ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 2 คืนแต่งงาน
ฉู่เหลียนนิ่วหน้าขณะมองเงาที่ทอดยาวของเฮ่อฉางตี้ นางขมวดคิ้วแน่น ก่อนจ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายประหนึ่งว่าต้องการจะไถ่ถาม
นางสับสนยิ่ง เฮ่อฉางตี้ในนิยายนั้นเป็นบุรุษใจกว้าง เข้ากับคนง่าย นับเป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยากยิ่งในยุคจีนโบราณ ทว่าบุรุษเบื้องหน้านางนอกจากรูปโฉมแล้ว กลับมิได้มีสิ่งใดเหมือนดังที่ในนิยายบรรยายไว้แม้แต่น้อย
หากเฮ่อฉางตี้ในนิยายเป็นผู้สูงส่งดั่งจันทราที่มิอาจแตะต้อง เฮ่อฉางตี้เบื้องหน้าก็คงเป็นดั่งลมเย็นกรีดผิวที่พัดผ่านยามค่ำคืน นำพาความเย็นยะเยือกไปยังทุกที่ที่เขาไป!
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้?
ฉู่เหลียนได้แต่ตรึกตรองในเหตุการณ์ที่พบเจอและยังไม่อาจทำความเข้าใจได้ ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ในนิยายบรรยายไว้ ยกเว้นตัวของเฮ่อฉางตี้!
เจ้าบ่าวยืนอยู่ตรงนั้น สองมือไพล่หลัง เขาสะบัดแขนเสื้อและหันเดินออกจากห้องหอไปอย่างไร้หัวจิตหัวใจ เสมือนว่าการจ้องมองเจ้าสาวผู้งดงามนี้อีกเพียงครู่เดียวจะทำให้สูญสิ้นทุกสิ่งอย่างไปเสียอย่างนั้น!
เมื่อเฮ่อฉางตี้จากไป กุ้ยหมัวมัวและบรรดาสาวใช้ของฉู่เหลียนก็รีบเข้ามาในห้อง
เมื่อเห็นฉู่เหลียนผู้เป็นนายนอนพังพาบ ดวงตาว่างเปล่า ผมเผ้ายุ่งเหยิง มงกุฏเฟิ่งหวงหล่นอยู่ที่พื้น ดวงตาของกุ้ยหมัวมัวก็แดงก่ำ ในใจพร่ำนึกถึงสิ่งที่คาดว่าน่าจะเพิ่งเกิดขึ้นภายในห้องหอ
“คุณหนูหก ลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ พื้นเย็นขนาดนี้ ระวังจะป่วยเอาได้นะเจ้าคะ”
กุ้ยหมัวมัวลอบเช็ดหยาดน้ำที่ปลายหางตา พร้อมกับพยุงตัวฉู่เหลียนขึ้นโดยมีจิ่งเยี่ยนคอยช่วยเหลือ ก่อนจะพานางไปนอนพักบนเตียง
หลังจากสั่งฉีเยี่ยนให้ไปเตรียมน้ำร้อนสำหรับอาบน้ำ กุ้ยหมัวมัวไม่รอช้า รีบถามไถ่คุณหนูด้วยความเป็นห่วง “คุณหนูหก เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายเจ้าคะ? เหตุใดคุณหนูถึงได้ดูหม่นหมองนัก?”
ในที่สุดฉู่เหลียนก็ฟื้นตัว นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดเฮ่อฉางตี้จึงเปลี่ยนไปนัก
นางยกศีรษะขึ้น พลางเหลือบมองสาวใช้ของ ‘ฉู่เหลียน’ ที่ตามมาจากบ้านเก่า นางฝืนทนความเจ็บที่ลำคอและปกปิดความเคลือบแคลงใจ ก่อนส่งยิ้มให้เหล่าสาวใช้โดยพยายามไม่ทำตัวให้น่าสงสาร เพราะนางรู้ดีว่าสาวใช้เหล่านี้ล้วนจริงใจต่อ’ฉู่เหลียน’ ทั้งหัวใจ
“ไม่มีอะไร หมัวมัวอย่าได้กังวล ให้ฉีเยี่ยนกับคนอื่นๆ เตรียมน้ำร้อนมาเถอะ ข้าอยากอาบน้ำและเปลี่ยนชุดเจ้าสาวที่น่าอึดอัดนี่เสียหน่อย”
ฉู่เหลียนต้องการจะปิดบังสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ด้วยเหตุนี้กุ้ยหมัวมัวที่ทำอะไรไม่ได้จึงต้องหยุดถามเสียเอง
ถึงกระนั้นกุ้ยหมัวมัวก็ไม่อาจหยุดความกังวลใจได้ จึงกล่าวย้ำหนักแน่น “คุณหนูหกโปรดอย่าลืม ท่านมีบ่าวคนนี้ และหญิงรับใช้เหล่านี้อยู่เคียงข้างท่านนะเจ้าคะ!”
