ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 29 กลับบ้านดึก
เฮ่อซานหลางกว่าจะกลับถึงจวนก็เมื่อค่ำแล้ว
เขาหยุดแวะที่เรือนชิ่งสี่ก่อนจะกลับไปยังเรือนซงเถา
เนื่องจากใช้เวลาทั้งวันไปกับการพบปะผู้คน เขาย่อมมิได้ทานอะไรมาก มีเพียงเครื่องดื่มเท่านั้นที่ตกถึงท้อง
ไหลเยว่เห็นบรรยากาศที่แลดูกดดันวิ่งวนอยู่รอบตัวนาย สีหน้าเย็นชาของเฮ่อซานหลางยามนี้ถูกปิดซ่อนไว้ด้วยเงามืดยามที่เดินไป ริมฝีปากเม้มเข้าเล็กน้อย ดวงตาส่องประกายในความมืด นายของตนดูคล้ายนกเหยี่ยวในยามราตรีที่เตรียมรอขย้ำเหยื่อนัก
แววตากระหายเลือดนี้จับจ้องเรือนซงเถาที่นายหญิงสามอยู่อย่างไม่วางตา
ไหลเยว่รวบรวมความกล้าก่อนจะเอ่ยเตือน “คะ…คุณชายขอรับ ยามนี้ค่ำแล้ว ท่านร่ำสุราไปไม่น้อย…วันนี้เข้านอนเร็วหน่อยดีหรือไม่ขอรับ”
เมื่อไหลเยว่กล่าวจบ เฮ่อฉางตี้ก็ตรงดิ่งไปยังเรือนโดยไม่แม้แต่จะปรายตามอง
เมื่อบ่าวชราที่เฝ้าประตูสองนางเห็นคุณชายกลับมา พวกนางก็รีบก้มหัวทักทาย
เฮ่อฉางตี้ยืนนิ่งอยู่บริเวณทางเดินหน้าห้องรับแขกของเรือนซงเถา เขามองไปยังห้องนอนใหญ่ที่ยามนี้ดับไฟจนมืด มุมปากก็ขยับเป็นรูปร่างบิดเบี้ยว
ดังคาด สตรีแพศยาผู้นี้ไม่เคยปฏิบัติต่อเขาดั่งสามี เช่นเดียวกับชาติที่แล้ว นางไม่เคยกังวลแม้เขาจะกลับจวนดึกเพียงใด เขายังคิดว่าชาตินี้จะต่างออกไปจากการกระทำของนางในหลาย ๆ วันที่ผ่านมา ยามนี้จึงตระหนักได้ว่าตนช่างโง่เง่าที่คาดหวังสิ่งนั้นจากนาง!
ไหลเยว่เห็นคุณชายสามก้าวเท้าออกมาก็มิกล้าจะเอ่ยสิ่งใด และทำได้เพียงก้าวเดินตามหลังเฮ่อซานหลางไปยังห้องหนังสือ
เมื่อไหลเยว่ลอบมองผู้เป็นนายด้วยหางตา ก็สังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ตาที่ส่งสัญญาณถึงปัญหาสุขภาพ ก่อนจะนึกออกได้ว่าวันนี้นายของตนเอาแต่ดื่ม และมิได้ทานอาหารแม้แต่คำเดียว จึงรีบได้กล่าวขึ้นทันที “คุณชายขอรับ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปเตรียมน้ำแกงจากครัวมาให้ท่านดื่มนะขอรับ”
เฮ่อซานหลางนวดขมับที่ปวดตุบแล้วโบกมือไล่ เมื่อไหลเยว่กำลังจะจากไป เฮ่อฉางตี้ก็กล่าวขัด “ดูด้วยว่ามีอะไรให้ทานไหม แล้วเอามาพร้อมน้ำแกงด้วยเลย”
ไหลเยว่ขานรับแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
เฮ่อฉางตี้นั่งหน้าโต๊ะ เอนหลังพิงกับเก้าอี้ มีเพียงแสงไฟจากเทียนไขเล่มเดียวที่ส่องอยู่ภายในห้องหนังสือ ก่อให้เกิดเป็นเงาพาดบนใบหน้าอันหล่อเหลา
