ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 30 ละทิ้งภรรยาเข้ากองทัพ (1)
“ไม่ได้ยินข้าหรือ?” เฮ่อฉางตี้ใช้สายตาดุดันหันไปมองไหลเยว่ที่ตัวแข็งค้าง บ่าวผู้น่าสงสารตอบรับแล้วจึงรีบสาวเท้ายาวไปตระเตรียมอาหารตามคำสั่งนายด้วยสีหน้าลำบากใจ
ระหว่างทางไปห้องครัว ไหลเยว่ที่รู้สึกหวั่นใจยังคงรู้สึกไม่ดีเมื่อต้องทำในสิ่งที่รู้ว่าไม่สมควร คุณชายสามในยามนี้อารมณ์ฉุนเฉียวราวกับไฟในกองเพลิง กระทั่งเขาที่เป็นบ่าวผู้ใกล้ชิดที่สุดก็ยังไม่กล้าสบสายตาดุดันเช่นนั้น ณ ขณะนี้ที่ผละห่างออกมาได้ก็ยังไม่วายให้รู้สึกกดดันอยู่
ไหลเยว่อดส่ายหน้ามิได้ เขาไม่เข้าใจเลย เหตุใดคุณชายสามผู้สุภาพอ่อนโยนจึงได้กลายเป็นชายผู้น่ากลัวและรวนเรจนเดาไม่ออกเช่นนี้
ไม่ว่าบ่าวรุ่นใหญ่ในครัวจะห้ามปรามการกระทำของไหลเยว่อย่างไร แต่เขาก็ยังดึงดันยกเอาหม้อต้มโจ๊กเห็ดหูหนูขาวและเมล็ดบัวที่ตุ๋นอยู่บนเตามาจากที่แห่งนั้นให้จนได้ ก่อนจะนำไปส่งให้นายเอาแต่ใจของตนที่ห้องหนังสือ
เมื่อยกหม้อโจ๊กไปให้เฮ่อซานหลางที่ห้องแล้ว ขณะที่เขาค่อย ๆ เปิดฝาออก กลิ่นสดชื่นน่าทานของเมล็ดบัวก็ลอยฟุ้งขึ้นมา โจ๊กนี้ถูกต้มเสียจนเมล็ดข้าวทั้งบางทั้งหนึบ ส่วนเห็นหูหนูขาวก็กลายเป็นโปร่งใส อีกทั้งโจ๊กนี้ยังปราศจากกลิ่นเนื้อ และถูกแทนที่ด้วยเมล็ดบัวอวบอ้วนน่ารักที่ผสมอยู่ ไม่ว่าใครหากได้เห็นอาหารจานนี้ย่อมต้องรู้สึกอยากทานด้วยกันทั้งนั้น โจ๊กเช่นนี้ช่างเหมาะกับฤดูร้อนนัก
ไหลเยว่ที่ลอบมองอยู่อดกลืนน้ำลายไม่ได้
“ยกมาให้ข้าถ้วยหนึ่ง”
ไหลเยว่ตักโจ๊กใส่ถ้วยศิลาเขียวใบเล็กแล้วนำไปวางเบื้องหน้าเฮ่อซานหลาง
เมื่อเห็นดังนั้นคุณชายสามก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เริ่มตักโจ๊กเข้าปากตนแทบจะในทันทีที่บ่าวนำมาวาง
ทั้งนุ่มหนึบ หอมหวาน รสชาติเรียบง่ายและสดชื่น เช่นเดียวกับกลิ่นของมัน
เมื่อเฮ่อซานหลางไม่กล่าวสิ่งใด ไหลเยว่ที่อยู่ด้านข้างก็มิกล้าขยับกายไปไหนเช่นกัน เขามองนายของตนที่ปกติจะไม่อยากอาหารมากนัก ทว่ายามนี้กำลังทานโจ๊กเห็ดหูหนูกับเมล็ดบัวถ้วยแล้วถ้วยเล่าโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด…