ฉู่เหลียนพยักหน้าอย่างใจลอย นั่นทำให้กุ้ยหมัวมัวเป็นกังวลเสียยิ่งกว่าเดิม
ในขณะที่ฝูเยี่ยนกำลังปรนนิบัติอาบน้ำให้ฉู่เหลียน นางก็สังเกตเห็นรอยบีบรอบลำคอระหงของผู้เป็นนายจนเผลอลุกเด้งขึ้นอย่างตกใจ ทว่าด้วยไหวพริบที่นางมี จึงมิได้ถามฉู่เหลียนถึงที่มาของรอยแดงนี้ แต่นางกลับไปแจ้งความแก่กุ้ยหมัวมัวทราบโดยมิให้ฉู่เหลียนรู้
หลังจากอาบน้ำร้อนและผลัดเปลี่ยนเป็นชุดนอนบางเบาสีแดง น้ำหนักของอาภรณ์ก็ช่วยให้นางสร่างความหวาดหวั่นที่เกิดจากเฮ่อฉางตี้ไปได้บ้าง
เมื่อกลับออกมาจากห้องน้ำ หมิงเยี่ยนก็จัดแจงทำความสะอาดเตียงอย่างเรียบร้อย พร้อมทั้งฝูเยี่ยนที่คอยประกบช่วยฉู่เหลียนเดินไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้งและลบเครื่องสำอางออก… ตอนนี้ถึงยามไฮ่[1]แล้ว เจ้าบ่าวควรกลับห้องหอได้แล้ว
แม้ฉู่เหลียนจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดนิสัยของเฮ่อฉางตี้จึงเปลี่ยนไปนัก แต่นางก็ยังคงเฝ้ารอเขาอย่างอดทน
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งหญิงรับใช้ที่สวมใส่ชุดสีเขียวก็เข้ามาแจ้งสารจากเฮ่อฉางตี้ให้แก่ฉู่เหลียน
“นายหญิงสามเจ้าคะ คุณชายสามดื่มสุราจากจอกคารวะของเหล่างองค์ชายและสหายมากเกินไป จึงเกรงว่ากลิ่นสุราจะรบกวนนายหญิงสาม วันนี้จึงจะนอนค้างที่ห้องหนังสือ คุณชายฝากแจ้งแก่นายหญิงให้พักผ่อนก่อน ไม่ต้องรอเจ้าค่ะ”
เมื่อเหล่าบ่าวรับใช้และกุ้ยหมัวมัวได้ยินสิ่งที่หญิงรับใช้ชุดเขียวกล่าว ก็ถึงกับตกตะลึง
เฮ่อซานหลางจะไม่เข้าห้องหอ!?
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คุณหนูของพวกนางจะกล้าสู้หน้าคนอื่นได้อย่างไร?!
“คุณหนูหก จะเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรเจ้าคะ? ให้บ่าวส่งคนไปเชิญคุณชายสามมาดีไหมเจ้าคะ?” กุ้ยหมัวมัวไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฮ่อฉางตี้จึงไม่ยอมเข้าห้องหอ ทั้งสองตระกูลนี้มิเคยมีข้อพิพาทต่อกัน คุณหนูหกของพวกนางก็ยังมิได้กระทำสิ่งใดแก่คนในจวนจิ่งอันเลยมิใช่หรือ ไม่เพียงเท่านั้นทั้งคู่ยังมิเคยพบกันสักครั้งก่อนงานแต่ง เหตุใดจึงเกิดความบาดหมางระหว่างทั้งคู่ได้เล่า?
