ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 26 แม่สามี
เมื่อจิ่นอ๋องประสานสายตากับเฮ่อฉางตี้ เขาก็เล็งเห็นร่องรอยความโศกเศร้าที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“ท่านอ๋อง ยังมีเรื่องที่กระหม่อมทูลพระองค์ไม่ได้ในยามนี้ ทว่าข้าก็ยังมีเหตุผลที่จะต้องไปชายแดนเหนือให้ได้อยู่!”
ยามที่เฮ่อซานหลางออกจากร้านเยว่หวง ก็ผ่านยามอุ้ย[1] มาแล้ว
จิ่นอ๋องยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองรถม้าของสหายรักที่หายลับไปจากหัวมุมถนน จากนั้นเขาจึงหมุนตัวกลับมา และตกอยู่ในภวังค์ความคิด
……..
เมื่อฉู่เหลียนทานอาหารเช้าเสร็จ นางก็มุ่งหน้าไปยังจวนของเฮ่อเหล่าไท่จวินเพื่อคารวะ
สตรีทุกนางในจวนจิ่งอันมารวมตัวกันที่เรือนชิ่งสี่ ยกเว้นฮูหยินจิ่งอันป๋อที่นอนป่วยติดเตียง
เมื่อฉู่เหลียนก้าวเข้ามาในห้องโถง เฮ่อเหล่าไท่จวินก็หันมามองนางทันที เมื่อเห็นว่าชุดที่นางสวมใส่อยู่เป็นสีฟ้าอ่อน ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าหลานชายสุดที่รักของตนก็สวมชุดสีเดียวกันขณะที่ผ่านมาเยี่ยมนางที่เรือนเมื่อเช้านี้ นางจึงลอบยิ้มออกมา
หากไม่นับหลานสาวอีกสองคน ฉู่เหลียนก็นับว่าเป็นสมาชิกในจวนที่อายุน้อยที่สุด เมื่อคารวะเสร็จ นางก็ถูกเฮ่อเหล่าไท่จวินดึงมือมานั่งข้าง ๆ
“เหลียนเอ๋อร์ อยู่ที่จวนนี้มาสองสามวันแล้ว เจ้าเคยชินบ้างหรือยัง?” เฮ่อเหล่าไท่จวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเป็นมิตร เจือด้วยความใจดีดังที่ญาติผู้ใหญ่มักจะมี เป็นน้ำเสียงที่ทำให้ผู้คนนึกอยากเข้าหา
ฉู่เหลียนพยักหน้าและมองเฮ่อเหล่าไท่จวินด้วยดวงตากระจ่างใสฉ่ำน้ำ “ชินแล้วเจ้าค่ะ หลานสะใภ้ขอบคุณท่านย่าที่เป็นห่วง”
“วันนี้ซานหลางออกจากจวนแต่เช้า เกรงว่าจะไม่กลับเย็น แต่ช่วงกลางวันเจ้ากับพี่สะใภ้ใหญ่มาทานอาหารกับย่าดีหรือไม่?”
