอ?
…
เมเดลีนและแจ็คสันเดินทางมายังโรงพยาบาล
เธอต้องการพบคุณหมอที่รักษาเจเรมี่หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้วันนั้น
เมื่อเอ่ยถามถึงอาการบาดเจ็บของเจเรมี่ตอนนั้น คุณหมออธิบายรายละเอียดทุกอย่างให้เมเดลีนฟัง “คุณเป็นภรรยาของคุณวิทแมนใช่ไหมครับ? ผมจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดีเลย คุณวิทแมนถูกช่วยชีวิตไว้โดยนักดับเพลิงที่เข้าไปวันนั้น ตอนนั้นขณะที่ถูกนำตัวมาส่งที่โรงพยาบาล เขายังไม่ได้สติขึ้นมาเลย มือและขาเลือดไหลออกมาไม่หยุด โดยเฉพาะบริเวณน่องขวา กล้ามเนื้อและกระดูกเสียหายเนื่องจากมีของหนักบางอย่างทับเป็นเวลานาน และเขายังยืนตรง ๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
คุณหมอถอนหายใจและพูดขึ้น “แต่สิ่งที่เกินคาดไปจริง ๆ คือดวงตาของเขาได้รับบาดเจ็บมากที่สุด ม่านตาของเขาได้รับความเสียหายจากควันไฟจำนวนมาก และเขาแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย เรียกได้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาแทบจะเข้าขั้นวิกฤต และเขาควรที่จะพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก่อน แต่เขาดึงดันที่จะออกจากโรงพยาบาลให้ได้ในบ่ายวันนั้น”
“ตอนนั้น อาการบาดเจ็บบริเวณขาของเขาหนักหนาสาหัสพอสมควร และการขยับขาเพียงนิดเดียวอาจทำให้เขาเดินไม่ได้อีกเลย ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมสามีของคุณถึงได้อยากออกจากโรงพยาบาลเร็วขนาดนั้น”
คุณหมออธิบายอาการของเจเรมี่ด้วยท่าทีเรียบเฉย แต่ตรงกันข้าม หัวใจของเมเดลีนกลับกระสับกระส่ายมาก
เธอกลับไปที่คฤหาสน์มอนต์โกเมอรีพร้อมกับแจ็คสันด้วยสภาพสติไม่เต็มร้อย เอโลอิสที่อยู่ในบ้านทั้งรู้สึกประหลาดใจและดีใจในเวลาเดียวกันเมื่อได้พบแม่ลูกคู่นี้
“เอวลีน ลูกไม่ได้กลับไปเมืองเอฟพร้อม ๆ กับแจ็คและลิลลี่เหรอ? ลูกกลับมาอีกทำไม?”
“เพราะว่าแจ็คพูดอะไรผิดไป แม่ก็เลยพาแจ็คออกจากเครื่องบินแล้วไปหาพ่อ” ดวงตาที่ใสซื่อและกลมโตกะพริบขึ้นลง พร้อมกับน้ำเสียงที่เจือปนไปด้วยความรู้สึกผิด
“พูดบางอย่างผิดไป?” เอโลอิสเริ่มเข้าใจขึ้นมาทีละน้อย “เอวลีน นี่ นี่ลูกไปหาเจเรมี่มาเหรอ? ถ้างั้น ลูกรู้แล้วสินะว่าเขา…”
“หนูรู้แล้วค่ะ เขาตาบอด” เมเดลีนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับว่าพูดถึงเรื่องที่ไม่สำคัญอะไรกับชีวิตเธอ แต่เธอรู้ดีว่าตอนนี้หัวใจเธอกระสับกระส่ายแค่ไหน “ทุกคนรู้อยู่แล้วใช่ไหมคะ ว่าเขาตาบอด?”
“เอวลีน เราไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังลูกนะ” เอโลอิสรู้สึกเสียใจอย่างมาก “เจเรมี่สั่งห้ามไม่ให้พวกเราบอกความจริงกับลูกว่าเขาสูญเสียประสาทการมองเห็นไป”
หลังจากที่ได้ยินคำตอบ เมเดลีนรู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อย
จากนั้น เธอฟังเอโลอิสเล่าต่อ “ความจริงแล้ว ในเหตุการณ์ไฟไหม้วันนั้น เจเรมี่ไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะเป็นอันตรายหรือไม่เพื่อเข้าไปช่วยชีวิตลูก แต่เขาไม่อยากจะให้ลูกเข้าใจว่าการที่เขาได้รับบาดเจ็บหนักและตาเขามองไม่เห็นเป็นเพราะลูก เขาก็เลยออกไปจากโรงพยาบาลภายในบ่ายวันนั้นโดยที่ไม่ได้บอกลูก แม่โกหกลูกไปว่าการที่เขาออกจากโรงพยาบาลได้เร็วขนาดนี้แสดงว่าอาการบาดเจ็บของเขาไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ว่าความจริงแล้ว เขาเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ทุกคำพูดของเอโลอิสทิ่มแทงไปที่หัวใจเมเดลีนจนเป็นแผลฉกรรจ์ เธอรู้สึกว่าตนเองหายใจได้อย่างไม่ทั่วท้อง
ในตอนนี้ความรู้สึกของเธอซับซ้อนไปหมด “ทำไมเจเรมี่ต้องทำแบบนั้นด้วย? ทำไมเขาถึงไม่อยากบอกหนู?”