ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 12 เซียวป๋อเจี้ยน
เมื่อฉู่เหลียนหันกลับมา ก็เห็นคุณหนูหยวนหรือคุณหนูแปดยืนจังกาอยู่ที่ประตูเรือน ดูทั้งสับสนและโมโหยิ่ง
ทว่าสีหน้าของฉู่เหลียนกลับมิได้ดูแสร้งว่าใจเย็นหรือซ่อนร่องรอยความโกรธไว้ดังที่คุณหนูหยวนคาด ฉู่เหลียนกลับยิ้มสดใสให้นาง โดยเฉพาะเมื่อนางจำได้ว่าคุณหนูหยวนจะต้องแต่งงานกับสามีนิสัยเสียในอนาคต ฉู่เหลียนจึงรู้สึกสงสารนางเสียด้วยซ้ำ
“เมื่อน้องแปดชอบเรือนนี้ก็คงเป็นชะตาของเจ้า เรือนนี้ยังมีพื้นที่ดี ๆ สำหรับชื่นชมทิวทัศน์ตามลำพังอยู่ ข้าจะให้ฉีเยี่ยนพาเจ้าดูในภายหลัง”
คุณหนูหยวนมองนางอย่างไม่วางใจ ดวงตาน้อยเบิกกว้าง พยายามดูว่าฉู่เหลียนคิดอะไร เกิดอะไรขึ้น? คนที่ยืนใจเย็นและสงบนิ่งอยู่ตรงหน้านางคือคุณหนูหกจริงหรือ? ใช่คุณหนูหกคนเดิมในอดีต ผู้ที่คอยหาเรื่องทะเลาะกับนางได้ทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องเล็กที่สุดเท่าที่จะมีได้คนนั้นจริงหรือ?
สิ่งที่คุณหนูหกทำในช่วงไม่กี่วันมานี้ คือการแต่งงานออกจากจวนไป ทว่าภายในเวลาเพียงสามวัน บรรยากาศรอบตัวนางก็แปรเปลี่ยนไปหมด!
คุณหนูหยวนถลึงตา พวกนางทั้งคู่ต่างก็เป็นบุตรสาวสายตรงของบ้านสอง ย้อนไปเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ยังอาศัยร่วมกันอยู่ที่บ้านเดิม เป็นคุณหนูแปดที่มีปฏิสัมพันธ์กับ ‘ฉู่เหลียน’ มากที่สุด ทั้งคู่มักทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ ทว่าคุณหนูแปดมีฮูหยินสองคอยให้การสนับสนุน ‘ฉู่เหลียน’ จึงแพ้ทุกคราวไป
ในช่วงหลายปีมานี้ สิ่งเดียวที่ฉู่เหลียนสามารถข่มคุณหนูหยวนได้คือเรือนหลังนี้ ดังนั้นเพื่อให้ฉู่เหลียนโมโห ทันทีที่นางย้ายออก คุณหนูหยวนจึงไปร้องขอต่อมารดาให้นางย้ายมาอยู่ที่เรือนนี้แทน นางต้องการเห็นฉู่เหลียนเสียใจตอนกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม และพบว่าเรือนของนางได้ถูกแย่งไปแล้ว ทว่าฉู่เหลียนคนนี้กลับมิได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด ไม่มีกระทั่งความเสียดาย ต่างจากที่คุณหนูหยวนคาดไว้โดยสิ้นเชิง เช่นนี้นางจะพอใจได้อย่างไรเล่า?