“ไม่จำเป็นหรอกหมัวมัว พวกเจ้าไปนอนเถอะ เรามิจำเป็นต้องไปเชิญเขา เมื่อถึงเวลา เฮ่อซานหลางจะกลับมาห้องหอเอง”
เหตุที่ฉู่เหลียนกล่าวเช่นนั้น เพราะนางประสบมากับตัวเอง เฮ่อฉางตี้จะฆ่านางทิ้งเสียก็ได้ ทว่าเขากลับปล่อยมือจากนางในท้ายที่สุด แม้จะหวาดหวั่น ทว่านางก็ยังไม่ตาย ประกอบกับเรื่องน่าสงสัยอื่นๆ ที่ยังไม่เข้าใจ เฮ่อฉางตี้คงไม่ได้เลี่ยงการเข้าห้องหอเพราะความมึนเมาเป็นแน่ อีกประการหนึ่ง ตอนที่เขามาถึงก่อนหน้า นางก็ยังไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอล์บนร่างกายของเขาสักนิด
เขาจงใจทำให้นางขายหน้า!
ในเมื่อเขาจงใจเช่นนี้ เหตุใดนางยังต้องเชิญเขากลับเข้ามาด้วยเล่า? นั่นมิใช่เป็นการร้องขอให้ตนเองต้องขายหน้ากว่าเดิมหรือ?
อีกประการหนึ่ง มีอย่างที่ไหน ที่เจ้าสาวต้องร้องขอให้เจ้าบ่าวเข้าห้องหอเล่า?!
“คุณหนูหกเจ้าคะ!” ฝูเยี่ยนประท้วงไม่ยอมเข้านอน เหตุใดคุณชายสามจึงทำเช่นนี้เล่า? คุณหนูหกของนางเป็นภรรยาที่ตบแต่งอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมทุกประการ!
“เอาล่ะๆ ไปล้างหน้าแล้วเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าต่อให้พวกเจ้ายังอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก”
กุ้ยหมัวมัวทำได้เพียงนำสาวใช้คนอื่นๆ ออกจากห้อง ปล่อยให้ฉู่เหลียนอยู่เพียงลำพังในห้องหอ
ฉู่เหลียนนั่งลงที่ด้านหนึ่งของเตียงและคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามคิดถึงรายละเอียดที่เคยอ่านในนิยาย จากนั้นนางจึงดึงเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าปูเตียงออกมา และใช้เข็มเงินที่หาเจอทิ่มเข้าไปที่นิ้ว ปล่อยให้เลือดไหลซึม แล้วหยดลงบนผ้าผืนนั้น ก่อนจะซ่อนมันไว้เหมือนเก่า
ในยุคที่จากมา นางเป็นเพียงเด็กกำพร้ายากจนที่ประสบกับความลำบากมากมาย ในชีวิตการทำงานจำเป็นต้องแข่งขันกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง พร้อมกับต้องคอยเรียนรู้การตีสองหน้า จนท้ายที่สุดก็สามารถทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้นได้ ดังนั้นฉู่เหลียนจึงไม่กังวลแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้วนางเป็นคนค่อนข้างฉลาดและไม่ยอมแพ้ใคร นางรู้จักการรอคอยและการเฝ้าดูสถานการณ์
ดังนั้นแม้ว่านางจะวาดหวังถึงความรักที่สมบูรณ์แบบและอ่อนหวาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะโง่งม!