ยามที่เฮ่อฉางตี้วางถ้วยสุดท้ายลง ภายในหม้อที่ไหลเยว่นำมาก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว ไม่เหลือข้าวแม้แต่เม็ดเดียว…
มุมปากไหลเยว่บิดเบี้ยว เขาก้มหัวต่ำ มิกล้าส่งเสียงใด ทำเพียงยกเอาถ้วยออกจากห้องหนังสือไปอย่างเงียบเชียบ
เมื่อออกมานอกห้องแล้ว ไหลเยว่ก็ก้มลงมองหม้อที่ว่างเปล่า เขาส่ายหน้าอย่างเสียใจ สิ่งนี้ต้องเลิศรสเป็นแน่ ดูที่คุณชายทานอย่างมีความสุขนั่นก็รู้แล้ว น่าเสียดายนักที่คุณชายไม่เหลือไว้แม้แต่คำเดียว ไม่เช่นนั้นไหลเยว่คงได้ลองทานเองบ้างสักนิด
เฮ่อซานหลางที่เมื่อทานจนอิ่มแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ นอกจากจะอิ่มอร่อยสบายท้องแล้ว ที่สำคัญยังอิ่มใจอีกด้วย เพราะเจ้าหม้อใบนั้นคือสิ่งที่ฉู่เหลียนเตรียมไว้ทานเองในตอนเช้านั่นเอง
ตอนนี้เขาได้แต่เฝ้านึกถึงยามที่สตรีร้ายกาจนางนั้นตื่นขึ้นมาและพบว่าโจ๊กที่นางตระเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนค่ำอย่างยากลำบากนั้นหายไปจนหมด เขาก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นกว่าเดิม
ยามนี้ร่างกายจึงเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง เขาอ่านตำราพิชัยสงครามต่ออีกราวหนึ่งชั่วยาม ท้ายที่สุดก็ล้างหน้าและเข้านอนด้วยความอิ่มเอิบใจ
ย้อนกลับไปที่ครัว เมื่อตอนที่บ่าวเฝ้าครัวถูกบ่าวรับใช้ส่วนตัวของคุณชายสามบีบบังคับเอาโจ๊กทั้งหม้อไป นางก็เร่งร้อนวิ่งไปแจ้งต่อกุ้ยหมัวมัวทันที
กุ้ยหมัวมัวพยักหน้า จากนั้นก็สั่งให้คนกลับไปพักผ่อน
เช้าวันต่อมา เมื่อฉู่เหลียนตื่นขึ้น กุ้ยหมัวมัวก็รีบรายงานเรื่องนี้แก่นาง
มุมปากฉู่เหลียนกระตุกโดยไร้คำกล่าวใด และกลับเป็นกุ้ยหมัวมัวที่กล่าวขึ้นแทน
นางหยิบปิ่นปักผมที่ทำจากขนนกซุ่ยเหนี่ยวขึ้นมาปักลงบนผมของหญิงสาว และยิ้มกล่าว “นายหญิงสามตั้งใจทำโจ๊กไว้ให้คุณชายสาม!”
เมื่อถูกเปิดเผย แก้มของฉู่เหลียนก็ขึ้นสีก่ำ นางแก้ตัว “ใครจะไปทิ้งของไว้ให้ผู้ชายคนนั้นกัน? เขาไม่ได้ทานอะไรก่อนกลับมาหรือ?”