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าราวกับนางใช้มือน้อยทุบตีบนปุยนุ่นนุ่ม ๆ คู่อาฆาตที่เบื้องหน้ามิได้สนใจในการกระทำของนางแม้แต่น้อย ความแค้นในใจประสมรวมกับอากาศภายนอกทำเอาร่างกายนี้ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ กระทั่งนางต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีโบกพัดเพื่อดับร้อน
“เจ้า! เจ้า! ” คุณหนูหยวนชี้ฉู่เหลียนด้วยสีหน้าน่าเกลียด ทว่านางก็ไม่สามารถกล่าวจนจบประโยคได้
หรงฮูหยินที่เร่งรีบสาวเท้ามาจึงได้ทันเห็นฉากนี้ถึงกับถอดถอนใจโล่งอกและจ้องคุณหนูแปดอย่างดุดัน จากนั้นจึงเดินไปหาฉู่เหลียนด้วยรอยยิ้มบนหน้า “น้องหญิงหก มาที่เรือนของข้าแทนดีกว่า เรือนข้าตั้งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก หากน้องหญิงหกเหนื่อยเกินไป เราไปพักที่ห้องรับแขกใกล้เรือนเฮ่อก่อน พี่สะใภ้จะให้บ่าวไปนำยาทามาให้”
ฉู่เหลียนกล่าวขอบคุณหรงฮูหยินแล้วเดินนำฉีเยี่ยนตามหรงฮูหยินไปยังเรือนเฮ่อ
เรือนหรงของจวนอิ้งอยู่ทางตะวันออก ซึ่งห่างจากส่วนตะวันตกพอสมควร ฉู่เหลียนเกรงว่าจะพบกับปัญหาที่ไม่คาดฝันระหว่างทาง จึงปฏิเสธที่จะตามฮูหยินหรงไปยังเรือนของนาง และหยุดพักอยู่ที่เรือนเฮ่อแทน
เรือนเฮ่อนั้นอยู่ไม่ห่างจากเรือนอั้นเซียง ทว่าบัดนี้ไม่มีใครอาศัยอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เรือนนี้เป็นที่พักของฮูหยินอิ้งกั๋วกงผู้เฒ่า หลังนางจากไป เรือนนี้ก็ถูกปล่อยทิ้งให้ว่างเปล่า
ท่ามกลางสวนดอกไห่ถังในเรือนเฮ่อมีศาลาน้อยตั้งอยู่ ทิวทัศน์นั้นงดงามยิ่ง ท่านหญิงอิ้งชมชอบการเดินเล่นในสวนแห่งนี้เพื่อพักผ่อนอย่างสงบ
หรงฮูหยินเกรงว่าเหล่าคุณหนูในจวนจะก่อปัญหาอะไรอีก จึงกำชับไม่ให้พวกนางตามมาด้วย โดยอ้างว่ามีเรื่องที่จำต้องคุยเป็นการส่วนตัวกับคุณหนูหก
ไม่นานนัก พวกนางก็มาถึงศาลานอกเรือนเฮ่อ บ่าวรับใช้ของหรงฮูหยินได้เตรียมของว่างไว้ให้อย่างเรียบร้อย
“น้องหญิงหก รอที่นี่สักครู่ ฉินเอ๋อร์เดินไวมาก นางน่าจะกลับมาภายในเวลาไม่นาน”
“พี่สะใภ้ใหญ่อย่าได้เป็นกังวล แค่รอยแดงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เจ็บแม้แต่น้อย”
แม้จะไม่เจ็บแล้ว แต่ฉู่เหลียนนั้นเกิดมามีผิวกายขาวกระจ่าง มือของนางเองก็นุ่มนวลและงดงามยิ่ง ทว่าตอนนี้หลังมือน้อยกลับมีรอยประทับแดงจากความร้อนปรากฏชัด
อาจเพราะรอยลวก ผิวด้านนอกของนางจึงเริ่มบวมคล้ายจะเป็นแผลพุพอง ทว่ารอยแผลเพียงเท่านี้ถือว่าเล็กน้อยมากสำหรับฉู่เหลียน
ในที่สุดนางก็หนีออกจากป่าไผ่ได้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใดอีกต่อไป นางผ่อนลมหายใจผ่อนคลาย
บางคนก็อันตรายเกินกว่าจะไปข้องเกี่ยว ยิ่งอยู่ห่างจากคนเหล่านั้นได้เท่าไรก็ยิ่งดี
ทว่าฉู่เหลียนนั้นดูถูกแรงปรารถนาของนิยายที่มุ่งจะผลักดันให้ตนเดินกลับเข้าเส้นทางที่ถูกลิขิตไว้มากเกินไป
เฮ่อซานหลางยังคงติดตามมองนางอยู่ลับ ๆ สีหน้าของเขาไม่อาจบอกได้ว่าคิดอย่างไรอยู่ ทุกการกระทำที่เกิดขึ้นของฉู่เหลียนล้วนอยู่ในสายตา
ขณะนั้นเองสาวใช้นางหนึ่งเร่งรีบเข้ามากระซิบเรื่องร้อนข้างหูหรงฮูหยิน สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันใด นางครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนหันมากล่าวขอโทษกับฉู่เหลียน “น้องหญิงหก ข้ามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการ ต้องขอตัวก่อน อีกครึ่งชั่วยามจะถึงเวลาอาหารเที่ยง น้องหกไปพักที่เรือนนอกก่อนจะดีหรือไม่?”