ฉู่เหลียนพยักหน้าตกลง
นางนั่งอยู่ที่เรือนชิ่งสี่ราวครึ่งชั่วยาม ก่อนจะไปเยี่ยมฮูหยินจิ่งอันป๋อที่เรือนพร้อมกับโจวซื่อ
ทว่าก่อนที่พวกนางจะได้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงฮูหยินจิ่งอันป๋อไออย่างรุนแรง
โจวซื่อขมวดคิ้ว เป็นจังหวะเดียวกันกับที่สาวใช้ส่วนตัวของฮูหยินจิ่งอันป๋อนามว่า เมี่ยวเจินเดินออกมาเพื่อหายาพอดี
เมื่อเมี่ยวเจินเห็นนายหญิงทั้งสองยืนอยู่ที่หน้าประตู นางก็คำนับ “นายหญิงใหญ่ นายหญิงสาม อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ”
“ท่านแม่เป็นอะไรไป? เหตุใดจึงดูอาการย่ำแย่กว่าเมื่อวานนี้เสียอีก?” โจวซื่อถามเมี่ยวเจินทั้งที่ยังขมวดคิ้วเป็นปม
เมี่ยวเจินมีสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ “บ่าวก็ไม่ทราบเช่นกันเจ้าค่ะ คราแรกยายังดูให้ผลดีอยู่ หลายวันที่ผ่านมานี้ฮูหยินจึงสามารถลุกขึ้นมาเดินเล่นได้เป็นปกติ แต่วันนี้ยากลับไม่ได้ผล”
ฉู่เหลียนที่ยืนอยู่ข้างโจวซื่อดำดิ่งลงสู่ความทรงจำของตน พยายามนึกถึงสิ่งที่อ่านเจอในนิยาย ในนั้นไม่มีระบุไว้ว่าฮูหยินจิ่งอันป๋อเจ็บป่วยด้วยโรคใด ทว่าดูจากอาการแล้วน่าจะเป็นปอดบวม หรือไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นวัณโรค ในยุคสมัยนี้แทบจะไร้หนทางในการรักษาและวินิจฉัยโรคไม่เหมือนในยุคของนาง สิ่งที่ทำได้มีเพียงช่วยยื้อชีวิตไว้ด้วยยาสมุนไพรเท่านั้น
“ไปต้มยาเถอะ ข้ากับน้องสะใภ้จะเข้าไปดูท่านแม่เอง”
ยามที่เยี่ยมแม่สามีเสร็จ หลิวฮูหยินก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย สีหน้าของนางซีดขาว กระทั่งยามหลับใหลก็ยังดูหม่นเศร้าด้วยโรคร้ายที่รุมเร้า
พวกนางได้ยินเมี่ยวเจินเล่าว่า ในช่วงหลายวันมานี้หลิวฮูหยินมิได้ทานอาหารที่เหมาะสมนัก จึงทำให้อาการป่วยทรุดลง
ก่อนหน้านี้นางยังสามารถทานของว่างที่แม่ครัวโจวทำได้ ทว่ายามนี้แม่ครัวโจวจากไปเสียแล้ว ท้องของฮูหยินจิ่งอันป๋อก็ไม่สามารถรับอะไรได้อีกเลย
เมื่อลูกสะใภ้ทั้งสองเดินออกมาจากเรือนของหลิวฮูหยิน พวกนางก็เลี้ยวแวะไปยังสวนเล็ก ๆ ในจวน ทั้งคู่ต่างมีกำไลหยกสีเลือดบนข้อมือ สีสันที่ปรากฏออกมานั้นยิ่งตอกย้ำราคาอันประเมินค่ามิได้ของมันให้ยิ่งเด่นชัดขึ้น หลิวฮูหยินมาจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ชั้นสูง สินเดิมของนางนับได้ว่าร่ำรวยสุดประมาณและเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมูลค่ามหาศาล นี่ล้วนเป็นสิ่งที่โจวซื่อเคยเล่าให้ฉู่เหลียนฟัง