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ก็มากพอจะทำให้นางคิดได้ นางยังสงสัยอีกว่าเฮ่อฉางตี้ตอนนี้อาจเป็นเพียงคนที่คล้ายกัน หรือไม่ใช่เฮ่อฉางตี้คนเดิมอีกต่อไป
ฉู่เหลียนเชื่อมั่นในตนเอง นางไม่ได้อ่อนแอถึงขั้นให้ใครมาย่ำยีได้
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือต้องคิดถึงสถานการณ์ให้รอบคอบ
พูดอีกอย่างก็คือ ฉู่เหลียนยังรู้สึกว่าตนเองก็มีโชคอยู่บ้างที่อย่างน้อยก็รู้ว่าจะเกิดสิ่งใดต่อไปในอนาคต
ดังนั้นแม้นางจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้นัก แต่ก็ไม่ยอมทนนั่งเฉยๆ ให้ต้องอับอายเพียงฝ่ายเดียวแน่! หากเฮ่อฉางตี้นั้นเป็นคนเดิม นางก็จะทำตัวเป็นภรรยาที่ดีต่อเขา ทว่าหากเฮ่อฉางตี้คนนี้เปลี่ยนไปเป็นคนที่เลวร้าย นางจะไม่ยอมให้เขากระทำต่อนางตามใจชอบแน่นอน
หลังจากไตร่ตรองจนตกผลึกแล้ว ฉู่เหลียนก็ซุกตัวลงในกองผ้าห่มสีแดง จมดิ่งเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน
“ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?” ชายหนุ่มร่างผอมสูงที่เร้นกายภายใต้แสงเทียนถามหญิงรับใช้ที่ดูไม่สะดุดตานัก
“ตอบคุณชายสาม นายหญิงสามหลับพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ!” มือที่ไพล่หลังของเฮ่อฉางตี้กำแน่นจนซีดขาว
การกระทำของฉู่เหลียนต่างจากที่เฮ่อฉางตี้คาดไว้โดยสิ้นเชิง ความเกลียดชังพลุ่งพล่านขึ้นภายใน เขาเปลี่ยนแปลงการแต่งงานในครั้งนี้ไม่ได้ แต่เขาจะไม่ยอมให้สตรีผู้นั้นรับตำแหน่งภรรยาตามธรรมเนียมได้โดยง่ายแน่ มิเช่นนั้นแล้ว จะยอมอดทนต่อความเจ็บปวดที่นางเคยทำกับเขาในชีวิตที่แล้วไปเพื่ออันใดเล่า?!
ในขณะที่คนอื่นๆ ล้วนให้ความสำคัญกับคืนแต่งงานเป็นอย่างยิ่ง เฮ่อฉางตี้กลับชิงชังยิ่งนักที่ค่ำคืนนี้มิได้ผ่านไปเร็วเสียยิ่งกว่านี้ เขาอยากเห็นสีหน้าอันน่าเกลียดของนางยามที่ไม่สามารถส่งผ้าเช็ดหน้าขาวที่ใช้ในการทดสอบพรหมจรรย์ในวันพรุ่งนี้ได้
รุ่งเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ฉู่เหลียนตื่นจากการหลับไหล ได้ยินเสียงสวบสาบของการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ณ เวลานั้นเทียนแต่งงานยังคงส่องสว่าง นางหรี่ตามองจนเห็นภาพบุรุษผู้ยืนอยู่ข้างเตียงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เฮ่อฉางตี้มีรูปร่างผอมและสูง ทว่ามิได้ดูอ่อนแอ ด้วยเครื่องหน้าอันหล่อเหลาและคิ้วคมเข้ม ทำให้รัศมีพระเอกของเขายิ่งเปล่งประกาย การมองเขาภายใต้แสงไฟสลัวทำให้เห็นว่าสีหน้าเย็นชาเศร้าโศกเมื่อวานนี้หายไปหมดสิ้นแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็ยิ่งดูหล่อเหลาราวกับพระเจ้า ช่างเหมาะสมยิ่งกับสมญานามที่ว่า ‘เฮ่อซานหลางหน้าหยก’
ชั่วขณะนี้ เฮ่อซานหลางก็ดูราวกับที่ถูกบรรยายไว้ในนิยาย
ทว่าเมื่อหวนนึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเฮ่อฉางตี้ ฉู่เหลียนพลันกลอกตา ก่อนหลับตาลงและเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครา
เฮ่อฉางตี้ต้องทนอยู่ในห้องหนังสือกว่าค่อนคืนอย่างไม่สบายใจและกายนัก เนื่องจากช่วงนี้เป็นต้นฤดูหนาว ดังนั้นไม่ว่าเขาจะแข็งแรงสักเพียงใด ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกหนาวเย็น
เขาถอดเสื้อคลุมออกแล้วโยนไปที่มุมหนึ่งของห้อง ก่อนเลิกผ้าม่านขึ้น และสิ่งที่ปรากฏต่อสายตากลับทำให้ความโมโหก่อนหน้าปะทุสูงอีกครั้งราวกับสาดน้ำมันลงบนกองไฟ!