ฉู่เหลียนเห็นสีหน้าเป็นกังวลของนางจึงรีบตอบตกลง เพื่อให้นางวางใจและไปทำธุระเร่งด่วนของตนเสีย
ตอนนี้ในศาลาจึงเหลือเพียงฉู่เหลียนและฉีเยี่ยนเพียงสองคน
เมื่อฉู่เหลียนยกถ้วยชาเบื้องหน้าขึ้นมาจะจิบ นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าบางเบาก้าวเดินมาจากเบื้องหลัง น้ำเสียงทุ้มต่ำอันแสนดึงดูดของบุรุษก็ถูกเปล่งออกมา “เหลียนเอ๋อร์”
ฉู่เหลียนตัวแข็งทื่อ เมื่อนางหันไปเห็นใบหน้าและเครื่องแต่งกายของผู้มาใหม่ นางหุนหันสาปแช่งอย่างเกรี้ยวกราดอยู่ในใจ นิยายนี่จะไม่ปล่อยนางไปจริง ๆ ด้วย!
ออร่าพระเอกแรงไปหน่อยไหม?! นางอุตส่าห์มาหลบถึงตรงนี้ แต่เซียวป๋อเจี้ยนก็ยังหานางพบ!
หากจะถามว่าฉู่เหลียนรู้ได้อย่างไรว่าชายหนุ่มเบื้องหน้านี้เป็นใครจากการมองเพียงครั้งเดียว นั่นก็เพราะนักเขียนได้บรรยายลักษณะของเขาไว้ละเอียดยิบ
เซียวป๋อเจี้ยนนั้นหน้าตาดี ทว่าในใจฉู่เหลียนกลับมองว่าเฮ่อซานหลางหล่อกว่าเซียวป๋อเจี้ยนเล็กน้อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเซียวป๋อเจี้ยนดูโดดเด่นเป็นตัวอย่างของบุรุษมากทีเดียว
นางจะทำอย่างไรดี? เขาดูเป็นหนุ่มเจ้าสำอาง มีความเป็นผู้หญิงอยู่เล็กน้อย คนแบบนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบมากในโลกยุคปัจจุบัน ส่วนเฮ่อซานหลางจะออกไปทางสง่างามผึ่งผายมากกว่า
เซียวป๋อเจี้ยนมีไฝเล็ก ๆ รูปหยาดน้ำตาที่ใต้ตาซ้าย ทำให้ดูยิ่งมีเสน่ห์อย่างที่หาได้ยากในผู้ชาย
ด้วยรูปลักษณ์แบบนี้ หากเขาเกิดในยุคราชวงศ์เว่ยหรือราชวงศ์จิ้น เขาต้องถูกมองว่าเป็นบุรุษหลงหยาง[1]อย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ในนิยายจะบรรยายไว้ชัดเจนเพียงใด ก็เทียบไม่ได้กับการเห็นด้วยตาของตัวเอง
ฉู่เหลียนเริ่มปวดหัว นางลุกขึ้นอย่างเร่งร้อนและเตรียมหนี ทว่าเซียวป๋อเจี้ยนรีบก้าวยาว ๆ เข้ามาพร้อมกางแขนกันไว้ไม่ให้นางหนี
“เหลียนเอ๋อร์… เจ้า… เจ้าไม่อยากพบข้าแล้วหรือ?”