พี่รองของเฮ่อซานหลางยามนี้อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในกองทหารหลวงฝ่ายซ้าย
กองทหารหลวงฝ่ายซ้ายนั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอู๋หลิ่น จากนั้นจึงแยกตัวออกมาเป็นกองมังกรพิทักษ์และพยัคฆ์พิทักษ์ ซึ่งมีเพียงยอดฝีมือด้านวรยุทธ์เท่านั้นที่จะถูกคัดเลือกให้ผ่านการประลองและเข้าค่ายฝึกฝน แต่หากท่านเกิดให้สถานะที่ดีกว่า ท่านย่อมได้รับโอกาสมากกว่า
วันนี้ควรเป็นเวรยามของกองพยัคฆ์พิทักษ์เพื่อรักษาการณ์ในพระราชวัง ทว่าแม่ทัพแห่งกองทัพอู๋หลิ่น เฮ่อหลิน ถูกส่งออกไปนอกเมืองหลวงและได้เรียกเอากองพยัคฆ์พิทักษ์ออกไปด้วย เฮ่อหลินเคยปฏิบัติหน้าที่ในกองพยัคฆ์พิทักษ์มาก่อน จึงใกล้ชิดกับพวกเขามากกว่า ดังนั้นในยามนี้หน้าที่รักษาการณ์ในวังหลวงย่อมตกเป็นของกองมังกรพิทักษ์
ในบรรดาทหารของกองมังกรพิทักษ์นั้น วันนี้มีคุณชายรองแห่งจวนจิ่งอันอยู่ด้วย นั่นคือเฮ่อฉางเจว๋
ในชาติที่แล้ว วันนี้ได้เกิดเหตุบางอย่างขึ้นระหว่างการรักษาการณ์ กองมังกรพิทักษ์ทั้งหมดจึงถูกลงโทษด้วยกฎจอมยุทธ์ เนื่องจากเฮ่อฉางเจว๋เป็นหัวหน้ากองมังกรพิทักษ์จึงได้ถูกลงโทษหนักกว่าคนอื่น ๆ ทั้งยังถูกปลดออกจากกองทัพรักษาพระองค์ฝ่ายซ้าย และขาของเขารักษาไม่หายจึงไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ได้อีกต่อไป
หลังจากนั้นกองพยัคฆ์พิทักษ์ก็เริ่มกดดันกองมังกรพิทักษ์ ซึ่งเป็นเหตุให้ผลงานตกต่ำลง ภายในสองเดือนก็ยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีดังเดิม และภายในปีเดียวก็จะถูกขับไล่ออกจากกองทัพอู๋หลิ่น ชะตาของกองมังกรพิทักษ์ก็จบลงเช่นนี้
บ่ายวันนี้เฮ่อซานหลางจึงรีบรุดออกตามหาพี่ชายรองก่อนที่เขาจะไปออกลาดตระเวน จากนั้นยังได้ตามคนเข้าไปในวังหลวง รออยู่ใต้ต้นชิ่งเขียวชอุ่มนอกวังสักพัก พลันเห็นเด็กหญิงตัวน้อยร่วงลงมาจากต้นไม้
เด็กหญิงตัวน้อยนี้ คือองค์หญิงเล่อเหยา มีพระชันษาสิบปี เป็นพระธิดาในฮ่องเต้และเว่ยกุ้ยเฟย สนมโปรดของฮ่องเต้ ดังนั้นองค์หญิงเล่อเหยาย่อมเป็นหนึ่งในธิดาที่ฮ่องเต้รักใคร่โปรดปรานที่สุด
เว่ยกุ้ยเฟยไม่มีบุตรคนอื่น ๆ มีเพียงองค์หญิงเพียงพระองค์เดียว ดังนั้นองค์หญิงเล่อเหยาจึงเป็นบุตรีที่สำคัญที่สุดของนาง