กุ้ยหมัวมัวยิ้มและหยุดพูด เข้าใจว่านายหญิงน้อยของตนคงเขินอายเกินไปกระมัง
ฉู่เหลียนนั่งใจลอย เหม่อมองตนเองในกระจกเงา ก่อนที่ความคิดของนางจะลอยไปไกลแสนไกล
เพียงไม่กี่วันหลังแต่งงาน นางก็บอกได้ว่าเฮ่อซานหลางไม่มีความรู้สึกใดต่อนางแม้แต่น้อย อันที่จริง ความแตกต่างนี้อาจถึงจุดที่เป็นความเกลียดชังก็ได้ แม้นางจะไม่รู้ว่าเหตุแห่งความเกลียดชังนั้นมาจากสิ่งใด
ตามเนื้อหาในนิยายแล้ว คนทั้งสองได้พบกันเพียงไม่กี่ครั้งก่อนแต่งงาน อีกทั้งงานแต่งนี้ก็เป็นการคลุมถุงชนอีกด้วย
ในฐานะตัวเอก หน้าตาของนางจัดว่างดงามเป็นอันดับหนึ่ง นางมิได้ทำเรื่องโง่เง่าใดก่อนแต่งงาน พูดให้ถูกก็คือ การคาดหวังอะไรจากคนแปลกหน้าสองคนที่แต่งงานกันอย่างกะทันหันนั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง ความรู้สึกใดจะเกิดขึ้นย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก็ไม่ควรจะเป็นความเกลียดชังเช่นกัน…
ทว่าโชคชะตาเป็นไปอย่างนั้นเอง ทุกสิ่งล้วนต่างไปจากที่ฉู่เหลียนคาด ไม่เพียงเฮ่อซานหลางจะแตกต่างจากพระเอกนิยายโดยสิ้นเชิง ทั้งยังเกลียดนางมากอีกด้วย
เรื่องนั้นฉู่เหลียนคิดไปแล้วว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ในเมื่อนางกลายมาเป็นนางเอก นางก็จะใช้ความรู้ที่มีเป็นข้อได้เปรียบ ทว่าอย่างไรนางก็มิใช่ ‘ฉู่เหลียน’ คนนั้น นางจึงไม่อาจตกหลุมรักในตัวเซียวป๋อเจี้ยนได้
ยามนี้นางเป็นส่วนหนึ่งของจวนจิ่งอันแล้ว ใช้ชีวิตอยู่กับตระกูลนี้ไปเพียงไม่กี่วัน แต่นางก็ชื่นชอบทุกคนยกเว้นเฮ่อซานหลาง ด้วยความที่นางยังต้องการอยู่กับครอบครัวนี้ต่อ จึงจำเป็นต้องจัดการความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฮ่อฉางตี้
แม้พวกนางอาจมิใช่คู่รักที่จะแก่ไปด้วยกัน แต่ก็สามารถหยุดทะเลาะ และเป็นเพียงสหายที่ดีต่อกันได้โดยไม่เก็บกักเอาความเกลียดชังหรือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของกันและกัน
นางสามารถอยู่ในจวนจิ่งอันนี้ได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องทำอะไร หากนางเบื่อก็ยังสามารถทำของว่างหาเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากนั้นอีกสองปี หากเฮ่อซานหลางอยากมีบุตร นางยังสามารถช่วยเขาหาอนุสักคนสองคนมาคลอดบุตรสืบสายเลือดให้ตระกูลเขาได้
ดังนั้น โจ๊กเห็ดหูหนูขาวใส่เมล็ดบัวนั้น แท้จริงคือธงขาวและสัญญาณแห่งสันติภาพที่ฉู่เหลียนมอบแก่เฮ่อซานหลาง
นางจึงหวังเพียงว่าจะสามารถอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันได้อย่างสงบสุข ก่อนที่เหตุร้ายจะมาเยือนจวนจิ่งอัน ซึ่งยังพอมีเวลาอีกสองสามปี อย่างไรก็ตามก่อนที่เหตุร้ายจะมาถึง ทั้งคู่ยังนับว่าเป็นสามีภรรยากัน คงไม่สามารถเกลียดกัน ทะเลาะกันได้ทุกวันหรอก!
ถึงเขาจะดำเนินชีวิตเช่นนั้นได้ แต่นางทำไม่ได้
ฉู่เหลียนวางแผนสงบศึกด้วยความระมัดระวัง แต่นางกลับไม่คาดว่าเฮ่อฉางตี้จะเข้าใจการกระทำของนางผิดไปโดยสิ้นเชิง กระทั่งตอนนี้เฮ่อซานหลางก็ยังหลับอย่างเป็นสุขด้วยความคิดว่าเขาได้ขโมยอาหารเช้าของนาง!