ฉู่เหลียนสบถในใจ เกลียดตนเองนักที่ไม่สามารถจับชายหนุ่มผู้นี้กลบฝังลงไปได้ ทว่าเมื่อคิดถึงอำนาจที่เขาจะมีในอนาคต ฉู่เหลียนก็อดทนไว้ นางเพียงหลุบตาลงและไม่พูดอะไร หากเขาเห็นว่านางไม่ใช่ ‘ฉู่เหลียน’ คนเดิมละก็ คงต้องเจอปัญหาใหญ่แน่
เซียวป๋อเจี้ยนเป็นชายหนุ่มที่ทะเยอทะยาน ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการโดยไม่เกี่ยงวิธี กล่าวได้ว่าเขาอยู่ห่างไกลจากคำว่า ‘คนดี’ ตามขนบธรรมเนียมนัก
ฉีเยี่ยนสังเกตเห็นว่านายหญิงของตนไม่ต้องการสนทนากับชายหนุ่มเบื้องหน้าเพียงใด จึงเข้ามาขวางเซียวป๋อเจี้ยนไว้ “คุณชายเซียว บุรุษสตรีไม่ควรใกล้ชิด อีกทั้งนายหญิงของเรายังแต่งงานแล้ว โปรดระมัดระวังการกระทำของท่านด้วยเจ้าค่ะ”
เซียวป๋อเจี้ยนมีสีหน้าเจ็บปวด เขากำหมัดแน่น เงยหน้ามองฉู่เหลียนด้วยความปรารถนาล้ำลึก ไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่าเขารู้สึกเช่นไร หากมองดวงตาคู่นั้น
เขาเม้มปาก ใบหน้าเจ็บปวดยิ่ง “เหลียนเอ๋อร์ ข้าผิดเอง ข้าไร้ประโยชน์ เจ้าเกลียดเสียจนไม่อยากมองหน้าข้าแล้วหรือ?”
ด้านหลังฉีเยี่ยน ฉู่เหลียนที่ไม่มีใครมองเห็นกำลังจะหมดความอดทนกับสารพันปัญหาที่เกิดขึ้นเต็มที
บ้าอะไรวะเนี่ย! ไอ้คำพูดพวกนั้นมันอะไรกัน? ทำไมถึงได้แมรี่ ซู[2]ขนาดนี้? ตอนที่อ่านนิยายนางก็ไม่ได้ใส่ใจกับบทพูดของเขานัก ตอนนั้นนางเพียงคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ไม่ใช่คนที่แสดงออกทางความรักชัดเจนนัก ทว่าเมื่อพบเจอด้วยตัวเองแล้ว นางรู้สึกเหมือนเซลล์สมองกำลังจะตายลงชนิดนาทีต่อนาที!
หนุ่มน้อย นายนี่ช่างรูปงามจนสาว ๆ คงจะอายหนังหน้าตัวเองด้วยซ้ำถ้าต้องมายืนต่อหน้านาย มันจะไม่หยาบคายไปหน่อยเหรอที่จะมาใช้คำพูดแบบนี้กับสาว ๆ น่ะ!
……………………………………………………………..
[1] หลงหยาง เป็นคำเรียกของบุรุษที่นิยมชมชอบในเพศเดียวกัน
[2] แมรี่ ซู หมายถึงคำที่ใช้เพื่อเปรียบเปรยถึงตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ของบท ซึ่งบางครั้งก็อาจไม่จำเป็นต้องมีก็ได้
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816