ฉู่เหลียนนอนห่อตัวในผ้าห่มอุ่นๆ หลับอย่างเป็นสุข เส้นผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย ริมฝีปากเล็กเปื้อนรอยยิ้มบางเบา ดูสบายใจยิ่ง ไร้ซึ่งร่องรอยของความกลัดกลุ้มแม้แต่น้อย!
ระหว่างนั้นเขากลับต้องทนต่อความเหน็บหนาวในห้องหนังสือ อดกลั้นกับความหงุดหงิด ทั้งยังไม่ได้ทานข้าวเย็นอีก
ทันใดนั้น เฮ่อฉางตี้ก็รู้สึกราวกับว่าแผนจัดการฉู่เหลียนของเขาไร้ผลโดยสิ้นเชิง ราวกับกำลังต่อยปุยนุ่นนุ่มๆ เช่นนั้น
เขาสูดหายใจเข้าลึก มองหญิงสาวในผ้าห่มหนาอย่างเย็นชา ก่อนจะกระชากผ้าห่มที่ห่อตัวนางออกอย่างรุนแรง
ฉู่เหลียนชินเสียแล้วกับการนอนคนเดียว นางชอบนอนห่อตัวด้วยผ้าห่มเพื่อความอบอุ่น ดังนั้นเมื่อเฮ่อฉางตี้กระทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ผ้าห่มที่ถูกกระชากออก ทว่าตัวของนางก็กลิ้งหลุนๆ ออกไปพร้อมกัน สุดท้ายนางก็นอนแผ่อยู่ที่มุมด้านนอกของเตียง
เฮ่อฉางตี้ถอนหายใจอย่างหดหู่ ทำได้เพียงนำเอาผ้าห่มอีกชุดออกมาและโยนไปยังมุมเตียงที่ว่างด้านใน ก่อนค่อยๆ คลานเข้าไปอย่างเงียบเชียบเพื่อพักผ่อน
ทว่าผ้าห่มเย็นเฉียบที่คลุมร่างนั้นกลับทำให้เขายิ่งรู้สึกย่ำแย่ ร่างกายของเขาไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
ฉู่เหลียนที่นอนเอกเขนกอยู่บนพื้นค่อยๆ ขยับตัวเล็กน้อยและห่อตัวด้วยผ้าห่มให้แน่นขึ้น แม้ในใจจะอดวิตกไม่ได้ว่าเฮ่อซานหลางอาจจะหนาวตายก็เป็นได้
เฮ่อฉางตี้หายใจเข้าลึกๆ ปลอบใจตนเอง ก่อนหลับตาลง
ทว่าก่อนที่อุณภูมิภายใต้ผ้าห่มหนาจะทันอุ่น บ่าวรับใช้จากเรือนหลักก็เข้ามาปลุกคู่แต่งงานใหม่ให้ตื่นเสียก่อน
กุ้ยหมัวมัวยืนอยู่หน้าห้อง ทักทายบ่าวรับใช้สองคนจากเรือนหลักด้วยใจที่กระดอนขึ้นมาถึงลำคอ หากฮูหยินจวนจิ่งอัน หรือนายผู้เฒ่าตระกูลเฮ่อทราบว่า คุณชายสามไม่ยอมพักกับคุณหนูของนางเมื่อคืนนี้ คุณหนูของนางจะยังอยู่ในจวนจิ่งอันอย่างสะดวกสบายได้อีกหรือ?
ดังนั้นแม้กุ้ยหมัวมัวจะยังคงแย้มยิ้มต้อนรับบ่าวรับใช้เก่าแก่ที่อยู่กับฉีเยี่ยน แต่ใจนางกลับแทบจะพังทลายเสียให้ได้
ในที่สุดนางก็ได้ยินฉู่เหลียนเรียกจิ่งเยี่ยนให้เข้าไปด้านในด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
——————————————————————————–
[1] ยามไฮ่ คือช่วงเวลาประมาณสามทุ่ม
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816