ชาติที่แล้วองค์หญิงเล่อเหยาปีนต้นชิ่งแล้วโชคร้ายพลัดตกลงมาจากกำแพง หลังศีรษะกระแทกก้อนหินจนเสียชีวิต ฮ่องเต้และเว่ยกุ้ยเฟยนำความเกรี้ยวกราดนี้ไปลงกับกองมังกรพิทักษ์ที่อยู่รักษาการณ์ในวันนั้นพอดี
ในชาตินี้ เฮ่อซานหลางเข้าช่วยเหลือองค์หญิงเล่อเหยาไว้ได้ทัน ดังนั้นกองมังกรพิทักษ์จึงไม่โดนลงโทษ
การกระทำเยี่ยงวีรบุรุษนี้แท้จริงควรป่าวประกาศและตกรางวัลอันยิ่งใหญ่ ทว่าองค์หญิงเล่อเหยาทรงพระชนมายุได้สิบพรรษาแล้ว หากเรื่องนี้ถูกประกาศออกไปย่อมทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ ดังนั้นเฮ่อซานหลางจึงร้องขอองค์ฮ่องเต้ให้ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
เห็นเฮ่อซานหลางฉลาดรู้ความ ฮ่องเต้ก็พอใจนัก จึงตรัสถามถึงรางวัลว่าต้องการเป็นสิ่งใด เฮ่อซานหลางปฏิเสธและไม่ขอเอ่ยถึงรางวัล ทว่ามีเพียงคำขอร้องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเท่านั้น
ทันทีที่ออกจากวังหลวงเขาก็ถูกพี่รองลากไปร้านอาหารที่เต็มไปด้วยกองมังกรพิทักษ์ซึ่งเข้าเวรในวันนี้ คนเหล่านี้ล้วนเข้ามาขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่
ดังนั้นเขาจึงเลี่ยงไม่ได้ ต้องร่ำสุรากับพวกนี้อีกรอบหนึ่ง
ยามนั้นเฮ่อฉางเจว๋ดื่มเข้าไปมากพอสมควรจึงเอนกายพิงน้องชาย และเอ่ยถามว่าจะใช้โอกาสนี้เพื่อเข้าเป็นขุนนางดีหรือไม่ เฮ่อซานหลางมองพี่ชายแท้ ๆ ของตนก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
ในฐานะบุตรชายตระกูลทหาร การเข้ารับราชการเป็นขุนนางย่อมมิใช่เรื่องง่าย
โชคร้ายที่นี่มิใช่ยุคของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เนื่องจากฮ่องเต้พระองค์นี้ชอบบุ๋น ไม่ชอบบู๊ บุตรชายจากตระกูลแม่ทัพทั้งหลายไม่สามารถเข้าสอบรับราชการได้ ทำได้เพียงเลื่อนยศตำแหน่งในกองทัพเท่านั้น แม้จะมิได้มีกฎตราเป็นลายลักษณ์อักษร ทว่าหากพวกเขาไม่สามารถสร้างฐานอำนาจยืนหยัดในกองทัพได้ภายในสามถึงห้าปี ย่อมเป็นเรื่องยากจะได้รับการพระราชทานตำแหน่งเป็นแม่ทัพ และไม่มีข้อยกเว้นแม้กระทั่งตระกูลเช่นพวกเขาที่มีแม่ทัพประจำการอยู่ชายแดน
เมื่อกลับถึงจวนที่ทั้งมืดและเย็น ผนวกกับความคิดอันหนักหน่วงในใจ เฮ่อซานหลางจึงไม่สบอารมณ์