“นายหญิงสาม เช้านี้ทานอะไรดีเจ้าคะ” หมิงเยี่ยนเดินเข้ามาถาม
ฉู่เหลียนถูกดึงกลับมาจากความคิดที่ลอยไปไกล นางมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นพระอาทิตย์ที่เริ่มฉายแสง ตอนนี้แม้แต่ยามเช้าก็เริ่มร้อนเสียแล้ว ฤดูร้อนที่ร้อนแผดเผาเช่นนี้ชวนให้ผู้คนไร้ชีวิตชีวาและเบื่ออาหารได้ง่ายนัก ความคิดฉู่เหลียนเริ่มวิ่งวนในหัว พลันนึกถึงโมจิหยดน้ำขึ้นมา
เมื่อกำลังจะเอ่ยขึ้น สาวใช้คนหนึ่งก็วิ่งเข้ามารายงานในห้อง
กุ้ยหมัวมัวที่เพิ่งทำผมให้ฉู่เหลียนเสร็จ เห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว และหันถามต่อสาวใช้ที่เสียมารยาท “เกิดอะไรขึ้น? ทำอะไรของเจ้ากัน ลืมมารยาทไปเสียแล้วหรือ?”
สาวใช้ก้มศีรษะลงต่ำ ทว่ามิกล้าชักช้า รีบรายงาน “นายหญิงสาม หมัวมัว เหลียวหมัวมัวจากเรือนชิ่งสี่ส่งคนมาส่งข้อความเจ้าค่ะ นางกล่าวว่าให้นายหญิงสามรีบไปที่เรือนชิ่งสี่โดยไวที่สุดเจ้าค่ะ”
ฉู่เหลียนนิ่วหน้า ข้อความจากเหลียวหมัวมัวหรือ?
เหลียวหมัวมัวนับเป็นหนึ่งในคนที่เฮ่อเหล่าไท่จวินไว้ใจที่สุด คำกล่าวของนางมีค่าแทบจะเทียบเท่ากับคำกล่าวของเฮ่อเหล่าไท่จวิน นางส่งข้อความเร่งด่วนมาเช่นนี้คงต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเป็นแน่
ฉู่เหลียนรีบแต่งตัวให้เรียบร้อยและนำฉีเยี่ยนกับฝูเยี่ยนไปยังเรือนชิ่งสี่ ก่อนจะออกจากเรือนนางยังนึกถึงเฮ่อฉางตี้ จึงเอ่ยถาม “สามีข้าเล่า? เขายังหลับอยู่อีกหรือ?”
กุ้ยหมัวมัวส่ายหน้า “บ่าวให้คนไปดูแล้วเจ้าค่ะ ห้องหนังสือเก็บกวาดเสร็จแล้ว ไม่มีใครอยู่ในห้อง คุณชายคงอยู่ที่ห้องหนังสือเรือนนอกกระมัง”
ฉู่เหลียนพยักหน้า “หมัวมัว ส่งคนไปเชิญเขาให้ไปเรือนชิ่งสี่ด้วยกันเถอะ”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อฉู่เหลียนไปถึงเรือนชิ่งสี่ ทุกคนในจวนจิ่งอัน ยกเว้นฮูหยินจิ่งอันป๋อและเฮ่อฉางตี้ก็มารวมตัวกันแล้ว กระทั่งคุณชายรอง เฮ่อฉางเจว๋ก็ยังมาปรากฏตัวเช่นกัน
ทันทีที่นางก้าวเข้าไปในห้องรับแขก ทุกสายตาก็จ้องมองมายังนาง หากว่าไม่เป็นการเข้าใจผิดไปแล้วละก็ ในสายตาของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความสงสารและละอายใจ
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816