ฉู่เหลียนมองกำไลบนข้อมือด้วยความรู้สึกลำบากใจ หยกแดงนี้เป็นกำไลคู่ นางและโจวซื่อต่างได้รับคนละอัน ฉู่เหลียนไม่เคยเห็นเครื่องประดับเลอค่าถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิต แม้นางจะได้รับของขวัญมาบ้างในวันพิธียกน้ำชา ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลับดูจืดชืดไปเมื่อเทียบกับกำไลหยกสีแดงชิ้นนี้
โจวซื่อจับสีหน้าไม่สบายใจของนางได้ จึงยิ้มให้กำลังใจ “ท่านแม่ตัดสินใจยกมันให้เราแล้ว เจ้าก็เก็บไว้เถิด หากไม่รับไว้นางคงรู้สึกไม่ดีเป็นแน่”
ฉู่เหลียนจึงทำได้เพียงพยักหน้า เมื่อครั้นที่หลิวฮูหยินยกให้เป็นของขวัญ นางก็เลือกที่จะรับมันมา ตอนนี้จึงไม่อาจย้อนกลับไปเพื่อขอคืนสิ่งของได้อีก
โจวซื่อส่งกำไลหยกให้แก่สาวใช้ พร้อมกำชับให้ห่อและนำไปเก็บไว้ให้เป็นอย่างดี จากนั้นจึงดึงมือฉู่เหลียนไปยังระเบียงรับลมที่ถูกปกคลุมด้วยสีม่วงอ่อนของดอกจื่อเถิง พวกนางเดินเคียงกันอย่างช้า ๆ ไปตลอดทาง ก่อนที่โจวซื่อจะถอนใจออกมา “ที่แท้ท่านแม่เหลือสินเดิมไม่มากแล้ว กำไลสองชิ้นนี้อาจเป็นของมีค่าอย่างสุดท้ายของนางก็เป็นได้”
เมื่อโจวซื่อสังเกตเห็นสีหน้าข้องใจของฉู่เหลียน และด้วยความที่นางเองก็อยากเล่าต่อ นางจึงโบกมือไล่สาวใช้ส่วนตัวที่ตามมาให้ออกไป สาวใช้หยุดเดินในทันที ปล่อยให้โจวซื่อดึงมือฉู่เหลียนออกห่างไปจากหูตาของผู้คน
เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว นางก็เริ่มพูด “น้องสะใภ้สาม เจ้าคงได้ยินเรื่องอาการป่วยของท่านแม่มาบ้างแล้วเป็นแน่”
แม้เฮ่อซานหลางจะมิได้เล่าสิ่งใดให้นางฟัง ทว่าฉู่เหลียนก็รู้ดีว่าอาการป่วยของฮูหยินจิ่งอันป๋อนั้นรุนแรงนัก ในนิยายยังบอกกล่าวถึงฮูหยินจิ่งอันป๋อว่าเป็นผู้ที่มักจะล้มหมอนนอนเสื่ออยู่บ่อย ๆ
ฉู่เหลียนพยักหน้า
“เจ้าคงรู้ไม่มากนัก… หมอหลวงกล่าวว่าไม่มีหนทางใดที่จะรักษาอาการป่วยของท่านแม่ได้ ทำได้แค่เพียงชะลออาการด้วยยาที่สั่งทำเป็นพิเศษเท่านั้น และยานี้จำต้องใช้สมุนไพรราคาแพงหลายชนิด รวม ๆ แล้วราคามากกว่าหนึ่งพันตำลึงทอง[2] แม้จวนจิ่งอันจะมีอิทธิพล ทว่าท่านพ่อก็มิได้อยู่จัดการจวน ซ้ำยังมิใช่หลักในการหาเงินทองเข้าบ้าน หากมิใช่ว่าเรามีกันเพียงไม่กี่ชีวิต อาศัยอยู่กันอย่างสมถะ และท่านย่าที่คอยสนับสนุนด้วยสินส่วนตัวของนาง จวนนี้คงต้องอยู่อย่างยากลำบากกว่านี้เป็นแน่ ยาของท่านแม่นั้นต้องใช้เงินจำนวนมากมาย ทีแรกเงินที่ใช้ก็ยังมาจากเงินกองกลางอยู่…” โจวซื่อยกนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง
“หนึ่งพันตำลึง ต้องใช้เงินหนึ่งพันตำลึงเพื่อซื้อสมุนไพรทำยาให้ท่านแม่ทุกเดือน ท่านพ่อหาเงินได้หนึ่งพันเหรียญต่อปีด้วยตำแหน่งแม่ทัพ หากเจ้านำรายรับทั้งหมดของจวนและร้านค้าของตระกูลมารวมกัน ก็ยังเพิ่มมาได้เพียงหนึ่งพันเหรียญเท่านั้น…”
จวนจิ่งอันเคยจ่ายค่ายาให้แก่ฮูหยินจิ่งอันป๋ออยู่สองปี หลังจากนั้นฮูหยินจิ่งอันป๋อก็บอกกล่าวแก่โจวซื่อให้เลิกรายจ่ายตรงนี้เสีย และนางก็เริ่มจ่ายค่ายาด้วยสินเดิมของตัวเองนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ไม่กี่ปีต่อมา สินเดิมของฮูหยินจิ่งอันป๋อก็แทบจะหมดไป ตอนนี้เหลือเพียงทรัพย์สินของนางที่มีอยู่ไม่มากแล้ว
นอกจากนั้น ไม่กี่ปีก่อนตระกูลหลิวยังฝ่าฝืนข้อห้ามของราชสำนักจึงเป็นเหตุให้ถูกลดขั้นลง และคนในตระกูลที่มีตำแหน่งหน้าที่ก็ถูกส่งไปประจำการอยู่นอกเมืองอันห่างไกลในแถบลั่วหยาง หลิวฮูหยินจึงเหลือตัวคนเดียว ดังนั้นเมื่อไร้เงินสนับสนุนจากบ้านเดิม สินเดิมของนางจึงลดลงรวดเร็วเสียยิ่งกว่าเดิม
ฉู่เหลียนตกตะลึงกับความจริงที่ถูกเปิดเผย แม้นางจะเพิ่งมาถึงในยุคสมัยนี้ ทว่าหลังจากได้ยินฉีเยี่ยนและสาวใช้คนอื่น ๆ พูดคุยกันในช่วงไม่กี่วันมานี้ก็ทำให้นางได้เรียนรู้มูลค่าคร่าว ๆ ของเงินตราในยุคราชวงศ์อู่บ้างแล้ว
เหรียญทองแดงที่ถูกใช้ในยุคนี้เรียกว่าเงิน “ไคว่หยวน” 1000 เหรียญ สามารถนำไปแลกได้หนึ่งตำลึงเงิน ในหนึ่งพวงจะมีอยู่ 1000 เหรียญ หากไม่มีเรื่องค่าเงินเหรียญทองแดงและเหรียญเงินผันผวน สำหรับครอบครัวชาวบ้านทั่วไปแล้ว เงินจำนวน 10 ตำลึงเงินก็มากพอให้ครอบครัวสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงหนึ่งปีเต็ม ๆ
กระทั่งบ่าวไพร่ขั้นรองในจวนจิ่งอันก็ยังมิได้รับเงินค่าจ้างมากไปกว่า 1 ตำลึงเงินต่อเดือน
ส่วนฮูหยินจิ่งอันป๋อนั้นต้องใช้เงินพวงกว่า 10,000 เหรียญต่อปีสำหรับค่ายา นั่นเป็นจำนวนเงินที่มากจนน่าตกใจ!
ไม่แปลกใจว่าเหตุใดโจวซื่อจึงกล่าวว่าตอนนี้ฮูหยินจิ่งอันป๋อคงแทบไม่เหลือสินเดิมแล้ว
เบี้ยหวัดทั้งปีของจิ่งอันป๋อนั้นเพียงพอสำหรับค่ายาของหลิวฮูหยินแค่เดือนเดียวเท่านั้น
เห็นแววตาตะลึงของฉู่เหลียนแล้ว โจวซื่อก็ตบหลังมือของนางเบา ๆ “พี่สะใภ้มิได้บอกเพื่อให้เจ้ากดดัน เพียงแต่อยากให้เจ้าทราบว่าท่านแม่ดีต่อเราเพียงใด และหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าดูแลนางต่อไป”
————————————————————
[1] ยามอุ้ย เวลา 13.00-14.59 น.
[2] 1000 เหรียญเงิน = 1 พวงเงิน = 1ตำลึงเงิน
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816