ขณะนั้นเขาย้อนคิดถึงครั้นเป็นเพียงเด็กน้อย ได้ยินท่านย่าเล่าเรื่องราวความรักระหว่างท่านกับท่านปู่ที่ต้องก้าวผ่านอุปสรรคนานาไปด้วยกันอย่างยากเข็ญ ยามนี้เขากลับพบว่าน่าขันนักที่ครั้งหนึ่งเขาเคยใฝ่ฝันถึงชีวิตแต่งงานไว้เช่นนั้น แต่เมื่อนึกเรื่องราวชาติที่แล้วของตน เขากลับพบว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ที่ไม่น่าเชื่อใจที่สุดย่อมเป็นสตรี นอกจากรูปกายภายนอกอันงดงาม จิตใจพวกนางดุจดังแมงป่อง ดั่งอสรพิษ
เขาหลับพักสายตาลงชั่วครู่ จึงได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของไหลเยว่จากด้านนอกที่กำลังจะก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ
“คุณชายขอรับ น้ำแกงสร่างเมาขอรับ รีบดื่มเสียตอนที่ยังร้อนเถอะขอรับ”
เฮ่อฉางตี้กวาดตามอง เห็นเพียงถ้วยน้ำแกง ไม่มีของอย่างอื่น จึงตวัดตากลับไปมองไหลเยว่ที่บัดนี้นิ่งขึงไปอย่างกระอักกระอ่วน ตัวสั่นเล็กน้อยยามรายงาน “ในครัวไม่มีอาหารที่ทำเสร็จแล้วขอรับ สองวันมานี้อาหารทุกมื้อล้วนเป็นฝีมือของนายหญิงสามและสาวใช้อีกสองนาง คนครัวชั่วคราวจึงถูกส่งกลับไปหมดแล้ว เหลือแต่สาวใช้รุ่นใหญ่คอยดูแลครัวขอรับ บ่าว…บ่าวไม่ทราบวิธีทำอาหาร”
อีกนัยหนึ่ง ในครัวยังมีวัตถุดิบสดใหม่ ทว่าไม่มีอาหารที่ทำเสร็จแล้ว
ยามนี้อยู่ช่วงกลางฤดูร้อน เพื่อกันไม่ให้อาหารเน่าเสีย จึงทำได้เพียงทำอาหารเมื่อต้องทานเท่านั้น อีกประการหนึ่ง อาหารจากสูตรลับของฉู่เหลียนล้วนเลิศรสเสียจนไม่มีใครยอมเหลือทิ้งแม้แต่คนเดียว
ไหลเยว่มองหน้านายอย่างระมัดระวัง ในใจยังคงวิตก
เห็นสีหน้าเลวร้ายย่ำแย่ของเฮ่อฉางตี้ ตาดำของไหลเยว่ก็กลิ้งหลุกหลิกขณะคิดหาวิธีแก้ปัญหา “คุณ…คุณชายขอรับ บ่าวเห็นว่ายังมีบางสิ่งให้ทานอยู่ในครัว”
“หืม?”
ไหลเยว่รัวกลองรบในใจ “บ่าวเฝ้าครัวกล่าวว่านายหญิงต้มโจ๊กเห็ดหูหนูขาวกับเม็ดบัว ตอนนี้ยังอุ่นอยู่บนเตาเอาไว้สำหรับมื้อเช้าขอรับ และ…และนางกล่าวว่าโจ๊กจะได้ที่ก็ต่อเมื่อต้มนานพอขอรับ”
สิ่งที่ฉู่เหลียนทำหรือ? นางคิดจะเก็บไว้กินคนเดียวหรือ?
เฮ่อซานหลางแค่นหายใจแล้วกล่าว “ไปเอามา”
ยิ่งสตรีแพศยานั่นจะทำไว้เพื่อตัวเอง เขายิ่งสมควรทานมัน
“หา?” ไหลเยว่ทั้งตกใจและสับสน นี่…นี่ไม่ดีแน่ เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายสามกัน? เหตุใดจึงต้องพยายามขโมยอาหารของนายหญิงสามด้วยเล่า? ราวกับเด็กน้อยไร้สมองที่กลั่นแกล้งคนที่ตนชอบ แม้อีกฝ่ายจะไม่สนใจไม่มีผิด
แน่นอน เขามิกล้ากล่าวสิ่งที่คิดออกไปแม้แต่คำเดียว
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816